บทที่ 860 พ่อบ้านวางท่าใหญ่โต

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 860 พ่อบ้านวางท่าใหญ่โต

จักรพรรดิปีกใต้ลุกขึ้น:“ข้าก็ไม่หิวเช่นกัน ไปกันเถอะ ไปดูที่พักกันดีกว่า ข้าเหนื่อยจากการกระแทกตลอดการเดินทาง อยากพักผ่อนเสียหน่อย”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ลุกขึ้นและเหลือบมองไปที่หนานกงเย่:“ท่านอ๋องพาท่านลุงไปเถอะเพคะ หม่อมฉันจะมีเรื่องจะพูดกับอาจารย์สองสามคำ”

หนานกงเย่หันไปมองจักรพรรดิปีกใต้ และจักรพรรดิปีกใต้ก็ตามออกไป

หลังจากที่คนออกไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ยื่นมือออกไป:“เอามือทาให้ข้า”

ซูมู่หรงนั่งลงและยื่นมือไปให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นใช้สมาธิตรวจดูอีกครั้ง จากนั้นก็กล่าวว่า:“ชีพจรของท่านหยุดลงแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงตายแล้ว!”

“อวิ๋นอวิ๋น……เจ้าอยากกลับไปหรือไม่?” ตอนนี้ซูมู่หรงไม่สามารถอยู่ต่อได้แล้ว เขารู้ดีว่าการทดลองล้มเหลว!

ฉีเฟยอวิ๋นมองออกไปนอกประตู:“บางครั้งข้าก็อยากกลับไป แต่ตอนนี้ไม่อยากกลับไปแล้ว”

ซูมู่หรงเอามือกลับไป:“หากข้าจากไป ก็จะไม่ได้พบกันอีก ผู้ที่อยู่ในร่างของข้าน่าจะจากไปแล้ว มิเช่นนั้นคงจะไม่จะไม่เป็นไร แม้ว่าตอนที่มาร่างนี้จะตายไปแล้ว แต่หลังจากที่ข้ามาก็รู้สึกได้ว่าเจ้าของร่างเดิมยังคงอยู่ เมื่อก่อนไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกถึงว่าเจ้าของร่างเดิมยังอยู่ และร่างกายก็มีปัญหา

อันที่จริงแล้วเราเหมือนกัน ไม่สามารถรั้งอยู่ได้ เมื่อวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมจากไป เจ้ากับข้าก็มีเพียงหนทางเดียวคือต้องกลับไปในที่ที่จากมา!”

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีเฟยอวิ๋นตระหนักได้ว่าการกลับไปในที่ที่จากมาจะเป็นประโยชน์หรือว่าเหมาะสม!

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่นึกถึงเรื่องของเจ้าของร่างเดิม ซูมู่หรงถามว่า:“แล้วผู้ที่อยู่ในร่างของเจ้าล่ะ?”

“นางยังอยู่!” ฉีเฟยอวิ๋นมองลงไปที่ท้องของตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเจ็บท้องเล็กน้อย มันไม่ปกติ ไม่ใช่เพราะเรื่องเลือด แต่เพราะได้ยินคำพูดของซูมู่หรง

“ในเมื่ออยู่ที่นี่แล้วก็เรียกอาจารย์เถอะ หากเรียกครูฝึก คนที่นี่คงไม่เข้าใจ” หลังจากพูดจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็ยิ้ม

ซูมู่หรงก็ยิ้มเช่นกัน:“เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม?”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น:“เราไปที่ห้องยากันเถอะ ถือโอกาสตอนที่ยังมีเวลา ไปกันเถอะ”

ซูมู่หรงลุกขึ้นและตามฉีเฟยอวิ๋นไปที่สวนดอกกล้วยไม้

หนานกงเย่เพิ่งดูแลจัดการจักรพรรดิปีกใต้เรียบร้อย และเห็นว่าพวกเขาสองคนเดินตามกันไป

หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปแล้ว นางก็หยิบยาเม็ดหนึ่งใส่เข้าไปในปาก เมื่อหนานกงเย่เห็นสีของยาก็รีบเดินเข้าไปในทันที:“เกิดอะไรขึ้น?”

“หม่อมฉันรู้สึกเจ็บท้องเล็กน้อย อาจารย์บอกว่าวิญญาณขององค์ชายสามไม่ได้อยู่ในร่างของเขาแล้ว และเสี่ยวอวิ๋นก็เป็นปกติ คืนนี้หม่อมฉันอาจจะดีขึ้น”

ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในห้องยา และหนานกงเย่ก็หันหลังเดินออกไป เขากำลังจะไปหาคน

และเรียกเฟยอิงมา หนานกงเย่วางกรงนกพิราบลง

เฟยอิงถามว่า:“ท่านอ๋อง นกพิราบพวกนี้……”

“พวกมันจะไปที่หุบเขายา ในตอนแรกข้าเป็นกังวลว่าวันหนึ่งร่างกายของอวิ๋นอวิ๋นจะมีปัญหา จึงได้ทำข้อตกลงกับคนไว้ เมื่อเห็นนกพิราบพวกเขาก็จะมาในทันที หวังว่าพวกเขาจะมาโดยเร็ว!”

ซูมู่หรงมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ห้องยาของฉีเฟยอวิ๋นนั้นเหมือนกับห้องปฏิบัติการขนาดเล็ก และชั้นหนังสืออยู่บนผนังด้านหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นดินไปยืนข้างหน้าและหาตำรา

ซูมู่หรงจึงเดินไปช่วย:“ต้องการอันไหน?”

“เมื่อคนตายแล้วศพจะเน่าเปื่อย จ้ำเลือดหลังจากตายจะปรากฏขึ้นในเจ็ดวัน จ้ำเลือดหลังจากตายบนร่างกายของท่านอยู่มาสองเดือนแล้ว พูดตามหลักแล้วไม่ควรเป็นเช่นนี้ และมีบางอย่างปกติ”

“ไม่มีชีพจรแล้ว ยังจะบอกว่าควรหรือไม่ควรอีก ไม่ว่ากินอะไรก็อาเจียน”

ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมา:“ท่านดื่มเลือดของข้าแล้ว ทำไมถึงไม่อาเจียน?”

“ไม่ได้เร็วขนาดนั้น!” ซูมู่หรงหยิบตำราขึ้นมาหนึ่งเล่ม อ่านไปพลางตอบไปพลาง

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองและไม่สามารถเสียเวลาได้ นางจึงเงยหน้าขึ้นมาหาตำรา แต่ก็ไม่พบตำราที่สามารถช่วยคนตายได้

สำหรับมนุษย์ หากคนตายสามารถฟื้นคืนชีพได้ เช่นนั้นคงเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก!

หลังจากค้นหาเป็นอยู่นาน ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปนั่ง

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเจ็บท้องเล็กน้อยและปวดเมื่อยเอวมาก นางจ้องไปที่ประตูอย่างเหม่อลอย ซูมู่หรงนั่งลงและถามว่านางพูดอะไร นางก็ไม่ตอบ เขารู้ว่านางกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่!

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว หนานกงเย่อุ้มเจ้าห้าเดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นก็เดินเข้าไปในทันที เขาไม่พูดอะไรมาก และวางเจ้าห้าไว้ในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็อุ้มนางจากไป

ซูมู่หรงเดินตามไป ฉีเฟยอวิ๋นถูกวางลงในห้อง และเจ้าห้าก็นอนอยู่ข้าง ๆ หนานกงเย่กล่าวว่า:“ข้าเรียกหมอเทวดาและหมอโจวมาที่นี่แล้ว เจ้าไม่สบายตรงไหน?”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่:“ปวดท้อง เสี่ยวอวิ๋นไม่สงบ นางคิดว่าอยู่ในร่างของหม่อมฉันเทียบไม่ได้กับการเป็นบุตรสาวของท่านอ๋อง เสี่ยวอวิ๋นต้องการจากไป และอยากช่วยหม่อมฉัน!”

“เหลวไหล!” หนานกงเย่กล่าวอย่างโกรธเคือง ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว:“ท่านอ๋องอย่าโกรธเลยเพคะ”

“ข้าไม่ได้โกรธแต่กังวล!” ดวงตาของหนานกงเย่เแดงก่ำ

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ซูมู่หรงยืนอยู่ข้าง ๆ และเป็นกังวลไปด้วย

“อาจารย์ ท่านออกไปก่อน”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ต้องการให้ซูมู่หรงก่อเรื่องเพิ่ม แม้ว่าซูมู่หรงจะรู้สึกไม่ดีสบายใจ แต่ก็รู้จักนิสัยของฉีเฟยอวิ๋น เขาจึงเดินออกไปข้างนอกก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นจับมือของหนานกงเย่:“ท่านอ๋อง พระองค์อุ้มเจ้าห้าออกไปก่อน หม่อมฉันจะพูดคุยกับเสี่ยวอวิ๋น”

“อืม” หนานกงเย่อุ้มเจ้าห้าและออกมาจากในห้องอย่างเป็นกังวล

เมื่อซูมู่หรงที่อยู่ข้างนอกเห็นหนานกงเย่ก็เป็นกังวล:“ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้นางอยู่ข้างในลำพัง?”

“หุบปาก!” ในเวลานี้คนที่หนานกงเย่ต้องการฆ่ามากที่สุดคือซูมู่หรง เขาไม่พูดอะไรก็ดี แต่พอพูดแล้วก็รนหาที่ตาย!

ฉีเฟยอวิ๋นลูบท้องและห่มผ้า เห็นได้ชัดว่านางหนาวสั่นและเริ่มเหงื่อออก

นางหยิบยาสงบครรภ์มากินสองเม็ดและกล่าวว่า:“เสี่ยวอวิ๋น ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้า และอยากให้ข้าอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า ข้าจึงไม่สบายใจ ได้ยินมาว่าคนที่ทารกตายในครรภ์ เป็นคนมีกรรม เจ้าอยากเห็นข้าเป็นเช่นนั้นหรือ?ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะจากไป และอาจจะกลับเข้าร่างไม่ได้ มันไม่คุ้มกับการสูญเสียเลย?

ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งกังวลไปเลย ไว้เราค่อยคิดหาวิธีกัน

ยังมีเวลาอีกแปดเดือนกว่าเจ้าจะคลอด หากในช่วงเวลานี้ข้าหาทางไม่ได้ เจ้าค่อยคิดหาวิธีก็ยังไม่สาย!”

อาการปวดท้องค่อย ๆ ลดลง ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเรียกหนานกงเย่ให้เข้ามา

ในเวลานี้หนานกงเย่กับูมู่หรงกำลังทะเลาะกันอยู่ข้างนอก และเมื่อได้ยินเสียงเรียกของนางก็รีบอุ้มเจ้าห้าเข้าไปในทันที ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม:“ท่านอ๋อง ไม่เป็นไรแล้วเพคะ เพียงแค่ต้องการพักผ่อน หม่อมฉันจะดื่มน้ำแกงตับหมูแล้วนอนพัก”

หนานกงเย่รีบยื่นน้ำแกงตับหมูให้ฉีเฟยอวิ๋น หลังจากดื่มแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ห่มผ้าและพักผ่อน

หนานกงเย่วางเจ้าห้าลงและนั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเหม่อลอย

ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะแท้ง เจ้าห้าจึงไม่กินไม่ดื่ม แม่ลูกคู่นี้ช่างมีจิตใจที่เชื่อมโยงถึงกันจริง ๆ

บุตรสาวในครรภ์ยังไม่คลอดออกมา ก็ถูกตราหน้าว่าเป็นบุตรสาวที่จะมาเอาชีวิต ไม่ต้องพูดถึงจิตใจของหนานกงเย่เลย

ซูมู่หรงยืนอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง ทันใดนั้นรู้สึกว่าเป็นส่วนเกิน และไม่ควรอยู่ที่นี่

หลังจากรอมานานหลายทศวรรษ ในที่สุดเขาก็มาถึงที่นี่ และพบคนที่ต้องการตามหา แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลก

เมื่อหันหลังออกไปจากในห้อง ซูมู่หรงก็เห็นพ่อบ้านที่อยู่ในลาน เขาจึงเดินไปคุยกับพ่อบ้าน และอยากถามว่าจักรพรรดิปีกใต้พักอยู่ที่ไหน แต่พ่อบ้านกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า:“เป็นเพราะท่าน ท่านมาทำอะไรที่นี่?”

“……” ซูมู่หรงรู้สึกสับสน ทำไมเขาถึงมาไม่ได้!

พ่อบ้านถามว่า:“ท่านเป็นใคร?มาทำอะไรที่นี่?”

“ข้าเป็นอาจารย์ของนาง ต้องการจะพานางไป!” เดิมทีไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอคนอย่างพ่อบ้านก็อดไม่ได้

หลังจากที่พ่อบ้านได้ยินก็โกรธ:“ข้าเห็นว่าท่านก็ไม่มีอะไรดี นางมีสามีแล้ว และยังเป็นพระชายา และจะไปกับท่านได้อย่างไร ฮึ ตามข้ามา!”

พ่อบ้านหันหลังเดินไป และซูมู่หรงก็เดินตามไปอย่างลังเล

เมื่อถึงหน้าห้องของเด็ก ๆ พ่อบ้านก็เปิดประตู

ซูมู่หรงมองเข้าไปข้างในด้วยความประหลาดใจ และเห็นว่าเด็ก ๆ กำลังวาดภาพอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มคนหนึ่ง

ในเวลานี้ ซูมู่หรงไม่แสดงท่าทีใด ๆ