สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่เปลี่ยน น้ำเสียงเหมือนเดิม “ตอนนั้นข้าอายุประมาณเจ้าในตอนนี้ เห็นเจ้าร้องไห้สะอึกสะอื้นมาหาข้าตั้งแต่เช้า บอกว่าพ่อแม่เจ้าเสียชีวิตแล้ว ข้าก็สะดุ้งตกใจมาก หลังจากตามเจ้าไป พวกเขาทั้งสองก็ถูกคนในตระกูลวางไว้บนเตียงร้อนแล้ว ดูไม่ออกว่าถูกคนฆ่า อาเจ้าพูดเยี่ยงนี้ หรือว่าเขามีหลักฐานอันใด หากมี เจ้าบอกข้า ข้าจะแก้แค้นให้พ่อแม่เจ้า แม้ว่าตอนนั้นพวกเขาจะไม่ดีกับข้า แต่อย่างน้อยก็เลี้ยงดูข้ามานานหลายปี ถือว่ามีความผูกพันกัน”
เรื่องตอนนั้นหวงฝู่อี้ก็จำได้เล็กน้อย ที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดนั้นเป็นความจริง
หวงฝู่อี้ส่ายหัวไปมา “ท่านอาแค่คาดเดา เขาบอกว่าตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ข้าสุขภาพร่างกายแข็งแรง เป็นไปไม่ได้ที่จะตกลงไปจมเสียชีวิตในบ่อเกรอะพร้อมกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนเพ่งมองเขา “ฉะนั้นเจ้าจึงเกิดความสงสัย แล้วมาถามข้า เจ้ารู้สึกว่าข้าส่งคนไปทำเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้รีบโบกมือทันที “พี่ใหญ่พูดเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ข้าจะสงสัยพี่ได้อย่างไร หากพี่ใหญ่ฆ่าท่านพ่อท่านแม่ข้าจริงๆ จะนำข้ากลับมาเลี้ยงดูที่จวนเป็นเวลานานหลายปีได้อย่างไรขอรับ”
“แล้วเจ้าอยากจะทำอะไร หรืออยากจะให้ข้าช่วยเจ้าตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของพ่อแม่เจ้า”
สีหน้าของหวงฝู่อี้ไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย เกาหัวไปมา มองเขาด้วยสายตารอคอย “ได้หรือไม่ขอรับ พี่ใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหวกล่าวออกมาว่า “อี้เอ๋อร์ พ่อแม่เจ้าเสียชีวิตมานานหลายปี กลัวว่าจะกลายเป็นกระดูกนานแล้ว และตอนนั้นข้าก็ไปดูสภาพศพของพ่อแม่เจ้าแล้ว ไม่เหมือนว่าถูกฆ่า แม้ว่าจะส่งคนไปตรวจสอบตอนนี้ ก็ไม่เจอหลักฐานอะไรหรอก”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เริ่มหมองหม่น ก้มหัวลง สายตาก็ไม่มีชีวิตชีวา “ข้ารู้ แต่ข้าก็อยากจะรู้ให้ชัดเจนว่าตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ข้าเสียชีวิตได้อย่างไร เป็นเพราะไม่ระวังจมน้ำเสียชีวิต หรือว่าถูกฆ่า”
“ได้” หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบที่บ้านทันที สั่งให้พวกเขาตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงของพ่อแม่เจ้า แต่จะต้องเปิดโลงศพเพื่อตรวจกระดูก เจ้าก็กลับไปด้วยเถิด”
หวงฝู่อี้ตาโต “ต้องเปิดโลงศพเพื่อตรวจกระดูกหรือ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรละ หรือว่าพึ่งแค่ดวงตาหนึ่งคู่ ก็สามารถมองผ่านโลงศพเพื่อมองว่าพ่อแม่เจ้านั้นถูกคนฆ่าตายหรือไม่ เจ้าอาศัยอยู่ในจวนมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว รู้จักใครที่มีความสามารถเยี่ยงนี้หรือไม่”
หวงฝู่อี้พูดไม่ออก สีหน้าลังเล สับสน พ่อแม่ของตนเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้ว จริงอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย กลายเป็นกระดูกไปนานแล้ว หากถูกขุดขึ้นมาอีก ไม่รู้ว่าจะรบกวนการพักผ่อนของพวกท่านหรือไม่ พอถึงเที่ยงคืนจะเข้ามาด่าว่าตัวเองว่าลูกอกตัญญูในฝันของตัวเองหรือไม่ พวกท่านเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้ว ยังไม่ให้พักสงบอีก
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่รบเร้า ปล่อยให้เขาสับสนเองเงียบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าตัวเองเลื่อมใสศรัทธาหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เจ้าคนหน้าเนื้อใจเสือ แค่ไม่กี่ประโยค ก็โยนเรื่องนี้กลับไปให้หวงฝู่อี้แทน ต้องรู้ว่าสมัยนั้น มีคำพูดว่า หากถูกขุดลุมฝังศพ ไม่เพียงแค่ครอบครัวนี้ ทั้งตระกูลก็จะไม่สงบสุข แม้ว่าหวงฝู่อี้จะนำคนกลับไป คนในตระกูลก็ไม่ให้เขาลงมือง่ายๆ อย่างแน่นอน
“หรือว่า…ช่าง…มันเถอะ” ลังเลไปสักพัก หวงฝู่อี้ก็ทนไม่ได้ที่จะเปิดโลงดูกระดูกของพ่อแม่ตนให้ผู้อื่นดู แล้วถูกผู้คนชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง จึงล้มเลิกความคิดที่จะตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของพวกท่าน
ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนนั้นจะให้ทำอย่างไรก็ได้ ยังคงใช้น้ำเสียงมั่นคงเหมือนเดิม “เจ้าต้องคิดให้ดี หากวันนี้เจ้าล้มเลิกความคิดนี้แล้ว ต่อไปห้ามเอ่ยขึ้นมาอีก”
สีหน้าของหวงฝู่อี้ลังเลขึ้นมาอีกครั้ง ไม่นานก็พยักหน้าหงึกๆ “ข้ารู้แล้ว พี่ใหญ่ ต่อไปข้าจะไม่พูดถึงเรื่องการเสียชีวิตของท่านพ่อท่านแม่ข้าอีก แต่ว่า ข้าขอร้องพี่ใหญ่ ทุกปีให้ข้ากลับไปไหว้หลุมศพของท่านทั้งสอง ให้ข้าได้แสดงความกตัญญูต่อพวกท่านนะขอรับ”
“เมื่อก่อนที่ไม่ให้เจ้ากลับไป เพราะอายุเจ้ายังน้อย เป็นห่วงว่าระหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ตอนนี้เจ้าโตแล้ว แน่นอนว่ากลับทุกปีได้”
หวงฝู่อี้ดีใจมาก “ขอบคุณพี่ใหญ่”
“เจ้าเพิ่งกลับมา คงเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยมารับใช้ข้า”
หวงฝู่อี้กล่าวขอบคุณ แล้วกลับไปพักผ่อนด้วยความดีใจ
รอจนเสียงฝีเท้าของเขาออกจากเรือนไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงโล่งอก
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางเล็กน้อย แล้วหัวเราะนาง “ตอนนี้เจ้ายิ่งอยู่ยิ่งควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้ว เมื่อครู่ข้าเห็นสีหน้าเจ้าเปลี่ยนทันที หากไม่ใช่เพราะข้าเบี่ยงเบนความสนใจของเขา ไม่แน่อาจทำให้เขาระแคะระคายได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหน้าตัวเอง แล้วขมวดคิ้ว กล่าวถามว่า “ชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มแล้วพยักหน้า
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มไม่ดีเล็กน้อย ก้มลงมองท้องของตัวเอง แล้วพึมพำเสียงเบาๆ ว่า “มีแต่คนบอกว่ามีลูกหนึ่งคนโง่สามปี ข้ามีสองคน จะโง่มากกว่าคนอื่นหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนหูดี ได้ยินคำพูดของนาง ก็สำลักน้ำลายตัวเองทันที ไอออกมาแรงๆ หลายครั้ง จนหน้าแดงคอแดงไปหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแล้วมองเขา กล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้าเป็นอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดไอ แล้วโบกมือเรียกนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง แล้วนั่งลงบนตักของเขา
หวงฝู่อี้เซวียนโอบกอดนางไว้ ยิ้มแล้วแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากนางหนึ่งที ยื่นมือขวาออกมา ชี้ตัวเองแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่เจ้าโง่ นั่นเป็นเพราะเจ้าแต่งงานกับสามีที่ดี ไม่มีอะไรให้เจ้าต้องทุกข์ใจ เกี่ยวอะไรกับการที่เจ้ามีลูกงั้นหรือ”
ฮ่าๆ เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ ยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาโอบคอเขาไว้ ยิ้มแล้วแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ หนึ่งทีเหมือนกับแมลงปอเดินบนน้ำ “ใช่ๆๆ สามีที่ดีของข้า ครึ่งชีวิตที่เหลือของข้า ข้ามอบให้เจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูข้าให้ดี”
หนึ่งทีของนาง ปลุกความต้องการของหวงฝู่อี้เซวียนขึ้น ก้มศีรษะลงไป แล้วแนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากในนางตรงๆ จนทั้งสองเริ่มหายใจไม่ออก จึงจะปล่อยนาง ยิ้มแล้วกล่าวด้วยความพอใจว่า “ข้ารับปาก ซื่อจื่อเฟยของข้า”
อาการป่วยของหลินหันเยียนดีขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าราชเลขาหลินนั้นใจร้ายจริงๆ หรือว่ารู้สึกว่าลูกสาวคนนี้ทำให้เขาขายหน้า จึงไม่ดูดำดูแดง แม้แต่ฮูหยินหลินก็ไม่ส่งข่าวคราวใดๆ มาให้นางเลย หลินหันเยียนเสียใจเป็นอย่างมาก ร้องห่มร้องไห้ทั้งวัน
หวงฝู่อวี้ทั้งปวดใจทั้งร้อนใจ กิจการของครอบครัวก็ไม่สนใจแล้ว อยู่ในจวนเป็นเพื่อนนางทั้งวัน กลัวว่านางจะคิดสั้น ทำเรื่องโง่ๆ
พระชายาฉีไปดูสองครั้ง ก็ไม่รู้จะปลอบเยี่ยงไร จึงทำให้บรรยากาศยิ่งอึดอัดขึ้นไปอีก หลังจากนั้นหลายวัน ก็ไม่ไปอีกเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถูกหวงฝู่อี้เซวียนจ้องตลอดเวลา อย่าว่าแต่ไปดูเลย แม้แต่ชื่อของหลินหันเยียนและหวงฝู่อวี้ก็ไม่สามารถเอ่ยขึ้นมาต่อหน้าเขาได้
เวลาก็ผ่านไปอย่างนี้อีกหลายวัน ในขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเบื่อๆ คิดว่าจะจัดงานแต่งงานของชิงหลวนและจูหลีอย่างไร หวงฝู่ซวิ่นค่อยๆ สะบัดพัดแล้วเดินเข้ามาในจวนด้วยท่าทางภูมิใจ
ทันทีที่หวงฝู่อี้เซวียนเห็น ก็รู้ทันทีว่าเขาทำเรื่องทั้งหมดสำเร็จแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่แสดงท่าทางเยี่ยงนี้ แต่ว่า ก็ไม่ได้กล่าวถาม กลับรอให้หวงฝู่ซวิ่นพูดออกมาด้วยตัวเอง
แต่ครั้งนี้หวงฝู่ซวิ่นกลับแปลกไป มองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม แล้วไม่ได้รีบเอ่ยออกมา แต่กลับกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “น้องสะใภ้ วันนี้ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นสบาย ข้าจะพาเจ้าไปที่ดีๆ ที่หนึ่ง”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนขรึมลงทันที ความโกรธค่อยๆ ปะทุออกมาจากตัว
หวงฝู่ซวิ่นทำเป็นมองไม่เห็น แล้วมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ออกเรือนแล้วต้องเชื่อฟังสามี ถ้าหากสามีข้าไม่อนุญาต ข้าก็ไม่กล้าออกไปกับพี่หรอก”
หวงฝู่ซวิ่นหยุดชะงักไป
ความโกรธรอบตัวของหวงฝู่อี้เซวียนหายไป กลับมาเป็นท่าทางอ่อนโยนเหมือนเดิม
หวงฝู่ซวิ่ยรู้สึกตัวขึ้นมา กล่าวถามอย่างไม่ตายใจว่า “น้องสะใภ้ เจ้าไม่สงสัยหรือว่าข้าจะพาเจ้าไปที่ใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมา กล่าวตรงๆ ว่า “ไม่สงสัย”
คำพูดที่เหลือของหวงฝู่ซวิ่นติดอยู่ที่คอ
รอยยิ้มของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบทำให้หวงฝู่ซวิ่นแสบตา
หวงฝู่ซวิ่น หึ ออกมาเบาๆ แล้วนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง ยกน้ำชาขึ้นดื่มอย่างรวดเร็วหนึ่งคำ แล้วกล่าวประชดว่า “ไม่ไปก็ดี ข้าจะได้ไม่เสียเวลา”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มสบตากัน ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปพร้อมกัน
“นี่ พวกเจ้าจะไปไหนกัน” หวงฝู่ซวิ่นรีบวางแก้วชาในมือลง แล้วกล่าวด้วยเสียงสูง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่หันกลับไปมอง “ไม่ใช่พี่ใหญ่หรือที่บอกว่าจะพาพวกข้าไปที่ดีๆ”
หวงฝู่ซวิ่นก็ลุกขึ้นมา แล้วเดินก้าวขายาวออกไป “ข้าพูดกับน้องสะใภ้ ไม่ได้พูดกับเจ้า เจ้ามาวุ่นวายอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นไม่ได้ยิน เดินออกไปนอกจวนไม่หยุด หวงฝู่ซวิ่นเดินตามหลัง
ทุกคนต่างขึ้นรถม้า รอรถม้าของหวงฝู่ซวิ่นนำไปก่อน หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งโจวอันว่า “ตามไป”
โจวอันยกแส้ขึ้น แล้วโบกให้ม้าหนึ่งครั้ง ม้าก็ตามรถม้าคันหน้าไปทันที
ทุกคนมาถึงหน้าประตูสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนแล้วต่างคนต่างลงจากรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นใบสั่งปิดที่ติดอยู่หน้าประตูได้ถูกฉีกทิ้งแล้วทันที แม้ว่าประตูใหญ่จะถูกปิดไว้อยู่ แต่หน้าประตูนั้นเหมือนมีคนทำความสะอาดแล้ว สภาพทรุดโทรมก็ไม่มีให้เห็นแล้ว ก้อนหินรูปสิงโตที่อยู่หน้าประตูก็มองดูผู้คนไปมาอย่างมีชีวิตชีวา
หวงฝู่ซวิ่นก้าวขาเดินเข้าไปข้างใน เดินไปด้วยพูดอย่างเอาหน้าไปด้วยว่า “ทั้งด้านในและด้านนอกของสำนักคุ้มภัยนี้ ข้าได้ส่งคนมาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ห้องที่เสียหายก็ได้ให้คนมาซ่อมแซมแล้ว”
มีขันทีคนหนึ่งเปิดประตูใหญ่ของสำนักคุ้มภัยก่อน แล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปในสำนักคุ้มภัย
จริงๆ ด้วย สภาพด้านในนั้นแตกต่างจากหนึ่งปีที่แล้วมาก ใบไม้ร่วงบนพื้นก็ไม่มีแล้ว ประตูหน้าต่างนั้นเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด แม้แต่กระดาษหน้าต่างก็ใช้แบบที่ดีที่สุด มองดูไกลๆ ห้องแถวนั้นเหมือนใหม่ทั้งหมด
“เป็นอย่างไร พอใจหรือไม่” เสียงของหวงฝู่ซวิ่นดังข้างหู
เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วโป้งให้เขา “ฝากพี่ใหญ่จัดการเรื่องใดก็คือไว้ใจได้เลยจริงๆ แม้แต่เรื่องพวกนี้ก็จัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
หวงฝู่ซวิ่นยักคิ้วด้วยความภูมิใจ “แน่นอน พี่ใหญ่ของเจ้าคนนี้ไม่ว่าทำเรื่องใดต้องทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ขอบคุณเขาด้วยใจจริงว่า “ข้าขอบพระคุณพี่ใหญ่แทนทุกคนในสำนักคุ้มภัย พี่ใหญ่วางใจเถิด พระคุณนี้ของพี่ข้าจะจดจำแทนพวกเขาไว้ ต่อไปหากพี่มีเรื่องอะไรต้องการให้พวกเขาออกหน้าก็ขอให้บอก เหวินเปียวไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธแม้แต่คำเดียวอย่างแน่นอน”
เมื่อก่อนสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนมีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง แม้ว่าช่วงหลายปีนี้ ถูกใส่ร้าย ชื่อเสียงถูกทำลายไปบ้าง แต่รากฐานของสำนักคุ้มภัยยังอยู่ เชื่อว่าอีกไม่นาน ต้องมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกับแต่ก่อนแน่นอน ถ้าหากตัวเองสามารถใช้สำนักคุ้มภัยได้อย่างนี้ สำหรับตัวเขาเองแล้วก็เสมือนเสือติดปีก หวงฝู่ซวิ่นดีใจเป็นอย่างมาก รีบกล่าวว่า “น้องสะใภ้ นี่เจ้าพูดเองนะ เจ้าต้องจำคำพูดวันนี้ของเจ้าไว้ ต่อไปห้ามกลับคำเป็นอันขาด”
“พี่ใหญ่ สุภาพบุรุษพูดคำไหนคำนั้น แม้ว่าข้าจะไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่ข้าก็ไม่คืนคำหรอกน่า รอให้สำนักคุ้มภัยตั้งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ข้าจะให้เหวินเปียวไปคำนับขอบพระทัย เขาเป็นผู้ดูแลสำนักคุ้มภัย ต่อไปก็จะเป็นกำลังเสริมให้พี่ได้แน่นอน”
หวงฝู่ซวิ่นดีใจจนตีพัดลงบนมืออีกข้างของตัวเอง “ได้ ข้าจะรอ”
ทุกคนเดินรอบๆ สำนักคุ้มภัยหนึ่งรอบ เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจเป็นอย่างมาก เป้าหมายของหวงฝู่ซวิ่นก็สำเร็จแล้ว อารมณ์ดีมาก หลังจากกลับมาจากสำนักคุ้มภัย ก็บอกว่าตัวเองยังมีเรื่องต้องจัดการ จึงนั่งรถม้าแล้วกลับตงกงไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนกลับสั่งให้โจวอันกลับหนานเฉิง
จวนอ๋องฉีเกิดเรื่องอย่างนี้ เมิ่งซื่อก็ช่วยอะไรไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไร สองสามวันนี้จึงตัดสินใจไม่ไปจวนอ๋องฉี ได้ยินว่าทั้งสองมา ก็ดีใจมาก ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง “สองสามวันนี้แม่กับพี่สะใภ้รองของเจ้าคิดถึงเจ้าอยู่พอดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือหวงฝู่อี้เซวียน รีบก้าวเข้าไปควงแขนของเมิ่งซื่อ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านแม่คิดถึงข้า วันนี้จึงมาหาเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อได้ยินประโยคนี้ก็สบายใจมาก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความสุขมากว่า “ต่างบอกว่าลูกสาวเป็นความอบอุ่นเล็กๆ ของแม่ คำพูดนี้เป็นความจริง เจ้าดูพี่ใหญ่กับพี่รองของเจ้าสิ ใช่แล้ว ยังมีเจี๋ยเอ๋อร์อีกคน ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับแม่เลย ฉะนั้นเจ้าเนี่ย คลอดลูกสาวดีกว่านะ”
พูดจบ ก็มองท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วกล่าวถามด้วยความแปลกใจว่า “ตามเวลาแล้ว เจ้าน่าจะสี่เดือนแล้ว เหตุใดท้องยังไม่โตเสียที หรือว่าสองสามวันนี้เจ้าไม่ได้กินอาหารดีๆ ปล่อยให้ลูกหิวหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านแม่ ท่านแม่กับอี้เซวียนจ้องข้าทุกวัน ข้าจะกล้าไม่กินอาหารดีๆ ได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านไม่เห็นหรือ ข้าแทบจะกลายเป็นหมูอยู่แล้ว”
เมิ่งซื่อมองดูท้องของนาง แล้วมองดูนาง ก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงส่ายหัวไปมา “ไม่ได้ เจ้าไปรอในห้อง แม่จะเข้าครัวเดี๋ยวนี้ ทำอาหารง่ายๆ หลายอย่างให้เจ้ากิน กลางวันเจ้ากินเยอะหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าเอ่ยว่าไม่กิน ได้แต่มองดูเมิ่งซื่อที่ร้อนใจจนทิ้งตัวเองไว้แล้วตรงไปที่ห้องครัวทันที
ยิ้มแล้วมองหวงฝู่อี้เซวียน ทั้งสองกลับมาที่ห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวน “เจ้าไปเรียกเหวินเปียวมา บอกว่าข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา” พูดจบ ก็รู้สึกไม่เหมาะสม เหวินเปียวเป็นพ่อสามีในอนาคตของชิงหลวน ให้นางไปเรียกไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ จึงเอ่ยกับจูหลีว่า “เจ้าไปแล้วกัน”
จูหลีรับคำสั่ง หันหลังกำลังจะไป เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกนางไว้ “หลังจากเรียกเขาเสร็จ ก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว วันนี้ให้เจ้าและชิงหลวนหยุดหนึ่งวัน อยากทำอะไรก็ไปทำเถิด”
ชิงหลวนและจูหลีหน้าแดงขึ้นมาพร้อมกันทันที รับคำสั่งเสร็จแล้วก็เดินออกไปพร้อมกัน
เหวินปียวพอได้ยิน ก็รีบรุดมาทันที หลังจากทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็ยืนอย่างเรียบร้อย “นายหญิง ท่านมีเรื่องจะคุยกับข้าหรือ”
“ข้ามีเรื่องให้พี่น้องสำนักคุ้มภัยของเจ้าช่วย เจ้าเขียนจดหมายถึงพวกเขา ให้พวกเขาทุกคนเข้าเมืองหลวง”
สีหน้าของเหวินเปียวกังวลขึ้นมาทันที รีบกล่าวถามว่า “นายหญิง เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือ “เรื่องเล็ก เจ้าอย่าตื่นตกใจ เขียนจดหมายให้พวกเขาทุกคนมาก็พอ”