เวินเส้าหยีถูกลากออกไป ผู้อาวุโสทั้งสองก็ออกไปแล้ว

ในห้องขังเหลือเพียงเย่จิ่งหานและกู้ชูหน่วน

บรรยากาศก็ยิ่งเงียบงันจนน่าประหลาด

เย่จิ่งหานกล่าว “แทนที่จะทำลายวิทยายุทธของเขา สู้ฆ่าเขาไปเลยยังจะดีซะกว่า เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขามาแก้แค้นเจ้าในภายหลัง”

“นั่นเป็นเรื่องของเขากับข้า ไม่รบกวนให้ท่านต้องกังวลใจ”

กู้ชูหน่วนลุกขึ้น เดินมาเบื้องหน้าของเย่จิ่งหานช้าๆ หยิบกุญแจออกมาจากหน้าอกแล้วโยนไปด้านหน้าของเย่จิ่งหาน

“ท่านไปซะเถอะ ออกไปจากเผ่าหยกพร้อมเจี่ยงเสวีย ข้าจัดเตรียมไว้ดีแล้ว จะมีคนส่งพวกท่านออกไป”

เย่จิ่งหานคิดว่านางจะคิดบัญชีกับเขาเรื่องในวันนั้นที่คำสาปโลหิตกำเริบ ซึ่งได้ฆ่าประชาชนของเผ่าไปนับไม่ถ้วนรวมถึงผู้อาวุโสเก้าด้วย คิดไม่ถึงว่านางจะเอากุญแจให้เขา ทั้งยังจัดเตรียมการให้เขาจากไปอีก

“เผ่าหยกมีคนไม่น้อยที่จะมีความสุขหลังจากที่ได้กำจัดข้าไปซะ เจ้าปล่อยข้าไป เหล่าผู้อาวุโสจะไม่ยอมทำตามเจ้า”

“ข้าเคยพูดแล้ว เรื่องของข้าไม่รบกวนให้ท่านลำบาก”

“ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน”

เขาไม่มีทางปล่อยให้นางอยู่ที่เผ่าหยกเพียงลำพัง

แม้ว่านางจะเป็นหัวหน้าเผ่าหยกก็ไม่ได้

เผ่าหยกเกลียดแค้นท่านแม่ของพวกเขาขนาดไหน เขาเข้าใจดีกว่าผู้ใดทั้งสิ้น

หลายปีมานี้หากว่าไม่ใช่เพราะเขาดวงแข็ง ก็คงถูกคนของเผ่าหยกฆ่าไปนานแล้ว

ลูกที่เกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน เผ่าหยกจะปฏิบัติต่อนางโดยมีข้อยกเว้นได้อย่างไร

สาเหตุที่ทำดีต่อนางขนาดนี้ ทั้งยังยกให้นางเป็นหัวหน้าเผ่าอีก ก็เพียงแค่ให้นางหลอมรวมมุกมังกรเท่านั้น

ทันทีที่หลอมรวมได้ หรือว่าผ่านไปนานแล้วก็ยังหลอมรวมไม่สำเร็จ พวกเขาก็จะไม่ปล่อยกู้ชูหน่วนไปเป็นแน่

เหมือนกู้ชูหน่วนได้ฟังคำพูดที่สุดแสนจะน่าขันที่สุดในโลกเช่นนั้น หัวเราะเยาะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ไปพร้อมกับท่าน? ทำไมข้าต้องไปพร้อมกับท่าน? เย่จิ่งหาน ข้าเป็นหัวหน้าเผ่าของเผ่าหยก ท่านสังหารประชาชนในเผ่า สังหารผู้อาวุโสเก้าต่อหน้าข้า ประชาชนผู้บริสุทธิ์มากมายเท่าไหร่ที่ตายด้วยน้ำมือของท่าน ท่านเอาความกล้าจากไหนมาบอกให้ข้าไปกับท่าน?”

“เรื่องวันนั้น ข้าขอโทษเป็นอย่างมาก”

คำสาปโลหิตกำเริบ ก็เป็นเรื่องที่เขาก็คิดไม่ถึง

สังหารประชาชนในเผ่าไปมากมายขนาดนั้น ก็ไม่ได้เป็นความเต็มใจของเขา

“ขอโทษ? ขอโทษเพียงคำเดียวสามารถทำให้พวกเขาฟื้นกลับมาได้หรือ?”

“อาหน่วน…..”

“เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตที่ผ่านมา วันนี้ข้าปล่อยท่านไป แต่หลังจากนี้ไป พวกเราทั้งสองคนตัดขาดเยื่อใยความสัมพันธ์ที่มีกัน เป็นตายก็จะไม่ไปมาหาสู่กัน”

“ก็เพราะคำสาปโลหิตของข้ากำเริบ สังหารประชาชนในเผ่าหยกงั้นรึ?”

“ใช่ เหตุผลนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ?”

“แน่นอนว่าไม่เพียงพอ ทั้งที่เจ้าก็รู้ดีว่าข้าสูญเสียสติสัมปชัญญะไป”

“ก็เพราะว่าท่านสูญเสียสติสัมปชัญญะ ดังนั้นข้าจึงไม่ฆ่าท่าน”

“เป็นเพราะผู้อาวุโสเหล่านั้นของเผ่าหยกบีบบังคับเจ้าใช่หรือไม่?”

“เย่จิ่งหาน ท่านจะต้องบังคับให้ข้าพูดให้ชัดเจนให้ได้เช่นนั้นหรือ?”

ฝีเท้าของเย่จิ่งหานโซเซเล็กน้อย พิงอยู่ที่กำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรง

ที่สะท้อนอยู่ในสมอง ล้วนเป็นคำพูดของกู้ชูหน่วน จะต้องบังคับให้นางพูดให้ชัดเจนให้ได้เช่นนั้นหรือ?

ที่นางหมายถึงคืออะไร?

ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเขา?

พี่น้องพ่อแม่คนเดียวกัน เป็นสัจธรรมที่พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามไปได้

ฉับพลันนั้นเย่จิ่งหานก็ไม่มีความกล้าที่จะเอ่ยถามอีกต่อไป

กู้ชูหน่วนหันกลับ ฝืนทนต่อความปวดใจ กล่าวทีละคำทีละประโยค “ข้าสูญเสียความทรงจำบางอย่างที่เกี่ยวกับอดีตไป หลังจากที่พี่เฉินเฟยเสียชีวิต ความทรงจำบางอย่างของข้าฟื้นคืนมา ก่อนที่ข้าจะรู้จักกับท่าน ข้าและพี่เฉินเฟยมีความรักใคร่ต่อกัน สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันชั่วชีวิต เพียงแต่ข้าลืมเขาไป และเขา ก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่มีร่างกายเป็นหยางบริสุทธิ์ตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว จำเป็นต้องอุทิศตัวบูชา จึงตั้งใจรักษาระยะห่างจากข้า”

ม่านตาของเย่จิ่งหานหดตัวลง

สีหน้าซีดขาวไปในทันที แทบจะไม่กล้าเชื่อคำพูดของกู้ชูหน่วน

“แม้ว่าพี่เฉินเฟยจะตายไปแล้ว แต่เขายังมีชีวิตอยู่ในใจข้าเสมอ ส่วนท่าน……ท่านเป็นเพียงแค่ผู้ที่สัญจรผ่านมาตอนที่ข้าสูญเสียความทรงจำไปก็เท่านั้น และแน่นอนว่าเหตุผลเพราะพวกเราเป็นพี่น้องกัน ก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้เป็นธรรมดา ทุกอย่างที่ผ่านมา ก็คิดซะว่าเป็นความฝันไปละกัน”

“อาหน่วน……”

“ออกจากเผ่าหยกไปซะ นับตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าก็ไม่อยากพบเจอท่านอีก”

กู้ชูหน่วนพูดจบก็หมุนตัวจากไป โดยเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดใจของเย่จิ่งหาน

เย่จิ่งหานหายใจอย่างรีบร้อนทันที “ไม่ใช่ว่าหลอมรวมมุกมังกรไม่ได้หรือ? แล้วเจ้าจะหลอมรวมมุกมังกร ถอนคำสาปโลหิตอย่างไร?”

“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย?”

“สิ่งเหล่านั้นที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ล้วนเป็นเพียงการแก้แค้นข้าเท่านั้น แก้แค้นที่ข้าฆ่าประชาชนของเผ่าหยกไปมากมายขนาดนั้นใช่หรือไม่?”

นางกับอี้เฉินเฟยจะเป็นคู่กันได้อย่างไร?

“แม้ว่าจะเป็นการแก้แค้นแล้วยังไง อย่าลืมว่าพวกเราทั้งสองเป็นพี่น้องแท้ๆที่เกิดจากพ่อแม่คนเดียวกัน หรือท่านจะทำลายข้อห้ามเพื่อที่จะอยู่กับข้าให้ได้เช่นนั้นหรือ? แม้ว่าท่านจะอยากอยู่กับข้า ข้าก็ไม่เต็มใจ คนในดวงใจที่ข้ารักคืออี้เฉินเฟย”

พ่อแม่คนเดียวกันประโยคหนึ่งทำให้เย่จิ่งหานกระอักเลือดออกมาอย่างอดไม่ได้

อาการบาดเจ็บภายในร่างกายของเขากำเริบหนักขึ้นอีกครั้ง การกัดกร่อนของคำสาปโลหิตก็รุนแรงขึ้นเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นเย่จิ่งหานเป็นเช่นนี้ จิตใจของกู้ชูหน่วนก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างฉับพลัน

นางอยากเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของเย่จิ่งหาน แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองแล้ว ฝีเท้าของกู้ชูหน่วนก็ชะงักลง ไม่ว่าอย่างไรก็ขยับไม่ได้

นางกลัวว่าถ้าอยู่ต่อไปอีก ตัวเองจะใจอ่อน ทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อ แล้วจากไปโดยที่ไม่หันกลับมา

พริบตานั้นที่หมุนตัว น้ำตาของกู้ชูหน่วนก็ไหลลงมาอย่างหยุดไม่ได้

เย่จิ่งหานมองเงาหลังของนางที่จากไปอย่างเลื่อนลอย เหมือนในลำคอมีก้างปลาติดอยู่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

เจี่ยงเสวียที่อยู่ในห้องขังอีกข้างหนึ่ง ได้เห็นทุกอย่างตรงนี้ในสายตา

เขาพูดด้วยความกังวลว่า “ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ….”
เย่จิ่งหานกุมทรวงอกของตัวเองไว้แน่น ในนั้นเจ็บจนไม่มีทางจะหายใจได้ ดวงตาที่ดื้อรั้นคู่นั้นสะท้อนเงาหลังที่จากไปของกู้ชูหน่วนอยู่ตลอด

แม้ว่า…..

เงาหลังของนางจะหายไปจากสายตานานแล้ว…..

“ท่านอ๋อง…..ท่านอย่าโทษที่ข้าน้อยพูดมากเลยขอรับ ข้าน้อยรู้ว่าท่านรักพระชายา แต่พระชายานาง….ไม่ว่ายังไงนางก็เป็นน้องสาวของท่าน บางครั้งที่ควรจะปล่อยวาง ก็ควรต้องปล่อยวาง……”

เหอะ…..

ปล่อยวาง?

จะปล่อยวางได้อย่างไร?

ชั่วชีวิตนี้นางเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาชอบ และสลักลึกอยู่ในกระดูก อยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณตั้งนานแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยวางลงได้

“เพื่อประโยชน์ของพระชายา และเพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง ไม่เช่นนั้น….พวกเราออกจากเผ่าหยกจะดีกว่า พยายามรักษาระยะห่างกับพระชายาให้สุดความสามารถเถอะขอรับ”

ขณะที่เจี่ยงเสวียพูดประโยคสุดท้าย ก็ยิ่งกดเสียงให้ต่ำลง เกรงว่าจะทำให้เย่จิ่งหานโกรธ

เย่จิ่งหานหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ไม่ได้เปล่งเสียงอยู่นาน เจี่ยงเสวียดูจนยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น

และไม่รู้ว่านายท่านของตัวเองคิดอย่างไร

นอกห้องขัง

ทันทีที่กู้ชูหน่วนออกมา ผู้อาวุโสหกก็ล้อมเข้าไป แล้วกล่าวด้วยความกังวลว่า “เป็นอย่างไรบ้าง จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”