อีเซนั่งอยู่ตรงลานน้ำพุทั้งๆ ที่ใส่เพียงแค่เสื้อบางๆ แถมยังไม่ได้พันผ้าพันคออีกด้วย ท่าทางด้านข้างของหมอนั่นที่เอามือสองข้างล้วงกระเป๋า สองเท้าเหยียดตรง แล้วเงยหน้ามองเหม่อไปยังท้องฟ้า ดูว้าเหว่อย่างประหลาด หรือว่าจะเป็นเพราะตอนนี้คือฤดูหนาวกันนะ 

 

 

ฉันถึงกับชะงักเพราะท่าทางของอีเซที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ หลังจากสองจิตสองใจอยู่สักพัก ฉันก็เดินเข้าไปหาหมอนั่นพร้อมกับซุกหน้าอยู่ภายใต้ผ้าพันคอผืนใหญ่ 

 

 

“อะไรเนี่ย นายน่ะ ไม่หนาวรึไง” 

 

 

ฉันแกล้งทำเป็นพูดจากวนๆ ขณะนั่งลงข้างอีเซ แต่หมอนั่นก็ยังคงไม่พูดอะไร นั่นจึงทำให้ฉันรู้สึกเขินขึ้นมา ในตอนที่อีเซแกล้งเขี่ยเท้าเล่น มือของอีเซที่ล้วงลึกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อก็โผล่พรวดออกมา แล้วโยนอะไรสักอย่างมาที่ตักของฉัน 

 

 

“…นี่มันอะไรน่ะ” 

 

 

มันคือซองกระดาษที่ใหญ่กว่าโปสการ์ดนิดหน่อย ฉันหยิบมันขึ้นมาด้วยสีหน้ามึนงง ก่อนจะมองหน้าของอีเซ อีเซยังคงเอาแต่นั่งเขี่ยปลายเท้าโดยไม่หันหน้ามามองฉัน พลางพูดขึ้นมาห้วนๆ 

 

 

“เธอเอาไปสิ” 

 

 

ฉันค่อยๆ เปิดถุงนั่นออกด้วยสีหน้างงงวยเพื่อดูของที่อยู่ข้างใน สิ่งที่ไหลออกมาจากข้างในซอง คือ สมุดบัญชีธนาคารที่มีชื่อของอีเซและตราประทับ ฉันกางสมุดบัญชีออกดูด้วยสีหน้าสงสัย แล้ววินาทีนั้นฉันก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง 

 

 

“…นี่ ทำไมถึงได้…” 

 

 

“ไปด้วยกันเถอะนะ โลซานน์น่ะ” 

 

 

ฉันไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ พลางหันหน้าไปหาอีเซ แต่หมอนั่นกลับกำลังจ้องเขม็งมาที่ฉันตรงๆ ด้วยสายตาแน่วแน่ 

 

 

“เซจินเป็นคนบอกน่ะ อย่าห่วงไปเลย ฉันไม่บอกพี่หรอก” 

 

 

เป็นเพราะอากาศหนาวหรือเปล่านะ หน้าของอีเซถึงได้แดงเป็นพิเศษ ฉันมองสมุดบัญชีของอีเซด้วยใบหน้าโกรธๆ และมือที่สั่นเทา ไม่ว่าจะยังไงนี่มันก็เกินจะ… 

 

 

“…อีเซ ไม่ได้ ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก” 

 

 

สักพักกว่าที่ฉันจะเค้นเสียงออกมาได้ แต่เหมือนอีเซจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว เขายักไหล่ แล้วจึงพยายามยัดของเหล่านั้นใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทของฉัน ฉันดึงมือของอีเซเอาไว้แน่น พลางบิดตัวหลบ แต่อยู่ดีๆ มือใหญ่ๆ ของหมอนั่นก็มาจับแขนของฉันเอาไว้ 

 

 

“ไม่ได้ให้เฉยๆ หรอกนะ แค่ให้ยืมต่างหากละ” 

 

 

“…” 

 

 

“มันไม่ใช่เงินสกปรกหรอกนะ ฉันเก็บสะสมมาจากการทำงานพิเศษตอนกลางคืนน่ะ” 

 

 

อีเซทำหน้าบึ้งพร้อมกับปากจู๋ พอเห็นแบบนั้นแล้ว มันก็ทำให้ฉันพูดไม่ออกอีกครั้ง เงินเท่านี้ไม่มีทางหามาได้เพียงเพราะทำงานแค่วันสองวันหรอกนะ อีกทั้งหมอนั่นก็วุ่นอยู่กับทั้งโรงเรียนแล้วก็ที่อคาเดมี่ แล้วในไม่ช้าก็จะต้องไปโลซานน์ด้วย จะไปทำงานพิเศษตอนกลางคืนได้ยังไงกันเล่า 

 

 

วินาทีนั้น ฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาถึงกลิ่นของโรงอาบน้ำที่โชยมาจากตัวของหมอนั่นบ่อยๆ ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน จนมาถึงฤดูใบไม้ร่วง ไหนจะคำพูดของรุ่นพี่อีกงอีกที่บอกว่าหมอนั่นไม่ค่อยได้กลับบ้านอีก 

 

 

ในตอนนั้นเองที่ฉันได้เข้าใจเรื่องทั้งหมด ฉันเม้มปากแน่น พลางแกะมือของหมอนั่นที่จับอยู่ที่แขนของฉันออกไป ถ้าเป็นเงินแบบนั้นละก็ฉันยิ่งรับไว้ไม่ได้เข้าไปใหญ่ 

 

 

“นี่มันเงินที่นายเก็บรวบรวมมาเพื่อจะใช้ไม่ใช่หรือไง ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก” 

 

 

“ยังไงมันก็เป็นเงินที่เก็บเอาไว้เพื่อเธออยู่ดีนั่นแหละน่า” 

 

 

“…หา?” 

 

 

คำพูดที่ฟังไม่รู้ความหมายของอีเซทำให้ฉันได้แต่จ้องหน้าของหมอนั่นด้วยตาที่เบิกโพลงเหมือนปลาทอง อีเซดันมือของฉันที่กำลังถือสมุดบัญชีกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออีกครั้ง แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าบึ้งตึง 

 

 

“เอาเป็นว่า เหลือเวลาจ่ายค่าสมัครอีกไม่เท่าไหร่แล้ว ฉะนั้นก็ใช้เจ้านี้จ่ายไปซะ ไว้หลังคุณป้าของเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ตอนนั้นเธอค่อยให้ฉัน” 

 

 

“…” 

 

 

“ฉันคิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้ หยุดทำหน้าแบบนั้นได้หรือยัง” 

 

 

ท่าทางของอีเซที่เขกหัวฉันเบาๆ ส่งผลให้ฉันทำได้เพียงแต่ก้มหน้าลง ความจริงแล้วฉันอยากไปเหลือเกิน ถึงจะไม่กล้าพูดออกมา แต่ฉันก็อยากที่จะไป ฉันอยากจะไปสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่โลซานน์ อยากจะไปเจอประสบการณ์แบบเดียวกับที่รุ่นพี่อีกงเคยเจอ อยากจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับรุ่นพี่ 

 

 

แต่ว่าโชคชะตาก็มักจะใจร้ายกับฉันเสมอ มันมักจะผ่านมาทำให้เจ็บแล้วก็ผ่านไป ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันชินชากับการยอมรับมันพอสมควรแล้ว แต่ในครั้งนี้มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด ไม่สิ ฉันไม่อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นต่างหาก 

 

 

“…นี่เธอร้องไห้เหรอ” 

 

 

อีเซที่ทำตัวไม่ถูกจับหน้าของฉันให้เงยขึ้นมา สุดท้ายฉันก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาจนถึงกับหายใจฟืดฟาด บอกตามตรงว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ฉันรู้สึกชิงชังในโชคชะตาของตัวเอง ที่มักจะเกิดแต่เรื่องโชคร้าย ฉันเกลียดทั้งพ่อที่ทิ้งฉันไปและก็แม่ที่ไม่เคยติดต่อมาเลยสักครั้ง รู้สึกเหมือนกับว่าถูกทิ้งอย่างไร้เยื่อใยจริงๆ 

 

 

ทั้งที่ฉันเตรียมใจไว้แล้ว ว่าให้ยอมแพ้ ว่านี้ไม่ใช่ของของฉัน ทั้งที่อุตส่าห์พยายามคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ 

 

 

“นี่ คิมฮวีกยอม ร้องไห้ทำไม อย่าร้องสิ นะ นี่…” 

 

 

อีเซที่ลุกลี้ลุกลนและทำตัวไม่ถูก ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาของฉันอย่างร้อนรน สายตาที่พร่ามัวของฉันมองไปเห็นขอบตาแดงๆ ของหมอนั่น ฉันกอดคอของอีเซที่เปลือยเปล่า แล้วก็เอาแต่ร้องแล้วร้องอีกอย่างโศกเศร้า มันทั้งขอบคุณ ทั้งรู้สึกผิด แล้วก็เขิน… ความรู้สึกที่พันกันยุ่งเหยิงไปหมดไหลออกมาพร้อมกับน้ำตา 

 

 

ใช่แล้ว การที่มีเพื่อนที่สามารถแสดงให้เห็นด้านที่อ่อนแอแบบนี้ได้ คงจะเป็นเรื่องโชคดีไม่กี่อย่างในชีวิตของฉัน 

 

 

ฉันมีทั้งเพื่อนที่ร้องไห้เพื่อฉัน และเพื่อนที่ยอมสละสิ่งที่ตัวเองมีเพื่อฉันด้วยความยินดี ทั้งที่ฉันมีเพื่อนๆ ที่สุดยอดแบบนี้อยู่ ฉันจะมายอมแพ้กับความโชคร้ายเพียงแค่นี้ได้ยังไงกัน 

 

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มือของอีเซค่อยๆ ตบหลังของฉันที่กำลังสั่นเทาอยู่เพื่อเป็นการปลอบใจ ฉันเอาแต่ร้องไห้อยู่สักพักใหญ่ๆ ในอ้อมกอดของอีเซ เพื่อที่จะไม่ให้น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

เวลานี่มันช่างแปลกจริงๆ ตอนที่จะให้มันหมดลงเร็วๆ แต่ละวินาทีกลับรู้สึกยาวนานเหมือนเป็นปี แต่เวลาเพียงวินาทีเดียวที่เรารู้สึกหวงแหนกลับผ่านไปเพียงแค่พริบตาเดียว ราวกับว่ามีภูตที่คอยกลืนและคายเวลาทีละนิดทีละหน่อยอยู่จริงๆ 

 

 

ในที่สุดวันพรุ่งนี้ ฉันก็จะได้ขึ้นเครื่องไปโลซานน์แล้ว นี่เป็นค่ำคืนที่ฉันไม่อาจหลับได้ลงเพราะความตื่นเต้นและความกังวลที่ไม่หายไปไหน ฉันที่ออกมาจากตึกของอคาเดมี่เป็นคนสุดท้ายพร้อมกับคุณลุงยาม เงยหน้ามองท้องฟ้าตอนกลางคืนที่มืดมิดพร้อมกับถอนหายใจออกมา 

 

 

“เหนื่อยไหม” 

 

 

เสียงที่ได้ยินในตอนนั้นคือเสียงของรุ่นพี่ที่กำลังยื่นขวดน้ำที่เปิดอยู่มาตรงหน้าฉัน ฉันมองภาพนั้นด้วยความตกใจ 

 

 

“แม่คนขยันซ้อมอย่างหนักหน่วง วันนี้ควรจะมีรีบกลับบ้านไปพักไม่ดีกว่าเหรอ” 

 

 

ถึงรุ่นพี่จะหัวเราะพลางตำหนิแบบหยอกๆ แต่น้ำเสียงนั่นก็ฟังเหมือนกับว่าเขาคงรู้อยู่แล้ว ฉันยิ้มร่าพลางรับขวดน้ำมาถือเอาไว้ ขณะที่รุ่นพี่หายใจออกพร้อมกับเป่าไอขาวๆ ออกมา เส้นผมของเขาดูแห้งกร้านเหมือนกับอากาศตอนกลางคืนในฤดูหนาว 

 

 

“แล้วสภาพร่างกายเป็นไงบ้าง” 

 

 

“เออ ก็ไม่รู้สิคะ” 

 

 

“วันนี้ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น พักผ่อนให้เยอะๆ เพราะถ้าถึงแล้วคงจะได้วุ่นกันใหญ่แน่” 

 

 

ความจริงแล้ว ฉันยังไม่รู้สึกเลยว่านี่เป็นเรื่องจริง ยังรู้สึกอยู่เลยว่า พรุ่งนี้ฉันก็แค่ต้องไปฝึกซ้อมแล้วก็กลับบ้านด้วยกันกับรุ่นพี่ ฉันกำขวดพลาสติกเย็นๆ ในมือไว้แน่นแล้วดื่มน้ำจากขวดน้ำนั้น จากนั้นฉันก็ตอบว่า ค่ะ ด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น 

 

 

“อุตส่าห์จะใช้อีเซเป็นข้ออ้างตามไปด้วยแท้ๆ น่าเสียดายชะมัด” 

 

 

น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่บ่นพึมพำพลางหัวเราะดูจะแหบเล็กๆ หมู่นี่ดูท่ารุ่นพี่จะยุ่งอยู่กับการจบการศึกษาสินะ แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่ตอนนี้ถึงรุ่นพี่จะไม่อยู่ตรงหน้า ฉันก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าเราเชื่อมโยงกันด้วยเส้นด้ายบางอย่างที่มองไม่เห็น เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก 

 

 

ฉันกุมมือเย็นเฉียบของรุ่นพี่เอาไว้ แล้วหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง 

 

 

“สุดยอดไปเลยนะคะ” 

 

 

“อะไรงั้นเหรอ” 

 

 

“ความจริงแล้ว จนถึงตอนที่ฉันเข้าเรียนชั้นมัธยมปลาย ฉันก็ยังไม่เคยคิดเลยละค่ะว่าตัวเองจะจริงจังกับบัลเลต์ขนาดนี้” 

 

 

นั่นเป็นตอนที่ฉันเต้นขณะที่เอาแต่มองอยู่ด้านหลังของรุ่นพี่ วันแต่ละวันที่อดทนมาได้ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะเต้นปาเดอเดอคู่กับรุ่นพี่  

 

 

ดังนั้นวันนั้นในฤดูร้อนที่รุ่นพี่บอกว่าจะเลิกเต้นคลาสสิก ฉันก็ถึงกับเกิดความคิดขึ้นว่า หรือฉันจะไม่สามารถเต้นบัลเลต์ต่อไปได้กันนะ 

 

 

แต่แล้วฉันก็คิดว่ามันแปลกมากๆ ทั้งที่เป็นเพียงแค่ความเคยชิน แต่การเต้นที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกายของฉัน กลับโอบกอดเมล็ดพันธุ์อื่นเข้ามา แล้วทำให้มันเติบโตขึ้นในชื่อว่า ความฝัน จนตอนนี้ มันเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว 

 

 

“เหมือนพี่จะเคยได้ยินคำนี้ที่ไหนมาก่อนนะ” 

 

 

รุ่นพี่จับมือฉันดึงเข้ามาในกระเป๋าเสื้อโค้ท เขาค่อยๆ ปรับระยะก้าวให้เท่ากับฉัน แล้วเดินไปอย่างช้าๆ พร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ 

 

 

“เขาว่ากันว่าที่หนึ่งเป็นของคนที่ปรารถนาในที่ตรงนั้นอย่างแรงกล้า และมีความพากเพียรอุตสาหะ แต่ที่สุดคือคนที่รักตัวเอง และสนุกสนานกับทุกวินาที” 

 

 

รุ่นพี่หันมายิ้มละมุนให้กับฉัน 

 

 

“ตอนนี้ เธอคือที่สุดยังไงละ” 

 

 

เสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่แทรกเข้ามาภายในใจของฉัน ดูเหมือนฉันจะเข้าใจความหมายในคำพูดนั้นอยู่นิดหน่อยนะ เป็นเพราะว่าฉันพยายามอย่างเต็มที่ พยายามที่จะมีความสุขด้วยใจทั้งหมดของฉันให้เหมือนกับว่าวินาทีนี้เป็นวินาทีสุดท้าย เพราะมีผู้คนที่สำคัญมากมายที่คิดถึงฉันแบบนี้ยังไงละ 

 

 

“เที่ยวให้สนุกนะ” 

 

 

ฉันพยักหน้าเต็มแรง ต่อจากนั้นก็เงยหน้ามองดูท้องฟ้ากลางคืนด้วยหัวใจที่พองโต อากาศของคืนในฤดูหนาวที่เคยแห้งเ**่ยวดูจะชุ่มชื้นขึ้นมานิดๆ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

หลังจากกลับมาถึงบ้านอันว่างเปล่าที่ฉันคุ้นชิน แล้วเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อย แล้วเริ่มทำการคลายกล้ามเนื้อตามปกติ ที่มุมนึงของห้องยังคงมีกระเป๋าลากที่จัดไม่เสร็จวางกางอยู่รกๆ ขณะที่ฉันนั่งพับชุดลีโอตาร์ดเป็นชั้นๆ ในท่ากบ จู่ๆ สายตาของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับรองเท้าบัลเลต์เก่าๆ ที่แขวนอยู่ตรงกำแพง 

 

 

ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่แล้วหยิบเจ้าสิ่งนั้นมาถือไว้ รองเท้าคู่นั้นที่เล็กเท่าฝ่ามือมีรอยสึกสีดำตามจุดต่างๆ มันเป็นรองเท้าคู่แรกที่ฉันใส่ ฉันยิ้มบางๆ แล้วก็นึกไปถึงความทรงจำในอดีตอันเลือนราง 

 

 

วันที่ฉันได้ใส่รองเท้าบัลเลต์ที่เฝ้าฝันถึงเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดเปลี่ยนความตื่นเต้นเล็กๆ ไป อาการเจ็บที่เหมือนกับจะทำให้นิ้วเท้าขาดและทำให้ข้อเท้าบิดนั่น ทำให้ฉันตกใจจนร้องไห้โฮออกมา วันแรกที่ฉันได้เริ่มเรียนบัลเลต์ มันคือวันที่ฉันจะต้องฉีกขาให้ได้นั่นแหละ 

 

 

ถ้าไม่มีความหลงใหล ก็ต้องมีความอดทน ในขณะที่ฉันมักจะระเบิดน้ำตาออกมาเพราะไม่สามารถเอาชนะความเจ็บปวดได้ ฉันก็ยังพยายามที่ใส่รองเท้าบัลเลต์แล้วยืนขึ้นอยู่เสมอ แทนที่จะเอาชนะมันด้วยความตั้งใจที่จะทำให้ดีเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ฉันเลือกที่จะฝึกแค่พอประมาณจนให้ติดเป็นนิสัยแทน 

 

 

ฉันกำรองเท้าบัลเลต์คู่นั้นที่ยังคงมีกลิ่นยางสนจางๆ ลอยออกมาเอาไว้ในมือ แล้วส่วนหนึ่งของหัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเหมือนกับมีกระแสไฟวิ่งผ่าน ทั้งร่องรอยของโบที่เย็บอย่างไม่ชำนาญ ทั้งขนาดของรองเท้าที่ดูเล็กจนเหมือนของเล่นเด็ก ตอนนี้มันได้กลายเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าไปซะแล้ว 

 

 

“คุณย่าคะ” 

 

 

ฉันมองไปที่รูปของคุณย่าที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วพูดขึ้นเบาๆ 

 

 

“หนูจะตั้งใจทำให้ดีแล้วกลับมานะคะ อวยพรหนูด้วย” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ตอนนี้คุณป้าอาการดีขึ้นขนาดที่พอจะเดินเล่นไกลๆ ได้แล้ว ท่านรู้สึกเสียดายมากที่ไม่สามารถไปโลซานน์ด้วยกันกับฉันได้  

 

 

หลังจากที่เซจินพูดอย่างมีอารมณ์ขันว่า จะถ่ายรูปมาฝากเยอะๆ นะคะ พวกเราก็แยกจากคุณป้าที่สีหน้าดูจะคลายกังวลลงไปเล็กน้อย ตลอดเวลาที่มุ่งหน้าไปยังสนามบินอินชอน ฉันจ้องมองดูท้องฟ้าที่สดใสไร้รอยตำหนิ และพยายามทำใจให้สงบ 

 

 

“ถ้าพูดคำนี้ออกมา คงจะฟังดูบ้านนอกแน่ ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะไม่บอกอยู่หรอก” 

 

 

ตอนที่เซจินซึ่งนั่งเงียบอยู่นาน เธอก็หันมากระซิบบอกฉันด้วยเสียงเล็กๆ คือตอนหลังจากที่พวกเรานั่งประจำที่บนเครื่องบินและคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว เซจินหันไปชำเลืองมองอีเซซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังด้วยแววตาที่มีอะไรซ่อนเร้น ก่อนจะกระซิบบอกฉันด้วยเสียงที่เบายิ่งขึ้นไปอีก 

 

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ขึ้นเครื่องบินน่ะ” 

 

 

“…ฉันด้วย” 

 

 

ดวงตาของเซจินที่ขยับเข้ามาใกล้ๆ นั้นเป็นประกายวิบวับ พวกเราต่างหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ และต่างก็จับมือกันไว้แน่น ถ้าถามถึงตอนนี้ละก็ การที่ได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต ดูเหมือนจะทำให้รู้สึกกังวลได้มากยิ่งกว่าความจริงที่ว่า พวกเรากำลังไปโลซานน์ซะอีก 

 

 

ฉันเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็นโหมดเครื่องบิน แล้วก็มองดูรูปถ่ายของรุ่นพี่ที่อัดแน่นอยู่เต็มหน้าจอ รูปถ่ายนั้นที่ได้รับมาจากรุ่นพี่เมื่อเช้านี้ มีรูปของรุ่นพี่ซึ่งกำลงยิ้มและถือกระดาษที่เขียนว่า สู้ๆ อยู่ 

 

 

คงเป็นเพราะเครื่องใกล้จะออกแล้ว เหล่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่เดินยุ่งไปมาจึงหายไปข้างหน้ากันหมด ฉันพยายามสงบใจที่สั่นระรัว พลางหลับตานิ่ง แล้วเครื่องบินก็ส่งเสียงดังออกมา พร้อมกับวิ่งไปบนรันเวย์