มู่เฉียนซีไปถึงที่ที่เสี่ยวหงชี้อย่างรวดเร็ว และรับรู้ได้ว่าที่นั่นมีพลังเคลื่อนไหวอยู่!
ตรงนี้เป็นที่อยู่ของประตูชีวิตที่ควบคุมหนามเพลิงนับหมื่นนับพัน ตราบใดที่ทำลายเจ้าหมอนี่ได้ หนามเพลิงเหล่านั้นก็ไม่สามารถโจมตีได้แล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “อู๋ตี้ ถอยไป!”
“ขอรับ!”
หลังจากที่อู๋ตี้ก้าวออกไป มู่เฉียนซีก็ยกแขนขึ้นและถ่ายเทพลังวิญญาณทั้งหมดเข้าไป
เสียงอันเย็นชาตะโกนขึ้น “บัวแดงพิฆาต!”
ตูม! เสียงดังสนั่นขึ้น บัวอัคคีดอกหนึ่งงดงามอย่างไร้ที่เปรียบ และได้ผลิบานต่อหน้าทุกคน เสมือนไฟที่โหมไหม้
และด้านหน้าเปลวไฟบัวแดงนั้น มีหญิงสาวกำกระบี่ยาวอยู่ผู้หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าใบหน้านั้นดูธรรมดามาก แต่ดวงตาคู่นั้นกลับสุกสกาวราวกับดวงดาราก็มิปาน
รูปร่างอันเพรียวบางนั้นมีเปลวเพลิงลุกโชนของบัวแดงเป็นพื้นหลัง มีบุคลิกที่โดดเด่น พลังที่ออกมานั้นก็คุกคามเป็นอย่างยิ่ง!
นางประดุจคมในฝัก สามารถสังหารฟ้าทำลายดินได้
สวบ สวบ สวบ! และทันใดนั้นเอง หนามเพลิงเหล่านั้นทั้งหมดที่ล้อมรอบทุกคนก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
แกนกลางที่ควบคุมพวกมันได้ถูกมู่เฉียนซีโจมตีด้วยบัวแดงพิฆาตจนขาดสะบั้น
พวกมันได้สูญเสียพลังไปทั้งหมด และไม่มีกำลังที่จะโจมตีผู้ใดได้อีกแล้ว!
สวบ ซ่า สวบ ซ่า!
พวกมันแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จนกลายเป็นประกายไฟเล็ก ๆ ในท้องฟ้ายามรัตติกาล และมู่เฉียนซีก็อยู่ท่ามกลางประกายไฟนั้น
ทุกคนไม่อยากจะเชื่อเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ พวกเขาได้รับการช่วยเหลือแล้ว!
ภายใต้การโจมตีของหนามเพลิงอันมากมายนี้ เขาได้รับการช่วยเหลือแล้ว
และคนที่ช่วยพวกเขาเอาไว้นั้น นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหญิงสาวผู้มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตที่มีอายุเพียงแค่สิบกว่าปี
นางเปรียบเสมือนเทพสงครามแห่งเปลวเพลิง เปรียบเสมือนเทพธิดาอัคคีที่ทำให้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือ!
ปัง! พลังวิญญาณได้ถูกถ่ายเทเข้าไปในกระบี่มากเกินไป มู่เฉียนซีสูญเสียพลังวิญญาณไปสิ้น จึงไม่สามารถประคับประคองมันไหวแล้ว!
ปลายกระบี่มังกรเพลิงเสียบเข้าไปในดิน นางจับด้ามกระบี่เอาไว้แน่นถึงจะฝืนยืนได้
จวินโม่ซีพรวดเข้าไป และกล่าวถามด้วยความเป็นห่วงว่า “สาวน้อย เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไรมาก พักครู่หนึ่งก็หายแล้ว!”
ตอนนี้บริเวณรอบ ๆ ยุ่งเหยิงไปหมด เจ้าสำนักเฝินกล่าว “ตรวจดูผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แล้วตั้งค่ายพักกันใหม่”
เพื่อตอบแทนมู่เฉียนซีที่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้ พวกเขาจึงได้ทำกระโจมแรกเตรียมไว้ให้มู่เฉียนซี
หลายคนอยากไปกล่าวขอบคุณนาง แต่เพราะตอนนี้นางนั้นได้สลบหมดสติไป จึงไม่อยากไปรบกวนนาง!
เดิมทีจวินโม่ซีอยากจะอยู่เฝ้ามู่เฉียนซี แต่สุดท้ายร่างสีเขียวร่างหนึ่งได้ส่องประกายขึ้น
ตูม! จวินโม่ซีถูกโจมตีกระเด็นออกไปจากกระโจม
“เจ้าท่อนไม้ กว่าเจ้าจะออกมาได้แต่ละครั้งมันไม่ง่ายเลย แล้วยังจะมาทำเช่นนี้กับข้าอีกเหรอ เจ้านี่ก็ช่างไร้ความปรานีเกินไปแล้ว!”
เป็นเพราะต้องปลอมตัวเข้าไปในหุบเขาหมอเทวดา หากมู่เฉียนซีพาชิงอิ่งไปด้วยก็อาจจะถูกเปิดโปงได้ง่าย
ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงให้ชิงอิ่งไปจัดการเรื่องที่หอหมอปีศาจเพื่อฝึกฝนอำนาจมืดของหอหมอปีศาจ
ถึงแม้ว่าชิงอิ่งจะไม่สมัครใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่อยากจะขัดต่อความต้องการของมู่เฉียนซี
ตอนนี้เขายิ่งอยู่ยิ่งเหมือนมนุษย์คนหนึ่งเข้าไปทุกวันแล้ว โม่จิ่นบอกว่าเขาฝึกฝนอำนาจมืดของหอหมอปีศาจได้ยอดเยี่ยมทีเดียว ตอนนี้เขาก็ได้ร่วมการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ด้วย แต่เพียงแค่ไม่ออกหน้าก็เท่านั้น
เมื่อเห็นมู่เฉียนซีหมดสติไปเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำสั่งจากนาง แต่ชิงอิ่งก็อดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงได้ปรากฏตัวออกมาอยู่ข้างกายนาง
“รบกวนเฉียนไม่ได้เด็ดขาด!” ชิงอิ่งได้ปิดกระโจมลง หากจวินโม่ซีกล้าเข้ามาอีก ก็จะต้องโดนเตะออกไปแน่นอน!
จวินโมซีพึมพำว่า “เจ้าท่อนไม้ผู้นี้ผิดปกติไปแล้ว! คงจะไม่ใช่เพราะกินยาผิดหรอกกระมัง!”
ชิงอิ่งเฝ้ามู่เฉียนซีอยู่ข้าง ๆ จ้องมองนางโดยที่ไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด เหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่งก็มิปาน
มู่เฉียนซีรู้สึกตัวขึ้นมาก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว ในขณะที่นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมานั้น ชิงอิ่งก็ถือเม็ดยาวิญญาณกอบมือหนึ่งให้กับนาง
“เฉียน ยา!”
ทั้งหมดนี้เป็นเสบียงที่มู่เฉียนซีได้เตรียมเอาไว้ให้เขาหลังจากที่แยกกับเขา!
มู่เฉียนซีเห็นร่างที่คุ้นเคยนี้ นางก็ยิ้มพลางกล่าว “ชิงอิ่ง ไม่ได้เจอกันนานแล้ว!”
“ไม่ได้เจอกัน……นานแล้ว!” ในขณะที่กล่าวนั้น ชิงอิ่งก็ได้จ้องมองมู่เฉียนซีอย่างแน่วแน่
“เช่นนั้น ต่อไปนี้เฉียนก็อย่าให้ข้าแยกจากเฉียนอีกเลย” ดวงตาดำขลับคู่นั้นดูเหมือนจะมีร่องรอยของความปวดใจอยู่
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ชิงอิ่ง เจ้าเป็นอะไรไป?”
ชิงอิ่งมองไปที่มู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง และกล่าวว่า “เฉียนไม่ได้อยู่ในสายตาของข้า มันไม่ดีเลย ข้าเป็นหุ่นเชิดของเจ้า เจ้าจะต้องอยู่ในสายตาข้า ข้าถึงจะปกป้องเจ้าได้ หากอยู่ห่างไกลเจ้า แล้วข้าจะมีประโยชน์อันใด”
ก็แค่แยกจากมู่เฉียนซีแค่ช่วงหนึ่ง อยู่ร่วมกันกับคนอื่นแค่ช่วงเวลาเดียวเท่านั้น
ในใจของเขาราวกับว่ามีอะไรอยู่ในใจมากมาย
มู่เฉียนซีกล่าว “ใครบอกว่าเจ้าเป็นหุ่นเชิดของข้า?”
“ข้ารู้ ข้าใช่!” เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรเลยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“ก็ข้าบอกแล้วว่าไม่ใช่ เจ้าเป็นสหายของข้า เป็นคู่หูของข้า ไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์เลย อีกอย่างเจ้าก็ไม่ได้ถูกควบคุม เจ้าแค่ถนัดในเรื่องการต่อสู้เท่านั้น”
“ได้เป็นสหายของเฉียน เป็นคู่หูของเฉียน ก็ต้องแยกจากเฉียน ข้ายอมเป็นหุ่นเชิดของเฉียน!”
เขาเข้าใจ ก็เหมือนจวินโม่ซีที่ถูกบังคับให้แยกจากเฉียนอย่างจนปัญญา
ไหนจะโม่จิ่น เพื่อหน้าที่การงานจึงต้องแยกจากเฉียน และยังมีคนอื่น ๆ……
มู่เฉียนซีกล่าว “ชิงอิ่งไม่ใช่หุ่นเชิด บนโลกใบนี้ไม่มีหุ่นเชิดใดที่มีหัวใจ!”
“หากไม่สามารถอยู่ข้างกายเฉียนได้ เช่นนั้น ข้าก็ยอมควักหัวใจดวงนี้ออกมา จะได้กลายเป็นหุ่นเชิดของเฉียน ข้าไม่อยากเป็นสหายของเฉียน ไม่อยากเป็นคู่หูของเฉียน แค่อยากเป็นหุ่นเชิดที่ปกป้องเฉียน เพียงเท่านั้น!”
เขาสามารถควักหัวใจดวงนั้นออกมาอย่างโหดเหี้ยมได้จริง ๆ เขาคิดว่าบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการได้ปกป้องคนตรงหน้าผู้นี้อีกแล้ว
เมื่อก่อน ไม่เคยต้องจากกันนานเช่นนี้มาก่อน เมื่อก่อน หัวใจของเขาไม่เคยมีชีวิตชีวาเช่นนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ เขามีความรู้สึกแล้ว!
เมื่อไม่ได้เห็นนาง สำหรับเขาแล้ว มันทรมานราวกับตกอยู่ในนรกก็มิปาน!
จวินโม่ซีพูดถูก นี่คือท่อนไม้ท่อนหนึ่ง แต่เหตุใดถึงเป็นท่อนไม้ที่พูดไม่ออกเช่นนี้
มู่เฉียนซีรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย สิ่งนี้ทำให้ชิงอิ่งกระวนกระวายใจขึ้น
“เฉียน ไม่สบายเหรอ?” เขากล่าวเสียงต่ำ
มู่เฉียนซีจับเขาไว้ และกล่าวว่า “ชิงอิ่ง ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ หัวใจดวงนี้ข้าเป็นคนมอบให้เจ้า หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า แล้วเจ้ากล้าควักมันออกมา ข้าจะยกเลิกพันธสัญญากับเจ้า ทำให้เจ้าไม่มียาวิญญาณกิน ให้เจ้าอดตายไปเอง”
ชิงอิ่งพยักหน้าพลางกล่าว “ขอรับ!”
มู่เฉียนซีกินเม็ดยาวิญญาณลงไป และได้พักผ่อนต่อ
เพิ่งจะเข้ามาในป่าหัวใจเพลิงแค่สามวันก็ได้เจอกับอันตรายที่อกสั่นขวัญหายเช่นนี้แล้ว
ไม่รู้ว่าในส่วนลึกของป่าหัวใจเพลิงจะมีอันตรายใดเกิดขึ้นอีก จำเป็นต้องเพิ่มพลังเอาไว้ให้มากถึงจะได้
โม่จิ่นมองจวินโม่ซีที่ถูกเตะกระเด็นออกมา “เป็นอะไรไปล่ะ ท่านหัวหน้านักปรุงยาจวิน ถูกองครักษ์ชิงอิ่งไล่ออกมาแล้วเหรอ”
จวินโม่ซีบ่น “เจ้าท่อนไม้นั่นจะทำอะไร ข้าเป็นถึงนักปรุงยา สามารถดูแลสาวน้อยได้ เขาเป็นแค่เจ้าท่อนไม้แล้วยังจะเตะข้าออกมาอีก เขาจะเข้าใจอะไรล่ะ”
โม่จิ่นกล่าว “ข้าว่าองครักษ์ชิงอิ่งต้องอิจฉาท่านเป็นแน่ ท่านกับนายท่านอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกันตลอดเวลาที่หุบเขาหมอเทวดา แต่เขากลับเหมือนถูกทิ้งซะอย่างนั้น”
มุมปากของจวินโม่ซีกระตุกเล็กน้อย “อิจฉา! เป็นไปได้ยังไง! หากเจ้าท่อนไม้นั่นอิจฉา เกรงว่าวันพรุ่งพระอาทิตย์คงจะขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วล่ะ”
วันต่อมา อาการของทุกคนก็ดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว เจ้าสำนักเฝิน และคนจำนวนไม่น้อยต่างก็พากันมาขอบคุณมู่เฉียนซี พวกเขากล่าวด้วยความสงสัยว่า “สาวน้อย เมื่อคืนเจ้าทำได้อย่างไรกัน หรือเป็นเพราะกระบี่เล่มนั้นใช่หรือไม่?”