บทที่ 445.5 เรื่องราวและคนบนโลกล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลิวเหล่าเฉิงจุ๊ปากพูด “ระมัดระวังมากพอ มิน่าเล่าถึงมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ เพียงแต่ว่าหากทำเช่นนี้ก็ไม่เท่ากับเจ้าบอกให้รู้ว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงหรอกหรือ? (เปรียบเปรยว่าอยากจะปิดบัง แต่ยิ่งปิดกลับยิ่งเป็นการเปิดเผยให้คนอื่นรู้) ไม่อย่างนั้นเหตุใดต้องกังวลว่าข้าจะดูภาพเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้ามีความสามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้จริงหรือไม่ด้วย?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยิ่งเป็นมหามรรคาก็ยิ่งต้องเดิมพันหนึ่งในหมื่น นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเกาะหลิวพูดเอง หากต่อให้ข้าตายไปแล้ว แล้วยังมอบเรื่องยินดีที่น่าประหลาดใจใหญ่เทียมฟ้าให้ท่านเจ้าเกาะหลิวได้เล่า?”

หลิวเหล่าเฉิงปรบมือหัวเราะร่า “แม้ข้าแทบจะมั่นใจได้ว่าเจ้าไม่มีความสามารถนั้น แต่กำลังแสร้งพูดข่มขู่ให้ข้ากลัว ทว่าก็ไม่เป็นไร ข้ายินดีคุ้มครองเจ้ากลับไปเกาะชิงเสีย ไปถึงเกาะชิงเสียแล้วเจ้าจงทำสองเรื่อง นั่นคือให้เจ้าตัวน้อยสองเล่มที่ไม่รู้ว่าเจ้าไปขโมยมาจากไหนส่งข่าวไปบอกแก่หลิวจื้อเม่าก่อนที่พวกเราจะขยับเข้าใกล้เกาะชิงเสีย ให้เขาเปิดค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาแม่น้ำ เหตุผลเจ้าก็คิดเอาเอง หากคิดไม่ออก ให้ข้าช่วยเจ้าคิดก็ยังได้ จะได้ไม่ทำให้เขาไม่เหลือแม้แต่ความกล้าจะเปิดค่ายกล อีกอย่างก็คือเจ้าไปที่จวนจูเสียน พาหงซูมาอยู่ใกล้ๆ ประตูภูเขา ข้าอยากจะเห็นนางสักหน่อย”

เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าหลอกข้าอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงไม่ได้คิดจะสังหารหงซู แล้วพอเห็นว่าข้ากับนางค่อนข้างจะสนิทกัน เกิดหึงหวงขึ้นมา เลยอยากจะหาเรื่องยุ่งยากให้ข้าเล็กๆ น้อยๆ ข้าจะทำอย่างไร? ข้าไม่สามารถเปิดตราผนึกแผ่นหยกในขณะที่ต้องอารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้ได้ แล้วยิ่งไม่สามารถพูดเหตุผล ทวงความยุติธรรมอะไรจากเจ้าได้”

หลิวเหล่าเฉิงอึ้งตะลึง ราวกับคิดไม่ถึงในเรื่องนี้ ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า “เจ้าเรียนหมากล้อมมาจากใคร? ท่านฉีแห่งถ้ำสวรรค์หลีจูที่เกือบจะแทงแผ่นฟ้าให้เป็นรูผู้นั้นหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

หลิวเหล่าเฉิงฟาดฝ่ามือลงบนศีรษะของเฉินผิงอันจนเขาเซถลา “ไปเถอะ วางใจได้ ข้าไม่มีอารมณ์จะหึงหวงหรอก”

หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กขึ้นนั่งบนเรือ เฉินผิงอันพายเรือ ความเร็วไม่ช้า แต่เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของหลิวเหล่าเฉิงแน่นอนต้องเรียกว่าไปถึงเกาะชิงเสียอย่างเอื่อยเฉื่อย

แม้หลิวเหล่าเฉิงจะไม่ปฏิเสธวิธีการเดินทางกลับของเฉินผิงอัน แต่กระนั้นก็ยังอดพูดเหน็บแนมไม่ได้ “เจ้านี่ใช้ทุกวิถีทางจริงๆ ทำตัวเป็นจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือเช่นนี้ วันหน้าอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนที่เบิกตากว้างมองเห็นเรือลำนี้ ใครกันจะกล้าพูดคำว่าไม่กับเจ้าเฉินผิงอัน”

เฉินผิงอันกล่าว “ใช้ทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด สามารถช่วงชิงมาได้นิดหนึ่งก็เอานิดหนึ่ง”

หลิวเหล่าเฉิงยิ้มรับ ไม่เห็นเป็นสำคัญ ผู้ฝึกตนเฒ่าที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งของเรือข้ามฟากถามอย่างใคร่รู้ว่า “ในเมื่อเจ้ามีแผ่นหยกแผ่นนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่ดึงเอาโชคชะตาน้ำของทะเลสาบซูเจี่ยนครึ่งหนึ่งไปโดยตรงเลยเล่า? ถึงเวลานั้นผู้ฝึกตนอิสระที่จะคุกเข่าโขกหัวขอร้องให้เจ้าคืนปราณวิญญาณมา ไม่มีหนึ่งหมื่น ก็ต้องมีแปดพัน”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “จงกระทำสิ่งที่พึงกระทำและละวางสิ่งที่พึงละวาง วิธีการเช่นนั้นเห็นผลได้ในทันที แต่ไม่ใช่แผนการในระยะยาว”

หลิวเหล่าเฉิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ช่างเป็นจิตใจที่ทะเยอทะยานนัก ไม่เข้ากับสายของพวกเราที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระซึ่งชอบทำตัวไร้ขื่อไร้แป น่าเสียดายจริงๆ”

เฉินผิงอันเหม่อลอย

ราวกับไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองใช่ผู้ฝึกตนอิสระหรือไม่

เขาไม่เคยมีสำนักตามความหมายที่แท้จริงมาก่อน

หลิวเหล่าเฉิงพลันยิ้มกล่าวว่า “เจ้าก็ไม่ได้กล้าสักเท่าไหร่นี่นา ในชุดผ้าฝ้ายยังสวมชุดคลุมอาคมไว้อีกตัว แถมเหงื่อยังไหลเต็มแผ่นหลังด้วย?”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ย่อมตื่นเต้นอย่างเลี่ยงไม่ได้”

หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “ไม่ค่อยเหมือนกัน ข้านึกสงสัยนักว่าเสาผูกม้าของเจ้าคืออะไรกันแน่ กลัวตายก็ส่วนกลัวตาย แต่กลับไม่ถ่วงรั้งการชิงไหวชิงพริบที่เจ้ามีต่อข้าเลย”

เฉินผิงอันตอบ “หากเปลี่ยนมาเป็นตอนที่เจ้าเกาะหลิวเพิ่งจะทำลายเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นได้ คาดว่าต่อให้อีกเดี๋ยวผู้อาวุโสจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง เจ้าเกาะหลิวก็คงยังไม่สนใจเรื่องความเป็นความตายอยู่ดี”

หลิวเหล่าเฉิงยิ้มบางๆ “ดูท่าเจ้าอยู่บนเกาะชิงเสียคงเจอกับความยากลำบากมาไม่น้อย”

เฉินผิงอันใช้ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธมาพายเรือ จงใจอ้อมผ่านเขตการปกครองของเกาะทั้งหมดที่ต้องผ่านระหว่างทางให้ได้มากที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ปราณวิญญาณที่แผ่นหยกดึงดูดมาไปรบกวนโชคชะตาน้ำที่แต่ละเกาะรวบรวมมาไว้ด้วยตัวเอง

หลิวเหล่าเฉิงเริ่มทนมองไม่ได้ จึงส่ายหน้า “ข้าขอคืนคำพูดก่อนหน้านี้ ดูท่าชั่วชีวิตนี้เจ้าคงเป็นผู้ฝึกตนอิสระไม่ได้หรอก”

เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งชี้ไปยังเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง “ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”

หลิวเหล่าเฉิงชำเลืองตามองอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้น ผู้ฝึกตนเฒ่านั่งอยู่บนหัวเรือ เพียงแค่เอื้อมมือคว้าง่ายๆ หนึ่งทีก็ทำให้สำนักแห่งหนึ่งที่อยู่บนเกาะใกล้เคียงห่างไปแค่สิบกว่าลี้พังครืน บรรพจารย์เซียนดินโอสถทองท่านหนึ่งของเกาะตกใจรีบคลายวิชาอภินิหารลับออกไปทันที เขาไม่ได้ใช้วิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือมาลอบสังเกตเรือพายและคนทั้งสอง แต่ใช้ปลาลอบฟังเสียงตัวหนึ่งที่ลงอักขระซ่อนอยู่ในท้องตัวเองให้แอบมาว่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กับตัวเรือ หมายจะแอบฟังบทสนทนาของคนทั้งสอง

หลิวเหล่าเฉิงนั่งขัดสมาธิ “ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว มีคนแบบใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดถึงมีคนมากมายขนาดนั้นชอบรนหาที่ตาย เหตุใดคนอย่างเจ้าและข้าถึงได้มีน้อยนัก”

เฉินผิงอันกล่าว “บางทีในสายตาของตู้เม่า ครั้งที่ข้าอยู่ในนครมังกรเฒ่าก็คือการรนหาที่ตาย ในสายตาของบุคคลยิ่งใหญ่บางคน ในช่วงอายุที่ข้าไม่รู้ เจ้าเกาะหลิวเองก็ต้องถูกคนมองเช่นนี้เหมือนกัน”

หลิวเหล่าเฉิงเอ่ย “มองดูคล้ายกัน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เหมือนกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ สายตามืดมน

หลิวเหล่าเฉิงพลันเอ่ยว่า “เจ้ากล้าขึ้นเกาะไปหาข้า นอกจากบนร่างพกหยกแผ่นนั้น และเรื่องบางอย่างที่เจ้าและข้าต่างก็รู้แล้ว ข้าเดาว่ายังมีสาเหตุอย่างอื่นอีกกระมัง? แต่ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก”

เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง เขาพยักหน้ารับกล่าวว่า “เป็นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญมาก แต่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เล็กมาก”

ถึงอย่างไรหลิวเหล่าเฉิงก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องเล็กที่ว่านี้ คล้ายกำลังเล่นทายปริศนา

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าเกาะหลิวเดาไม่ถูกหรอก อย่าเปลืองแรงเลย”

หลิวเหล่าเฉิงตบขอบเรือเบาๆ “ข้าเดาออกแล้ว”

เฉินผิงอันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

เรื่องเล็กนั่น เล็กมากจริงๆ

ที่ตรอกท่าเรือหางผึ้งมีคนหนุ่มเรือนกายกำยำหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งอาศัยอยู่ แล้วก็เป็นคนที่เฉินผิงอันรู้จักพอดี เขาก็คือคนโชคดีที่ได้รับโชควาสนาเป็นโซ่จากบ่อโซ่เหล็กของถ้ำสวรรค์หลีจู เขาบอกกับเฉินผิงอันว่าสามารถหาซื้อเหล้าเซียนบ่อน้ำที่ดั้งเดิมที่สุดได้จากที่ไหน

ภายหลังเผยเฉียนบอกว่า นี่คือคนดี

เฉินผิงอันเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

และตรอกหางผึ้งก็เป็นสถานที่ที่มังกรลุกผงาดของหลิวเหล่าเฉิง ผู้ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป

อาจารย์ที่สามารถสอนลูกศิษย์ให้เป็น ‘คนดี’ แบบนี้ได้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นคนดีด้วย แต่ต้องมีบรรทัดฐานในการหยัดยืนที่ชัดเจนอย่างถึงที่สุดเป็นของตัวเองอย่างแน่นอน และนั่นก็คือกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งที่มั่นคงมิอาจทำลาย

ต้องรู้ว่า

เรื่องราวบนโลกซับซ้อน คำพูดและการกระทำของทุกคน หากอิงตามวงกลมที่เฉินผิงอันวาดแบ่งให้เป็นหกชิ้นส่วนใหญ่แล้ว จิตใจคนหมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่แน่นอน เพียงแต่หลังจากสืบเสาะค้นคว้าอย่างละเอียดแล้ว เฉินผิงอันก็ยิ่งค้นพบว่า บางทีอาจมีเส้นหนึ่งหรือสองเส้นที่คอยประคับประคองทั้งหมดอยู่ นี่ก็คืออุปสรรคทางเส้นสายที่ชุยตงซานเคยพูดถึง มีความคล้ายคลึงกับ ‘เส้นความเป็นไปเป็นมา’ ที่นักพรตเฒ่าเคยเสนอ ถ้าเช่นนั้นหากนำ ‘อุปสรรคทางเส้นสาย’ ที่เป็นความหมายในเชิงลบมามองมุมกลับ ก็จะสามารถเอามาใช้วิเคราะห์จิตใจคนได้

จากนั้นก็ค่อยใช้ทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาปฏิบัติต่อแต่ละเรื่องอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งสองอย่างอาจจะมีความขัดแย้งกันเอง แต่ก็มีการส่งเสริมกันและกันซึ่งมีความหมายที่มากกว่า

ครั้งนี้เฉินผิงอันเสี่ยงอันตรายเดินขึ้นเกาะก็เพราะอยากเห็นเองกับตา อยากได้ยินเองกับหู เพื่อนำมันมายืนยันเส้นที่หกของทะเลสาบซูเจี่ยน

หัวของเส้นอยู่บนร่างหงซู ปลายของเส้นอยู่ในมือของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนนั้น

พยายามให้รู้มากขึ้นอีกหน่อย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดี

รู้มากขึ้น คิดพิจารณามากขึ้น ก็จะได้ทำผิดน้อยลง

ชุยตงซานเคยถามตนตอนอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาว่า หากใช้วิธีการที่ผิดจนบรรลุผลลัพธ์ที่ถูกต้องที่สุด สรุปแล้วนั่นคือผิดหรือถูก?

ตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังคงไม่อาจให้คำตอบแก่เขาได้

แต่เส้นหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นบนทะเลสาบซูเจี่ยนกลับเริ่มค่อยๆ ชัดเจนขึ้น นั่นคือควรจะใช้วิธีอย่างไรไปทำผิดให้น้อยลงได้อย่างไร ใช้สภาพจิตใจแบบไหนไปแก้ไขความผิดพลาดอย่างไร

ความรู้สึกลี้ลับมหัศจรรย์ที่มองไม่เห็นนั้นก็เหมือนกับ…ภูเขาสูงพระจันทร์เล็ก น้ำลดหินผุด

หลิวเหล่าเฉิงถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเหตุใดข้าถึงยินดีบอกเล่าขั้นตอนการ ‘ผสานมรรคา’ ของตัวเองกับเจ้าอย่างละเอียดเช่นนี้? เพียงแค่เพราะกักเก็บมันมานานหลายปี หากไม่พูดออกมาก็จะค้างคาใจจริงๆ น่ะหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าต้องอยากรู้อยู่แล้ว แต่คิดไปคิดมาก็คิดคำตอบไม่ออก ก็เลยไม่อยากรู้อีก”

หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “คนคนหนึ่งไม่มีทางรู้เลยว่าวาสนาช่วงไหนจะผลิดอกออกเป็นผลของบุญสัมพันธ์ หรือผลของกรรมร้าย”

เฉินผิงอันเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกใหม่อย่างไม่ระมัดระวังแม้แต่น้อย

หากหลิวเหล่าเฉิงตัดสินใจว่าจะสังหารเขาจริงๆ เพียงแค่ดีดนิ้วมือก็ทำได้ ง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ ไม่เปลืองแม้แต่แรงเป่าฝุ่น

แผ่นหยก เจี้ยนเซียน น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ชุดคลุมอาคม วิชาหมัดวิชากระบี่

หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสีย ถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ กองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลี

รวมไปถึงเรื่องเล็กที่ทำให้เฉินผิงอันมีความกล้าจะเดินขึ้นเกาะ

สิ่งละอันพันละน้อย เหมือนฝุ่นดินที่สะสมกันจนกลายเป็นภูเขา ลมมาฝนฟ้าก็ก่อตัว

ทั้งหมดนี้ล้วนต้องรับรองความปลอดภัยของหงซูก่อน จากนั้นค่อยทำตามแผนการในใจของตัวเอง

ไม่อาจข้ามก้าวแรกไปได้

ไม่อย่างนั้นจิตใจของเฉินผิงอันจะไม่สงบ

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว คำเรียกขานว่าสหายนี้อยู่ในจอกเหล้าท่ามกลางลมวสันต์ดอกท้อดอกหลีผลิบาน และยิ่งอยู่ท่ามกลางการไม่รักตัวกลัวตาย ไม่คำนึงถึงชีวิต

หลิวเหล่าเฉิงถาม “เพื่อหงซูที่รู้จักกันอย่างผิวเผิน คุ้มแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ตัวข้าเองก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้ม”

หลิวเหล่าเฉิงอึ้งตะลึง

แต่จากนั้นเฉินผิงอันก็พูดเสริมขึ้นว่า “แต่ข้าสบายใจ”

หลิวเหล่าเฉิงมองดวงตาคู่นั้นของคนหนุ่ม แล้วผู้ฝึกตนเฒ่าก็ถอนสายตากลับตา ตบกราบเรือหัวเราะร่า ไม่ให้คำวิจารณ์ใดๆ เพียงแค่กวาดตามองไปรอบด้าน “ยามที่มีเวลาว่างก็เป็นเจ้าของสายลมและพระจันทร์ในโลกมนุษย์ แต่เมื่อตัวเองได้เป็นเทพเซียนที่แท้จริงแล้วถึงจะรู้ว่าไม่ควรที่จะอยู่ว่าง”

เฉินผิงอันขยับปากทำท่าจะพูดแล้วก็หยุด สุดท้ายถามว่า “หากข้าพูดความจริงที่ไม่น่าฟังอย่างหนึ่ง เจ้าเกาะหลิวจะช่วยเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างกับข้าได้หรือไม่?”

หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็อดทนอดกลั้นไว้เถอะ ข้าไม่อยากฟัง”

เฉินผิงอันก็ไม่เปิดปากพูดจริงๆ

เดิมทีเขาอยากด่าหลิวเหล่าเฉิงว่า มารดาเจ้าเถอะ อย่ามาทำตัวเป็นคนนั่งพูดไม่ปวดเอวอยู่แถวนี้เลย

บนเรือพายลำเล็ก คนทั้งสองเงียบงันไป

คนบนเกาะมากมายของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เห็นภาพนี้กับตาของตัวเองหรือไม่ก็รู้ข่าวนี้ ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ลับๆ อย่างดุเดือด

หลิวเหล่าเฉิงที่หลับตาทำสมาธิมาพักใหญ่พลันลืมตาขึ้น เอ่ยสัพยอกว่า “โอ้โห จิตใจวุ่นวายแล้ว? นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากนัก เฉินผิงอัน เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”

ฟ้าดินกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

เรือน้อยลำหนึ่ง กับจุดเล็กเท่าเมล็ดงาอีกสองจุด

เฉินผิงอันหยุดพายเรือ ทรุดตัวลงนั่ง วางไม้พายพาดขวางไว้บนเรือ เขาเพียงดื่มเหล้าหนึ่งอึก เงียบงันไม่พูดไม่จา

แม้ว่าสภาพจิตใจของเขาในเวลานี้จะไม่สามารถฝึกหมัดและฝึกกระบี่ได้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเฉินผิงอันคิดจะทุบไหที่แตกให้แหลกละเอียด

ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันสืบเสาะค้นหาถึงรากฐานของปณิธานหมัดและวิชากระบี่ที่แท้จริง

ไม่ใช่แค่ถามหาผลเก็บเกี่ยวจากสองคำว่าขยันหมั่นเพียรเท่านั้น

ตอนนั้นที่อยู่บนทะเลสาบนอกนครอวิ๋นโหลว เฉินผิงอันที่ร่างกายและจิตวิญญาณบาดเจ็บสาหัสสามารถต่อยผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนหนึ่งที่เข้าประชิดตัวให้ตายได้ ถึงแม้จะมีขีดจำกัดด้านร่างกาย การออกหมัดค่อนข้างเปลืองแรง และหลังจบเรื่องยังมีโรคร้ายทิ้งไว้อีกไม่น้อย แต่หากพูดถึงด้านของสภาพจิตใจ นับตั้งแต่ตอนที่เฉินผิงอันคิดจะออกหมัดไปจนถึงออกหมัดใส่บนร่างของศัตรู ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ปณิธานหมัดไหลรินได้ดั่งเมฆคล้อยน้ำไหล ได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนั้นมาก่อน

นั่นต่างหากถึงจะเป็นขอบเขตที่ทั้งคนฝึกหมัดและคนเล่นหมากล้อมศรัทธาเลื่อมใส เบื้องหน้าไร้ผู้คน

เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตนี้ได้อย่างเต็มตัว แต่หากจะบอกว่าเท้าข้างหนึ่งหรือครึ่งข้างได้เหยียบเข้าไปในขอบเขตนี้แล้วก็ไม่ใช่ว่าเขาเฉินผิงอันทระนงตน ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแน่นอน

นี่พอจะทำให้เฉินผิงอันวางใจได้บ้าง

ทุ่มเทแรงกายแรงใจตั้งใจทำเรื่องเรื่องหนึ่ง ก็ไม่ควรกลายเป็นว่าพยายามชดเชยความผิดหนึ่งอย่างยากลำบาก แต่กลับทำความผิดอีกอย่างหนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว

ถ้าอย่างนั้นการขีดเส้นแบ่งและวาดขอบเขตทั้งหมดในทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อไปมองเส้นของความเป็นไปเป็นมาห้าหกเส้นนี้ สุดท้ายจะกลายเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น

เฉินผิงอันหยุดพักครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนพายเรืออีกครั้งพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “หลิวเหล่าเฉิง ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ชอบการวางตัวและการจัดการเรื่องราวของเจ้าแม้แต่น้อย แต่เรื่องราวระหว่างเจ้ากับนางนั้น ข้า…”

เฉินผิงอันคิดอยู่นานก็ยังนึกหาถ้อยคำที่เหมาะสมไม่เจอ ก็เลยยกนิ้วโป้งให้กับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบตรงหน้าเสียเลย จากนั้นจึงพูดว่า “แต่หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับเจ้า ข้าต้องทำได้ดีกว่าเจ้าแน่นอน”

กล่าวมาถึงตรงนี้นักบัญชีหนุ่มที่ท่าทางเหนื่อยล้า สองข้างแก้มซูบตอบยังคงพายเรือต่อไป แต่บนใบหน้ากลับมีน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย “ในเมื่อได้เจอกับแม่นางที่ดีขนาดนั้น จะตัดใจทรยศนางได้อย่างไร”

—–