ตอนที่ 1990 สงครามแห่งเทียนหยวน (2)

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หานลี่เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันที มองตามนิ้วที่ชี้ออกไปโดยไม่ได้พูดอะไร

ดวงตาฉายแววสีฟ้า สภาพกองทัพใหญ่เผ่ามารที่ไกลออกไปหลายสิบลี้ปรากฏอยู่กลางสายตาอย่างชัดเจน

มองเห็นเพียงท่ามกลางเรือรบเผ่ามารที่เบียดเสียดแน่นขนัด บนยอดของสิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์รูปสามเหลี่ยมนั้น มีเผ่าพันธุ์มารระดับสูงในชุดเกราะรบสีแดงเลือดกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ดูสะดุดตาอย่างมาก

พวกมันเบียดเสียดกันอยู่กลับเกวียนอสูรยักษ์ที่เทียมด้วยอสูรมารหลายตัวเล่มหนึ่ง

 อสูรมารที่เทียมเกวียนนั้น มีศีรษะที่เหมือนกับสิงโตอยู่ห้าหัว ร่างกายขนาดเขื่องปกคลุมไปด้วยเกราะเกล็ดสีน้ำเงินเข้มอยู่ชั้นหนึ่ง  ด้านหลังมีหางโค้งโง้งราวกับหางแมงป่องอยู่หนึ่งหาง

และตัวเกวียนอสูรก็งามประณีตอยากมาก กลางลำเกวียนมีธงสีดำทะมึนราวกับหมึกต้นหนึ่งตั้งอยู่ บนตัวทองมีตัวอักษรมารขนาดใหญ่สองสามตัวเสียงอยู่ อักษรแต่ละตัวสีแดงราวกับเลือด เปล่งแสงประกายสีเลือดรำไรอยู่ไม่ขาดสาย

ด้านล่างของธง มีไอมารรอยม้วนไปมาหลายลูก ชายหนุ่มในชุดเกราะนกสีแดงเลือดพูดยืนอยู่ที่นั่นไม่ไหวติง ด้านข้างยังมีมารเจ็ดแปดตนยืนขนาบทั้งสองฝั่งด้วยความเคารพ

ใบหน้าชายหนุ่มดูเกรี้ยวกราดเหมือนกับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงทั้งสามตนที่ไล่ฆ่าเขาราวกลับคนเดียวกัน

หานลี่เมื่อเห็นเช่นนี้ แววตาก็เยือกเย็น จิตสังหารพุ่งออกมาอย่างห้ามไม่ได้

ชายหนุ่มชุดคลุมสีเลือดราวกับรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันที หันศีรษะเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองก็ประสานเข้ากับดวงตาวิญญาณของหานลี่ที่มองมาแต่ไกล รูม่านตาขยับเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มืดมนลงราวกับหมึก จากนั้นก็หมุนวนแผ่แรงดึงดูดอย่างรุนแรงที่เยือกเย็นถึงกระดูกออกมา ราวกับจะดึงเอาสายตาของหานลี่เข้าไปให้ได้

หานลี่ใจสะดุ้ง พลังจิตอันแก่กล้าขยับ ทันใดนั้นก็ตัดขาดการประสานสายตานั้นลง

คราวนี้ ชายหนุ่มชุดคลุมสีเลือดที่อยู่กลางกองทัพใหญ่เผ่ามารซึ่งไกลออกไปสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย

“อะไรกัน สหายเซวี่ยกวงเจออะไรเข้าแล้วสินะ!”

เสียงอันกระโชกโฮกฮากเสียงหนึ่งทันใดนั้นก็แว่วมาจากรถเกวียน เจ้าของเสียงผู้นั้นคือชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งสวมผ้าคลุมหนังสัตว์ เปลือยกายท่อนบนให้เห็นเรือนร่างสีสำริด

นั่นก็คือชายฉกรรจ์แซ่ซยงผู้นั้นซึ่งบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงได้ขนานนามว่าเป็นที่หนึ่งแห่งหมู่มารในบรรพชนศักดิ์สิทธิ์

ในเวลานี้เขากอดอกด้วยแขนทั้งสองเอนกายพิงอยู่กับรั้วกั้นเกวียนด้านหนึ่ง ท่าทีดูเอื่อยเฉื่อย

“หามิได้ ก็แค่ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่งแอบมองพวกเรา ถูกข้าทำให้ตกใจจนถอยหนี แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะสลัดดวงตามารแสงมืดของข้าออกได้อย่างง่ายดาย”ชายหนุ่มเหลือบตามองชายฉกรรจ์ปราดหนึ่ง พลางพูดขึ้นช้าๆ

“อ๋อ สามารถสลัดตัวหลุดออกจากดวงตามารของเจ้าได้ น่าจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาแล้วสิ หรือว่าจะเป็นเป้าหมายที่เจ้าตั้งใจจะปะทะด้วย หรืออาจจะเป็นเจ้าคนที่พึ่งจะเลื่อนสู่ระดับช่วงปลายผู้นั้น”ชายฉกรรจ์ได้ยินก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย

“นี่ก็พูดยาก แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ก็ล้วนแต่น่าจะเป็นคนที่รับมือได้ยาก สหายซยงหากได้พบ อย่างไรเสียก็ระวังตัวเสียหน่อยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเลือดเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดเตือน

“ฮ่าๆ เจ้าวางใจได้เลย! ข้าขี้คร้านจะกลัวว่าคู่มือผู้นี้จะมีอิทธิฤทธิ์ไม่มากพอที่จะปลุกเร้าสงครามให้ดุเดือดเสียด้วยซ้ำ” ชายฉกรรจ์เมื่อได้ยินกลับหัวเราะร่าออกมาเสียงดัง

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเลือดหัวเราะแห้งๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อ

พร้อมกันนั้นเอง ที่ด้านเมืองเทียนหยวน หานลี่หลับตาทั้งคู่ลงสนิท สักครู่ใหญ่จึงจะขับไล่เอาความวิงเวียนในศีรษะเหล่านั้นออกไปจนหมดได้ แล้วลืมตาทั้งคู่ขึ้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย

“สหายหาน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เมื่อครู่หรือจะเป็น…” ชายชราผมสีเงินมองไปยังท่าทีประหลาดของหานลี่ ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงขึ้นมา

“ไม่เป็นไร เมื่อคู่เพียงแต่อีกฝ่ายใช้เคล็ดวิชาลับลอบจู่โจม แต่ว่าไม่เป็นอะไรแล้ว” หานลี่ส่ายหน้า พูดตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ไม่เป็นอะไรก็ดี พี่หานคงจะยืนยันได้แล้วสินะว่าคนผู้นั้นคือร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง” ผู้เฒ่าผมสีทองได้ยินก็แปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ได้ถามคำถามที่ตัวเองสนใจที่สุดออกไป

“อืม น่าจะใช่แปดถึงเก้าส่วน คนผู้นั้นกับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงที่ข้าเคยเห็นเมื่อก่อนนั้น หน้าตากลิ่นอายล้วนแต่เหมือนกันอย่างแยกไม่ได้ คงไม่ผิดแน่” หานลี่เอามือลูบคาง พูดขึ้นอย่างแน่ใจ

“เป็นเจ้ามารตนนั้นก็ดี ในเมื่อบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นี้มาปรากฏตัวกลางกองทัพใหญ่มาด้วยตนเอง ดูท่าในใจคงมีแผนจะพิชิตชัยในสงครามครั้งนี้ เดี๋ยวร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์พรุ่งนี้ก็มอบให้หานลี่ดูแลแล้วกัน ถ้าหากไม่จำเป็นต้องเร่งเอาชัยให้ได้โดยเร็ว ขอเพียงแต่รั้งเขาไว้ให้ได้ ก็ถือว่าสร้างความสำเร็จให้กับศึกครั้งนี้แล้ว” ภิกษุจินเย่ว์ที่อยู่ด้านข้าง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“หึๆ สหายทั้งสองวางใจเถิด ขอเพียงไม่มีเผ่าพันธุ์มารอื่นเข้ามาแทรกแซง ร่างแยกของมารผู้นี้จะไม่ไปปรากฏต่อหน้าสหายผู้อื่นแน่นอน” หานลี่หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมนิ่งอย่างมาก

“เช่นนั้นก็ต้องลำบากสหายแล้ว พวกเผ่าพันธุ์มารอื่นพวกข้าจะรั้งเอาไว้ให้ได้สุดกำลัง จะไม่ให้พวกมันไปรบกวนท่านพี่หานแน่นอน” ชายชราผมสีเงินพูดรับปากด้วยความยินดีอย่างยิ่ง

หานลี่พยักหน้า แล้วไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ผู้อาวุโสจากพรรคผู้อาวุโสคนอื่นที่เคยพบเห็นมาไม่มากก็น้อย ในเวลานี้ต่างเดินเข้ามาด้านหน้าเพื่อทักทายหานลี่

พวกเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าหานลี่ในเวลานี้ ท่าทีดูเกรงใจขึ้นมาไม่มากก็น้อยเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน

เห็นได้ว่าชื่อเสียงระดับเทพแปลงช่วงปลาย ทำให้ผู้อาวุโสระดับเทพแปลงเหล่านี้รู้สึกเกรงขามหานลี่ขึ้นมาบ้าง ไม่กล้าแสดงท่าทียโสโอหังเหมือนอดีตอีกต่อไป

หานลี่ไม่ได้เจรจามากความกับสมาชิกพรรคผู้อาวุโสเหล่านี้ เพียงแต่กล่าวตอบรับอย่างเรียบๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

และในเวลานั้นเอง กลางกองทัพใหญ่เผ่ามารที่ไกลออกไปก็เกิดเสียงประชุมดังขึ้นมา กลองศึกจำนวนนับไม่ถ้วนโหมดังขึ้นอยู่ไกลๆ ตามด้วยอสูรมารดุร้ายหลายฝูงพุ่งออกมาจากทะเลมารที่เกิดขึ้นจากไอมารหลายลูกเชื่อมประสานกัน

อสูรมารเหล่านี้มีจำนวนนับล้าน เผ่าพันธุ์มากมายจนยากที่จะนับได้หมด ในจำนวนนั้นสัตว์อสูรดุร้ายที่มีหัวเป็นวัวร่างกายเป็นมนุษย์ และยังมีอสูรที่มีหน้าเป็นคนสี่ปีกหกขา และมารศิลายักษ์ที่ตัวสูงถึงร้อยจั้ง

เมื่อคลื่นอสูรมารโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ ทันใดนั้นก็มีแสงสีดำนับร้อยลูกลอยขึ้นมาท่ามกลางฝูงอสูร ในแสงสีดำแต่ละรูปล้วนแต่มีอสูรมารจำแลงครึ่งคนครึ่งอสูรอยู่ตนหนึ่ง

ด้วยการกระตุ้นจากเผ่าพันธุ์เดียวกันเหล่านี้ ฝูงอสูรที่โกลาหลในตอนแรกทันใดนั้นก็เป็นระเบียบขึ้นมาในพริบตา นอกเสียจากเสียงคำรามทุ้มต่ำแล้ว ก็ไม่ได้มีเสียงร้องใดๆ ของพวกมันอีก

และนอกจากอสูรมารธรรมดาเหล่านี้แล้ว ยังมียอดมารตัวโตราวกับภูเขาขนาดย่อมๆ นับพันตนปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงอสูร ดูสะดุดตาอย่างยิ่ง

กองทัพใหญ่อสูรมารเมื่อมองออกไป ดูกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต และยังพุ่งโถมออกมาจากกลางทะเลมารอยู่ไม่ขาดสาย เหมือนกับว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด

ในช่วงเวลาอันสั้น ก็มีอสูรมารกว่าสิบล้านปรากฏต่อสายตาผู้อาวุโสแต่ละคนในพรรคผู้อาวุโสเมืองเทียนหยวน

กว่าครึ่งของสมาชิกพรรคผู้อาวุโส ล้วนแต่สีหน้าเหยเกดูไม่จืดขึ้นมาทันที

“ไยจึงมีอสูรมามากมายถึงเพียงนี้ได้ ไหนว่าอย่างมากก็แค่ห้าหกหมื่นเท่านั้นไม่ใช่หรือ” ผู้เฒ่าแซ่กู่พูดขึ้นด้วยสีหน้าซีดเผือด

“ตัดสินจากข้อมูลที่ได้รับในตอนแรก อสูรมารมีจำนวนเพียงราวๆ ห้าหกหมื่นเท่านั้นจริงๆ อสูรมารที่เพิ่มขึ้นมาภายหลังน่าจะกองกำลังเสริมที่กองทัพใหญ่เผ่ามารเพิ่งเพิ่มเข้ามา”ภิกษุจินเย่ว์กลับดูสงบนิ่ง กล่าวบทสวดเบาๆ แล้วพูดอธิบาย

“อสูรมารกองกำลังเสริมมากถึงเพียงนี้ สงครามครั้งนี้เกรงว่าจะรับมือไม่ง่ายเสียแล้ว” ชายในชุดสีดำเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกผู้หนึ่งพูดพึมพำด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“สหายทุกท่านอย่าเพิ่งวิตก อสูรมารระดับล่างอย่างไรเสียก็เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ต่อให้จำนวนจะเพิ่มขึ้นไปกว่าครึ่งก็ไม่ได้มีผลกระทบอย่างเด็ดขาดต่อสภาพการณ์ศึกทั้งหมด ข้าได้มองถึงสถานการณ์เช่นนี้ไว้แต่แรก และตระเตรียมวิธีการรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว”

“ที่แท้ท่านพี่กู่ก็วางแผนสำรองไว้แล้วนี่เอง ในเมื่อเช่นนี้ พวกข้าก็วางใจ” ผู้อาวุโสระดับเทพแปลงคนอื่นเมื่อได้ยิน สีหน้าก็คล้ายลงเล็กน้อย

ชายชราผมสีเงินยิ้มหนึ่งที แล้วตวัดพลิกแขนข้างหนึ่ง เข็มทิศค่ายกลสีขาวทึมอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ จากนั้นก็พูดกระซิบเสียงเบาไปอย่างของสิ่งนั้น

สักครู่หนึ่ง ด้านหน้าของปราการเมืองทันใดนั้นก็มีเสียงแตกตื่นแว่วออกมา เขตอาคมขนาดยักษ์จำนวนมากทยอยลอยออกมา บริเวณใจกลางของเขตอาคม มีแท่นบูชาสีขาวราวกับหยกแท่นแล้วแท่นเล่าลอยขึ้นมาทันที

และบนแท่นบูชาเหล่านี้ มีวัตถุที่ดูธรรมดาทั่วไปจำนวนมากมายที่ใช้สำหรับเซ่นไหว้มัน

บาตรสีน้ำเงินเข้มอันหนึ่ง น้ำเต้าสีดำราวกับหมึกลูกหนึ่ง และยังมีกระบี่ยาวสีเงินอ่อนอีกหนึ่งเล่ม รวมไปถึงสิ่งของรูปร่างขายฉากบังตาสีขาวหม่นอีกหนึ่งฉาก

“สี่ยอดสมบัติแห่งทางช้างเผือก! พี่กู่ ในที่สุดเจ้าก็หลอมสมบัติวิเศษเหล่านี้ออกมาได้ แต่จะใช้ยังที่แห่งนี้ จะไม่เกินความจำเป็นไปหน่อยหรือ” ผู้บำเพ็ญปีศาจระดับเทพแปลงผู้หนึ่งเมื่อได้เห็นวัตถุสองสามอย่างนั้นบนกำแพงเมืองอย่างชัดเจน สีหน้าก็เต็มไปด้วยความยินดีเจือด้วยความสับสน

“สมบัติสองอย่างนี้ถึงแม้พลานุภาพจะยิ่งใหญ่ แต่โดยหลักที่สุดแล้วคือการโจมตีในวงกว้าง เหมาะที่สุดในการสังหารเป็นวงกว้าง มิเช่นนั้นแล้วหากใช้สมบัติเหล่านี้ในช่วงท้าย ถึงแม้จะใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลที่ได้กลับลดลง สำหรับเรื่องนี้ ข้าและภิกษุจินเย่ว์ได้หารือกันมาแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะเอาออกมารับมือกับอสูรมารชั้นต่ำเหล่านี้  ประการหนึ่งสามารถสังหารอสูรมารจำนวนมากเท่าที่จะสามารถทำได้ ประการที่สอง สามารถเพิ่มขวัญกำลังใจให้เหล่าผู้คนได้ หาไม่แล้วถ้าสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมาก จะกระทบต่อขวัญกำลังใจผู้ขนของพวกเราอย่างสาหัส เมื่อคิดให้ดีแล้วทางฝ่ายเผ่าพันธุ์มารส่งอสูรมารทั้งหมดออกมาตั้งแต่แรกเช่นนี้ คงมีความคิดอะไรอยู่เป็นแน่”ชายชราผมสีเงินพูดอธิบายน้ำเสียงเรียบ

ผู้อาวุโสระดับเทพแปลงอื่นๆ เมื่อได้ยิน ต่างก็คิดว่าคำพูดของผู้เฒ่านั้นมีเหตุผลอย่างมาก จึงพยักหน้ารับและไม่ได้ถามอะไรต่อ

“อสูรเหล่านี้ถึงแม้จะมีจำนวนมาก แต่ที่เป็นปัญหาที่สุดยังเป็นพวกหัวหอกเผ่ามารเหล่านั้น พวกมันดูเหมือนจะเคลื่อนไหวพร้อมกัน” หานลี่พูดออกมาทันที

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อได้ยินก็ตื่นตกใจ รีบมองไปไปยังที่ซึ่งไกลออกไป

เห็นไกลออกไปด้านหลังฝูงอสูรมีมนุษย์มารสวมชุดเกราะหลายขบวนปรากฏออกมาอย่างเห็นชัดเจน

เอามาเหล่านี้บ้างก็ขี่อสูรมารชนิดต่างๆ บ้างก็แปลงร่างเป็นลมสีดำ แต่ละตนสีหน้าเหี้ยมเกรียม มือถือดาบรบ ทั่วทั้งกายแผ่กำจายกลิ่นอายอำมหิตกระหายเลือดออกมา ติดตามด้านหลังฝูงอสูรอยู่เงียบๆ

หากไม่ใช่เพราะหานลี่เตือน ผู้อาวุโสระดับเทพแปลงเหล้านี้คงไม่ทันสังเกตความเคลื่อนไหวของพวกมันได้อย่างแท้จริง

ท่ามกลางเสียงกลองรบ ทันใดนั้นก็มีเสียงกระหึ่มราวกับระฆังยักษ์หลายเสียงปะทุดังขึ้นท่ามกลางทะเลมาร เรือยักษ์สีดำเงินลาวกับหมึกลำแล้วลำเล่า หอคอยบินเผ่ามารทรงสามเหลี่ยมและวัตถุขนาดมโหฬารอื่นๆ ค่อยๆลอยออกมาจากไอมาร รอบด้านเบียดเสียดไปด้วยรถศึกเผ่ามาร จำนวนมากมาย จนไม่อาจจะคณานับ

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผามารผู้นี้เจ้าบ้าไปแล้วหรือ นึกไม่ถึงว่าจะคิดใช้กำลังทั้งหมดมาประชิดตั้งแต่แรก หรือว่ามันไม่คิดที่จะเหลือแผนการอะไรไว้ภายหลังกันแน่”

เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของกองทัพใหญ่เผ่ามารที่ไกลออกไปอย่างชัดเจน ผู้คนทั้งหมดต่างตาค้าง ชายชราผมสีเงินหลุดเสียงอุทานหน้าถอดสี

หานลี่พูดขึ้นเสียงทุ้มกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“มาถึงตอนนี้ ไม่ว่าเผามันจะวางแผนอันใด พวกเราก็ได้เพียงต้องรับมือทั้งหมด พี่กู่ พวกเราจะถูกอีกฝ่ายปั่นป่วนไม่ได้แม้สักน้อยนิด เตรียมรับมือตามแผนการที่วางไว้ทั้งหมดแต่แรกเถอะ สหายทั้งหลาย พวกเจ้าก็ไปเตรียมตัวเสีย ไม่แน่ว่า ศึกในวันนี้อาจจะชี้ชะตาคงอยู่ดับสูญของเมืองเทียนหยวนของพวกเรา” ภิกษุจินเย่ว์ส่งเสียงร้องขึ้นดังแต่ดูสุขุมหนักแน่น