บทที่ 397 เยี่ยมญาติ EnjoyBook

บทที่ 397 เยี่ยมญาติ

ภาพถ่ายใบนี้จะกลายเป็นภาพที่มีคุณค่ามากสำหรับลูกหลานของครอบครัวโจว

เพราะมันได้บันทึกอารมณ์ความรู้สึกของคุณปู่และคุณย่า เมื่อครั้งที่พวกท่านยังมีอายุไม่มากนักเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายตาของคุณปู่ที่มองไปยังคุณย่านั้นแทบจะสามารถคั้นน้ำผึ้งออกมาได้สัก 3 ชั่งเลยทีเดียว

กลับมากล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนนี้กันต่อ

หลังจากที่ได้กล้องถ่ายรูปแล้ว งานอดิเรกของโจวกุยหลายก็เปลี่ยนจากฟุตบอลและบาสเกตบอลมาเป็นสิ่งนี้

ช่วงไหนที่เป็นเวลาว่างและไม่ต้องทำงาน เขาจะถือกล้องเดินตระเวนไปรอบ ๆ เพื่อถ่ายรูป

เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้หมดเงินไปเยอะมากกับค่าฟิล์ม

กระนั้นหลินชิงเหอก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร ตราบใดที่เขาไม่กลายเป็นคนนิสัยฟุ่มเฟือย เธอจะปล่อยให้มันเป็นงานอดิเรกของเขาต่อไป

“หลังจากนี้อีก 20 ปี ภาพเหล่านี้ของผมจะต้องกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแน่นอนเลยครับ” โจวกุยหลายเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิ เขาเพิ่งไปล้างฟิล์มกลับมา

“เร็วเข้า รีบไปช่วยงานที่ร้านของเอ้อร์นี!” หลินชิงเหอหยิบถุงผ้าที่เขาใส่รูปถ่ายเอาไว้ แล้วไล่เขาออกไป

“ผมจะกินน้ำแกงไก่ก่อน” โจวกุยหลายไปตักน้ำแกงไก่มาดื่ม

ตอนที่เขากำลังดื่มน้ำแกงไก่อยู่ ป๊าม้าของเขาก็ดูรูปถ่ายด้วยกัน

“ทำไมถึงถ่ายรูปไปซะทุกอย่างเลย” โจวชิงไป๋เหลือบมองไปที่ลูกชายแล้วถามขึ้น

เขาถ่ายรูปของบ้านเก่า คนสูงอายุและเด็ก ๆ ทั้งยังมีพวกเตาเก่าที่ชำรุดแล้วอีกด้วย ในบรรดาภาพถ่ายเหล่านี้ มีภาพของหญิงวัยกลางคนกำลังจุดเตาถ่านอยู่ที่ประตูและกำลังมองมาพร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว

พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนแปลกหน้า

“ผมได้รับอนุญาตจากพวกเขาแล้วครับ” โจวกุยหลายพูด

หลินชิงเหอเห็นภาพแล้วคิดว่ามันดีมาก พวกมันล้วนถ่ายทอดความเป็นไปของยุคสมัยนี้ เธอจึงแนะนำสถานที่อื่นให้อีกด้วย “ไปเดินถ่ายแถว ๆ ลานสวนของคุณปู่อุปถัมภ์ของลูกสิ แล้วก็ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งกับมหาวิทยาลัยชิงฮวาด้วย”

แม้ว่าฟิล์มจะมีราคาสูง แต่ภาพถ่ายเหล่านี้ก็เหมือนกับการผ่านไปที่หมู่บ้านแล้วไม่พบร้านค้า(1) ถ่ายรูปไว้ให้มากขึ้น จากนั้นก็จัดทำเป็นอัลบั้มรูปถ่ายเก่า ๆ สัก 2-3 อัลบั้มเพื่อเก็บเอาไว้เปิดดูเป็นครั้งคราว ก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่นัก

“โอ้ ม้าช่างรู้จักผมดีจริง ๆ คุณปู่กับผมนัดกันแล้วครับ วันหยุดวันชาตินี้ เราจะไปกัน” โจวกุยหลายยิ้มปากกว้าง

วันชาติตรงกับวันมะรืนนี้ และเป็นวันหยุดของหลินชิงเหอเช่นกัน แม้ว่ามันจะหยุดเพียงแค่ 3 วันก็ตาม

หลินชิงเหอจึงสั่งว่า “ถ้างั้นทำตัวให้ว่าง 1 วันสำหรับม้า คุณย่าและคุณอาเล็กของลูกแล้วกัน”

“ได้เลยครับ ม้าจะทำอะไรหรือครับ?” โจวกุยหลายถาม เขามีหน้าที่เรื่องการถือของให้จนเคยชินไปเสียแล้ว

“ม้าตั้งใจจะพาคุณย่ากับคุณอาเล็กของลูกไปปีนกำแพงเมืองจีน พอถึงตอนนั้น ลูกก็ถือน้ำแล้วก็ถ่ายรูปให้พวกเราด้วย” หลินชิงเหอตอบ

โจวกุยหลายแสดงท่าทางว่าเขาพร้อม

โจวชิงไป๋เหลือบมองไปที่ภรรยา หลินชิงเหอยิ้มแล้วตบเบา ๆ ที่ใบหน้าซึ่งยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีเสน่ห์ของเขา “ก็คุณไม่ว่างนี่ค่ะ ดังนั้นจึงไปไม่ได้”

ร้านเกี๊ยวของชิงไป๋เปิดตลอดทั้งปี เว้นแค่ไม่กี่วันในช่วงปีใหม่เท่านั้น

ในช่วงเวลานี้มันยังจะต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน รอจนกระทั่งเมื่อถนนมีการวางผังที่ดีขึ้น พวกเขาก็สามารถไปได้ทุกที่แล้ว ถึงตอนนั้นเธอจะใช้วันหยุดพักร้อน 1-2 ครั้งต่อปี ชิงไป๋ของเธอก็จะต้องปิดร้านหยุด 2 ครั้งด้วยเหมือนกัน เมื่อเธอกลับมาทำงาน เขาก็ค่อยเปิดร้านหาอะไรทำฆ่าเวลาไป

แผนการในอนาคตของพวกเขาก็ไม่มีอะไรที่ตายตัวเช่นนี้นั่นละ!

ในวันสุดท้ายของวันหยุดช่วงวันชาติ หลินชิงเหอและโจวเสี่ยวเหมยก็พาท่านแม่โจวไปที่กำแพงเมืองจีน ส่วนพวกเด็ก ๆ ถูกทิ้งไว้ให้อยู่กับท่านพ่อโจว

จนถึงตอนนี้ท่านพ่อโจวเคยไปกำแพงเมืองจีนมาแล้วถึง 7-8 ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนแรก ๆ ที่เขาชื่นชอบมันมากเป็นพิเศษ

ในขณะที่ท่านแม่โจวเคยมาที่นี่เพียงแค่ครั้งเดียว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนางจึงมาอีกครั้ง

และก็ยังคงรู้สึกสนุกอย่างมาก

โจวเสี่ยวเหมยผู้ซึ่งแทบจะไม่เคยมีวันหยุด ก็ทิ้งลูกของหล่อนไว้ที่บ้านและออกมาเที่ยวเล่นลำพังคนเดียว ดังนั้นหล่อนจึงรู้สึกสนุกสนานเช่นเดียวกัน

สำหรับเด็กหนุ่มอย่างโจวกุยหลายก็มากับทั้ง 3 คนนี้อย่างขันแข็งโดยที่ไม่มีเสียงบ่นออกมาเลยตลอดการเดินทางมาเที่ยว รวมแล้วเขาได้ถ่ายรูปไปมากกว่า 1 โหล

เรื่องนี้ทำให้ท่านแม่โจว คุณย่าของเขาปลาบปลื้มใจมาก

ท่านแม่โจวผู้ซึ่งมีความสุขมาตลอดทั้งวัน กลับต้องมีอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อกลับมาถึงบ้าน เนื่องจากสวี่เชิ่งเหม่ยพาจ้าวจวินมาที่บ้าน

“หนูมาเยี่ยมเหรอ?” ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเห็นแก่ความจริงถึงเรื่องที่ลูกสาวคนโตของนางได้ขอร้องเอาไว้ก่อนที่หล่อนจะกลับไป ท่านแม่โจวจึงไม่ได้ไล่พวกเขาออกไป กระนั้นท่าทีของนางก็ไม่ได้กระตือรือร้นมากนัก

“คุณยาย ช่วงนี้หนูรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นคงจะมาที่นี่ก่อนหน้านี้แล้ว เราแวะไปที่บ้านคุณน้ามาแล้วด้วยค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยกล่าวอย่างยิ้มแย้ม ราวกับว่าหล่อนไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของคุณยายเลย

จ้าวจวินไปที่บ้านโจวชิงไป๋มาและไม่ได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นนัก เมื่อมาที่นี่ ท่านพ่อโจวก็นั่งดูทีวีด้วยท่าทางเฉยชา พูดได้ว่าวันนี้เขาต้องทนรับการถูกดูแคลนมาตลอดทั้งวัน พอเจอกับท่านแม่โจวที่เป็นแบบเดียวกัน ความอดทนของเขาจึงสิ้นสุดลง

“คุณนั่งอยู่กับคุณยายของคุณและคนอื่นไปก่อน ผมจะไปหาคุณยายของผม” จ้าวจวินพูดพลางลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปบ้านที่อยู่ติดกันเพื่อไปหาแม่เฒ่าหู

เดิมทีสีหน้าของท่านแม่โจวก็ไม่ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งย่ำแย่หนักไปกว่าเดิม นางชำเลืองมองไปที่สวี่เชิ่งเหม่ย แล้วเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “เขาเป็นคนชนิดไหนกันนี่? เป็นคนชนิดไหนกัน? เราทั้ง 2 คนที่เป็นผู้อาวุโสเขายังไม่เคารพเลย!”

สวี่เชิ่งเหม่ยอยากจะตะโกนใส่จ้าวจวินจริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงไม่อดทนให้มากขึ้นอีกนิด? ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย อดทนไว้ก็จะสามารถรักษาความเป็นญาติเอาไว้ได้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในอนาคต พวกเขายังสามารถให้ความช่วยเหลือได้ หล่อนไม่คิดว่าเขาจะมีความอดทนต่ำได้ถึงขนาดนี้!

“คุณยาย จ้าวจวินไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ แค่ว่าเขาไปอยู่กับคุณน้ามา แล้วทางคุณน้าก็ไม่สนใจพวกเรามากนักน่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยอธิบาย

“คุณน้าของหนูก็ต้องยุ่งกับธุรกิจของเขา ก็ต้องไม่มีเวลามากคุยด้วยอยู่แล้ว ยายเคยบอกหนูไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า แต่งงานแล้วก็ไปมีชีวิตของตัวเองซะ!” ท่านแม่โจวตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“คุณยายคะ หนูรู้ค่ะว่าหนูผิด หนูเลว แต่ตอนนี้การแต่งงานก็จัดการเสร็จแล้ว จากนี้เรื่องนี้ก็ถือว่าจบแล้ว อย่าโกรธหนูเลยนะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยขอร้องตาแดงก่ำ

“รีบเก็บน้ำตาพวกนั้นไปเถอะ ในความเห็นของยาย เขาไม่ใช่คนดีเลย!” ท่านแม่โจวไม่มีความประทับใจดี ๆ กับจ้าวจวินเลย โดยเฉพาะเมื่อเขามีบุคลิกท่าทางเช่นนี้

ไม่ใช่แค่ท่านแม่โจวเท่านั้นที่ตำหนิจ้าวจวิน แม่เฒ่าหูเพื่อนบ้านก็ตำหนิเช่นกัน

“ทำไมเธอถึงมาที่นี่? ยายเพิ่งเห็นคุณยายของเชิ่งเหม่ยกลับมา” แม่เฒ่าหูพูด

“พวกเขาไม่ต้อนรับผม แล้วผมจะไปทำไมล่ะครับ? อุตส่าห์มาหา พวกเขาแค่รินน้ำให้แก้วเดียวแล้วก็ปล่อยให้เรานั่งเฉย ๆ อยู่ตรงนั้น!” จ้าวจวินกลอกตาแล้วตอบกลับด้วยความโกรธ

ตอนนี้เขาเสียใจจะตายอยู่แล้วที่ไปแต่งงานกับสวี่เชิ่งเหม่ย หล่อนยังสาวและว่าง่ายก็จริง แต่จะมีประโยชน์อะไรล่ะ?

หล่อนมาจากชนบทที่ยากจน ครอบครัวของหล่อนก็ใจแคบกันทุกคน

เขาคิดว่าคุณน้าคนนี้จะไม่เหมือนคนอื่น ได้ยินมาว่าคุณน้าเป็นเจ้าของร้านค้าอยู่ 2-3 แห่งและธุรกิจก็ไปได้ดีมาก ส่วนคุณน้าสะใภ้ของหล่อนก็เป็นอาจารย์สอนภาษาต่างประเทศอยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งและสามารถสื่อสารกับคนต่างชาติได้อย่างราบรื่น

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่รังเกียจที่จะไปเยี่ยมเยียน คิดเสียว่าเป็นการเพิ่มเครือข่ายคนรู้จักให้มากขึ้น แต่ใครจะคาดคิดว่า เขาต้องไปนั่งอยู่บนม้านั่งเย็น ๆ (2) จนกลับ

“ถึงแม้จะแค่นั่งอยู่เฉย ๆ เธอก็ต้องนั่งอยู่ที่นั่นจนกว่าจะกลับ!” แม่เฒ่าหูบอก พอมองไปที่หลานชายแล้วหล่อนก็พูดขึ้นมาอีกว่า “อีกอย่าง วันนี้เธอก็มาไม่ถูกเวลาด้วย พวกเขาเพิ่งกลับมาจากกำแพงเมืองจีนกัน”

“จากที่ผมเห็น พวกเขาไม่ได้อยากจะเป็นญาติกับผมเลยสักนิด!” จ้าวจวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งมันก็เกือบจะเป็นความจริง

ครอบครัวตระกูลโจวไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาเลย

“ไม่ต้องการอะไรกัน? ตอนนี้การแต่งงานเกิดขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ทำตัวให้ฉลาดมากกว่านี้หน่อย ครอบครัวคุณน้าของหล่อนมีความสามารถกันทุกคน ครอบครัวของคุณน้าเล็กก็ไม่เลวเลย ในอนาคตพวกเขาสามารถช่วยเธอในเรื่องธุรกิจได้” แม่เฒ่าหูกล่าวพร้อมกับผลักไสเขาให้กลับไป

………………………………………………………………………………………

(1)เปรียบได้กับโอกาสที่หาไม่ได้อีกแล้วในตอนที่ต้องการหรือพลาดแล้วพลาดเลย

(2)หมายถึงได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชา

สารจากผู้แปล

คนที่เพิ่งเคยมีโอกาสได้หยุดงานไปเที่ยวสักครั้งมันคงเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากนะคะ ถ่ายรูปไว้เยอะ ๆ เลยนะเจ้าสาม

สำหรับใครที่รำคาญเชิ่งเหม่ยนะคะ เปลือกทุเรียนคงไม่ได้ผลหรอกค่ะ ต้องเครื่องเจาะถนนเท่านั้น เพราะหนังหน้านางน่าจะหนากว่าอิฐกำแพงเมืองจีนเสียอีก แต่อย่าเปลืองแรงกับคนอย่างนางเลยค่ะ เดี๋ยวมือเราจะเหม็นเปล่า ๆ รอดูชีวิตนางล่มจมแล้วค่อยหัวเราะทีหลังก็ไม่สาย

ได้สามีไม่เอาไหนอย่างจ้าวจวินไปก็เจ๊ากันแล้วล่ะนะ ศีลเสมอกันแบบนี้

ไหหม่า (海馬)