GGS:บทที่ 886 พบเจออีกครั้ง

 

ในขณะที่โลกภายนอกนั้นกำลังบ้าคลั่งเกี่ยวกับรูปปั้นนางฟ้าแห่งแอตแลนติสรวมถึงการค้นหาสถานที่ต้องที่แท้จริงของดินแดนที่สาบสูญอยู่นั้น

ซูจิ้งขี้เกียจที่จะสนใจเรื่องพวกนั้นและหมกตัวเองอยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เขานั้นรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าในทันทีที่ได้เห็นค่าการใช้ประโยชน์ขยะห้วงเวลาฯที่เพิ่มสูงขึ้น และเรื่องในครั้งนี้ทำให้ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าครั้งไหนๆเลยทีเดียว

นี่ยังไม่รวมถึงการที่เขายอมขายเมล็ดพันธุ์ยาสูบแห่งไชร์ออกไปอีก เรื่องนี้ส่งผลให้โลกนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจนตอนนี้ค่าการใช้ประโยชน์ของฉิงหยุนในตอนนี้อยู่ที่หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยหน่วยไปแล้ว

หากว่ายาสูบแห่งไชร์นี้ได้รับความนิยมในจีนจนออกไปขายทั่วโลกได้ล่ะก็แน่นอนแล้วว่าค่าการใช้ประโยชน์จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุด

 

ในส่วนของค่าพลังงานนั้นเมื่อไม่กี่วันก่อนทางสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขาได้ทำการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า นี่ทำให้อัตราการผลิตปฏิสสารนั้นเพิ่มสูงขึ้นสิบเท่าเช่นเดียวกัน

จนในตอนนี้เขานั้นมีปฏิสสารเก็บสะสมในชิงหยุนอยู่ที่ 0.56 กรัม หรือก็คือค่าพลังงานสะสมที่ห้าพันหกร้อยหน่วย นั่นเอง

“ทุกอย่างในตอนนี้เป็นไปได้ด้วยดีจริงๆ หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ฉันสามารถทำได้เหมือนกับการปั้นตุ๊กตาหิมะที่ยิ่งหมุนไปก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ยิ่งพัฒนาค่าต่างๆก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว”

เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็ทำการสงบอารมณ์และจัดการขยะห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงที่เหลืออยู่ต่อไป เขานั้นยังคงมีความหวังที่จะเจอของดีๆอย่างดอกไม้ไฟของแกนดรอฟ ใบยาสูบแห่งไชร์ และรูปแกะสลักของเผ่าเอลฟ์อยู่อีก

“แล้ว…นี่คือ…” ซูจิ้งได้หยิบของขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ลักษณะของมันเหมือนถุงเก็บน้ำพกพาที่มีการลงลวดลายเอาไว้ มันมีสีดำ แบน และเหมือนจะมีของเหลวบางอย่างอยู่ข้างในประมาณครึ่งหนึ่ง

หลังจากซูจิ้งเปิดออกมาและเทของเหลวข้างในออกมามันดูเหมือนน้ำจริงๆและไม่ได้มีกลิ่นแต่อย่างใด

แต่ซูจิ้งเองนั้นก็มีประสบการณ์มากมายจากขยะต่างๆในกองขยะห้วงเวลาฯที่แวบแรกนั้นดูไม่มีอะไร แต่ความจริงคือสมบัติชั้นยอดทั้งนั้น เขาจึงเลือกที่จะไม่มองข้ามของธรรมดาเหล่านี้อีกต่อไป

เขาเองก็เคยได้ลิ้มรสชาติความทรมานของน้ำจากแม่น้ำยมโลกจากห้วงเวลาฯไซอิ๋วมาแล้วเขาจึงไม่สามารถประมาทของเหลวที่อยู่ในถุงพวกนี้ได้แม้แต่น้อย

ซูจิ้งได้ให้หลี่น้อยและอาลี่ไปหาหนูมาให้เขาสองตัว หลังจากนั้นเขาก็ได้ให้หนูตัวทั้งสองตัวดื่ม ก่อนที่จะทำการหยดเลือดของพวกมันลงบนหยกหมื่นอสูรก่อนจะถามออกมาว่า “รสชาติเป็นยังไงบ้าง?”

“ปกตินะ”

“เหมือนน้ำล้างจานอ่ะ”

เมื่อได้ยินหนูทั้งสองตอบออกมาดังนั้นเขาเองก็รู้สึกเซ็งๆไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นหนูตัวหนึ่งได้พูดโพล่งออกมาว่า “แต่มันรู้สึกสดชื่นดีเหมือนกันนะ”

ซูจิ้งสายตาเป็นประกายก่อนที่จะถามออกมาว่า “มีอะไรอีกรึเปล่า”

หนูตัวนั้นตอบว่า “ฉันรู้สึกว่ามีแรงดีด้วยล่ะ”

ซูจิ้งยังถามคำถามเดียวกับเจ้าหนูอีกตัวหนึ่งซึ่งก็ตอบออกมาแบบเดียวกันนั่นก็คือ รู้สึกสดชื่น และทำให้แข็งแรงดี แต่ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก ซูจิ้งเองก็ได้รอดูสักพักเพื่อรอดูผลแต่ก็เหมือนจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นแล้ว

“ดูเหมือนว่าน้ำนี้จะใช้ในการฟื้นฟูความแข็งแกร่งของร่างกายนะ ไม่รู้เหมือนกันแหะว่ามาจากเผ่าพันธุ์ไหนจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริง เอลฟ์ ออร์ค หรือว่าฮอบบิทกันนะ”

ซูจิ้งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก เขาเลยปล่อยให้หนูทั้งสองไปอยู่ในมิติสิ่งแวดล้อมเทียมและดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมภายหลังรึเปล่า เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้จะรู้ผลในระยะสั้นแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่ายังมีผลนานแค่ไหน หรือมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง

 

ซูจิ้งยังคงจัดการกองขยะของเขาต่อไป เขาใช้เวลาทั้งวันในการจัดการขยะและเลือกที่จะพักผ่อนในนั้นไปเลยเพื่อตัดการรับรู้จากโลกภายนอก

ในตอนนี้เขาได้เริ่มถอดใจที่จะเจอของดีๆจากขยะห้วงเวลาฯกองนี้แล้วเพราะแค่ของสุดยอดอย่างใบยาสูบแห่งไชร์และดอกไม้ไฟแห่งแกนดรอฟนั้นทำให้เขารู้สึกว่าของอย่างอื่นนั้นดูไร้ค่าไปเลย

ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้ของที่ดูจะใช้ได้มาอีกจำนวนหนึ่ง

ซูจิ้งได้ทำการตรวจดูซ้ำอีกสองครั้งเหมือนเดิม หลังจากนั้นเขาก็ให้ฉิงหยุนลองคำนวนดูว่าเขานั้นเหลือขยะที่ยังไม่ได้จัดการอีกเท่าไหร่

ฉิงหยุนได้รายงานให้เขาทราบออกมาว่า “ตอนนี้เหลือขยะอีก 4,890 ตัน หากต้องการทำลายตอนนี้จะต้องใช้ปฏิสสาร 0.005 กรัม”

อาจเป็นเพราะว่าตอนนี้สถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขานั้นทำการขยายการผลิตไปสิบเท่าทำให้เขานั้นไม่ได้รู้สึกว่าปริมาณปฏิสสารที่ใช้กำจัด 0.005 กรัม นั้นมากมายอะไร

ตอนนี้ของที่เขาคิดว่าพอจะใช้ได้และของที่มีท่าที่ว่าจะใช้ได้ก็ได้ส่งเข้ามิติกักเก็บ พื้นที่ใช้งาน และพื้นที่นิเวศจำลองไปเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ก็ยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ถูกใช้งานอยู่อีกเยอะพอทำให้เขาไม่ต้องขยายพื้นที่ของสถานีไปอีกสักพัก

กว่าที่เขาจะรู้ตัวก็กลายเป็นเวลาเย็นไปแล้ว ตอนนี้ซูจิ้งตัดสินใจจะออกจากสถานีแต่ก่อนหน้านั้นเขาได้ไปดูเจ้าหนูสองตัวก่อนหน้านี้ที่ลองดื่มน้ำในถึง แต่ทันทีที่เขาเห็นนั้นได้แต่ทำหน้ามึนตึบ

“นี่ฉันตาฟาดรึเปล่า ทำไมฉันรู้สึกว่าพวกแกตัวโตขึ้นแถมยังสูงขึ้นอีกสักเท่าหนึ่งได้ล่ะมั้งเนี่ย” ซูจึ้งรู้สึกอัศจรรย์ทันทีที่ได้เห็นเจ้าหนูสองตัวนั้นสูงขึ้น ต่อให้ไม่ต้องใช้กระแสจิตสัมผัสเขาก็รู้สึกได้ด้วยตาเปล่าของตนเอง

แต่ว่านี่ก็พึ่งจะผ่านไปครึ่งวันเองนะ แม้แต่เนื้อสัตวืวิเศษกับปลาเขี้ยวหยกกินไปแล้วยังไม่ได้ผลเท่านี้เลย

ซูจิ้งได้ลองตรวจสอบเจ้าหนูสองตัวนี้อีกทีและพบว่านอกจากความสูงแล้วพวกมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างอื่นเลย ไม่ทั้งอ่อนแอกว่าเดิมหรือแข็งแรงกว่าเดิม มันดูเหมือนปกติทุกอย่าง

“เดี๋ยวนะ หลังจากดื่มไปแล้วรู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าแถมยังสูงขึ้น นี่มัน…”

 

ตอนนี้มีความคิดหนึ่งได้แวบเข้ามาในหัวของซูจิ้ง เขานึกได้ถึงของเหลวที่มีฤทธิ์คล้ายกันนี้ เขาคุ้นๆว่าในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนั้นตอนที่ฮอบบิทสองตนนั้นหลงเข้าไปในป่าฟังกอร์นที่เป็นที่พำนักของเหล่าเอนท์(มนุษย์ต้นไม้) ทั้งสองได้ดื่มน้ำที่มนุษย์ต้นไม้ดื่มกันแล้วตัวสูงขึ้นได้

“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด นี่สมควรจะเป็นน้ำที่เหล่าเอนท์ดื่มกัน ต่อให้มันใช้ประโยชน์ได้ไม่มากนักแต่กับคนบนโลกนี้น่าจะมีคนอยากได้แบบฆ่ากันตายแน่นอน”

เอาจริงๆแล้วก่อนหน้านี้นั้นซูจิ้งตัวเตี้ยมาก แต่ด้วยการที่เขานั้นได้กินเนื้อสัตว์วิเศษ ปลาเขี้ยวหยก และของอย่างอื่น รวมถึงการฝนร่างกายจนทำให้ตอนนี้เขาสูงกว่า 1.8 เมตรแล้ว ถ้าให้เป๊ะๆก็คือ 1.83 เมตรและก็ไม่โตไปกว่านี้แล้ว

ด้วยความสูงขนาดนี้สำหรับเขานั้นถือว่าสูงพอแล้วและเขาก็ไม่คิดจะดื่มน้ำพวกนี้เข้าไปอีก

อย่างไรก็ตามมนุษย์โดยทั่วไปในโลกนี้ทุกคนต่างก็อย่างสูงให้อยู่ในช่วง 1.7 เมตร ถึง 1.8 เมตรกันทั้งนั้น แต่ก็มีหลายคนที่ไม่สามารถไปถึงความต้องการนั้นได้

มันเป็นความรู้สึกเหมือนชายหนุ่มที่ไม่สามารถเอื้อมมือไปคว้าเทพธิดามาครอบครองได้ทั้งๆที่เทพธิดาตนนั้นมาอยู่ตรงหน้าแล้ว หรือจะบอกคือมันอยากเกินจะเอื้อมไปคว้ามาเพราะเกิดความไม่มั่นใจในตนเอง

มันเป็นสิ่งที่มีเพียงคนที่แข็งแกร่งและมั่นใจในตนเองเท่านั้นที่ก้าวผ่านความรู้สึกนี้มาได้

แม้แต่ฮอบบิทเองที่มีความสูงได้เต็มที่ก็เท่าเพียงแค่เหล่าคนแคระเท่านั้น แต่เมื่อทั้งสองได้ดื่มเจ้าสิ่งนี้ก็ยังสูงขึ้นได้ อย่ากร่ะนั้นเลย เจ้าหนูสองตัวนี้ก็สูงขึ้นได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นแม้แต่มนุษย์เองก็สมควรจะสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

“เท่าที่ฉันรู้มา เหล่านักแสดงทั้งชายและหญิงต่างก็พยายามโกหกเกี่ยวกับความสูงของพวกเขามาโดยตลอด ถ้าพวกนั้นรู้ว่ามีน้ำที่วิเศษแบบนี้ คนพวกนั้นจะยอมจ่ายแค่ไหนกันนะ

ไม่สิแค่ขายยังไม่ถือว่าคุ้มค่าพอแหะ สงสัยต้องลองคิดดูอีกสักหน่อยก่อนดีกว่า” ซูจิ้งพูดลอยๆออกมาและได้หัวเราะลั่นก่อนที่จะเก็บถุงใส่น้ำนี้ในกระเป๋ามิติ

 

ตอนนี้ซูจิ้งได้ตรงไปดูไวน์มอลต์ที่เขาบ่มไว้ ตอนนี้ขั้นตอนที่สองถือว่าสำเร็จได้ด้วยดีไปแล้วและพร้อมสำหรับขั้นตอนที่สามในทันที

เมื่อตอนที่เขาได้สูตรไวน์นี้มาตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าขยะกองนี้มาจากห้วงเวลาฯใดกันแน่จึงยังไม่กล้าทำอะไรมาก แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วแน่นอนว่าเขาต้องลองทำตาม แต่จะรสชาติเป็นยังไงนั้นต้องลองก่อนถึงจะรู้

“เห้ออออ กว่าจะเสร็จสิ้นทุกกระบวนการก็ต้องใช้เวลากว่าสามเดือน ช่างนานเสียเหลือเกิน ถ้ามีวิธีการย่นระยะเวลาได้ก็คงจะดีแหะ” พอคิดถึงเรื่องร่นเวลาแบบนี้เขานั้นก็พลันนึกถึงสมบัติของเขาชิ้นหนึ่งที่มีความสามารถนี้พอดี

เขาได้ใช้สมบัตินี้มาหลายครั้งแล้วถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่นักก็ตาม เอาตรงๆก็ออกจะเลวร้ายเสียทุกครั้งไป แต่อย่างน้อยถ้าใช้ที่นี่ก็พอจะวางใจได้อยู่

 

“เอาวะ ลองดูสักรอบ” ซูจิ้งคิดดีแล้วจึงตัดสินใจนำสมบัติชิ้นนั้นออกมาจากมิติเก็บของ