บทที่ 1009 ลอบโจมตี

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1009 ลอบโจมตี

ตึง!

พื้นดินสั่นสะเทือน ร่างเงาของจงเถิงก็ทะยานออกมาราวกับลูกศรออกจากแล่ง พุ่งตรงไปที่มู่เฉินซึ่งอยู่เบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพรั่งพรู จิตสังหารก็พวยพุ่ง

การเคลื่อนไหวฉับพลันของจงเถิง ทำให้เกิดความโกลาหลนับไม่ถ้วนกระจายที่ด้านนอกเจดีย์ ใบหน้าของจิ่วโยวและมั่วหลิงเปลี่ยนไปทันที แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั่นก็ยังบอกได้ว่ามู่เฉินหมดแรงแล้ว ตอนนี้เขาคงอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุดที่เคยเป็นมา

หากจงเถิงต้องการฆ่ามู่เฉินในตอนนี้ เขาก็คือภัยคุกคามชิ้นใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

“จงเถิง!”

จิ่วโยวกัดฟันกรอดขณะที่ไอเย็นยะเยือกพล่านอยู่ในดวงตาราวกับจะตกผลึก

แต่ถึงแม้จะโกรธ จิ่วโยวก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเกินไป นั่นเป็นเพราะมู่เฉินไม่ได้อยู่คนเดียวในชั้นสี่ ในฐานะสหาย แม้ว่ามั่วเฟิงจะมีนิสัยเย็นชา แต่เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้จงเถิงทำอันตรายมู่เฉินได้แน่

ตามที่จิ่วโยวคาดไว้ เมื่อจงเถิงขยับ ดวงตาของมั่วเฟิงก็มืดครึ้มลง พริบตาก็มาปรากฏตัวต่อหน้าจงเถิง คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกมา ขณะจ้องมองจงเถิงด้วยสายตาเย็นชา

“ถอยไป หากแกก้าวมาอีกก้าวเดียว อย่าโทษที่ทำให้ข้าต้องจัดการ!” เสียงของมั่วเฟิงเย็นชาลงหลายส่วน ดวงตาที่ราวกับใบมีดจ้องมองไปที่จงเถิง

ใบหน้าของจงเถิงมืดคล้ำพูดเสียงเย็นชาว่า “มั่วเฟิง มู่เฉินไม่ได้เป็นสมาชิกของเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่เป็นเพียงมนุษย์ แกแน่ใจหรือที่ต้องการให้เป็นศัตรูกับเผ่ากระเรียนฟ้าเพราะมัน?”

เมื่อมั่วเฟิงได้ยินคำพูดนั่นก็เผยสีหน้าเยาะเย้ยไม่ตอบอะไร มีเพียงสายตาคมกริบจ้องมองจงเถิงนิ่ง บรรยากาศร้อนระอุทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าถ้าก้าวไปอีกก้าวเดียว มั่วเฟิงก็จะเคลื่อนไหวทันที

เมื่อจงเถิงเห็นว่ามั่วเฟิงไม่ปล่อยแน่ จิตสังหารก็พล่านในดวงตา ก่อนที่จะหันไปมองหานซันซึ่งกำลังมองจากด้านข้างอย่างเย็นชา “พี่หานซัน เจ้าควรเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบสมรรถภาพพลังกายนี้ แต่ตอนนี้มู่เฉินในฐานะมนุษย์กลับมาคว้าโอกาสที่เป็นของเทพอสูรอย่างเราไป เจ้ายอมได้เหรอ?”

เมื่อมั่วเฟิงได้ยินคำพูดของจงเถิงใบหน้าก็มืดครึ้มลง ถ้าเป็นจงเถิงคนเดียว เขายังสามารถขัดขวางได้ แต่ถ้าหานซันร่วมมือด้วยแล้วละก็ แม้แต่เขาก็ช่วยมู่เฉินไม่ไหว

พอหานซันได้ยินคำพูดของจงเถิงก็อึ้งไปก่อนจะหรี่ตาลงกล่าวอย่างไม่แยแส “นี่คือเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเจ้า ทำไมต้องมาดึงข้าไปเกลือกกลั้วด้วย?”

“พี่หานไม่สนใจแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมเหรอ? หากเจ้าสามารถดูดซับได้ เจ้าจะอยู่ยงคงกระพันในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าจะปะทะกับอัจฉริยะของเผ่ามังกรและหงส์ฟ้า ก็ไม่ต้องกลัวพวกเขาอีกต่อไป” จงเถิงกล่าว

ดวงตาของหานซันเป็นประกายขึ้น เขามองไปที่แก่นโลหิตที่มู่เฉินดูดซับ ความโลภก็วูบไหวในดวงตา เขาบอกได้ชัดเจนว่าแก่นโลหิตที่มู่เฉินได้รับน่าตกใจเพียงใด

เหนือกว่าสิ่งที่เขาเคยได้รับมาก่อนมาก

ถ้าเขาสามารถดูดซับ สิ่งที่จงเถิงกล่าวว่าก็ไม่ผิด

เมื่อคิดเรื่องนี้ใบหน้าของหานซันก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ ชัดว่าใจเขาหวั่นไหวเล็กน้อย เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น หัวใจมั่วเฟิงก็อดดิ่งลงไม่ได้

ที่ด้านนอกเจดีย์ จิ่วโยวหดตามองหน้าจอแสง แม้ว่านางจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่จากท่าทางของจงเถิงและการตอบสนองของหานซันก็สามารถคาดเดาถึงสิ่งที่จงเถิงต้องการจะทำ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เย็นเยียบลง ไอเย็นกระจายออกไปจากร่างกาย ชัดว่าโกรธเคืองมาก

ถ้าหานซันเข้ามายุ่งเกี่ยวในตอนนี้ก็จะเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อมู่เฉินแน่นอน

“จงเถิง แกสมควรตาย!”

จิ่วโยวกัดฟันกรอด ใบหน้าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า

ยืนอยู่ด้านข้างใบหน้ามั่วหลิงก็ฉายความกังวล ยามนี้มู่เฉินไม่เหลือพลังต่อสู้เลย ถ้าอาศัยกำลังของพี่ใหญ่นางคนเดียว คงไม่สามารถสกัดการโจมตีร่วมของจงเถิงและหานซันได้

ขณะนี้จอมยุทธ์จากเผ่าอื่นๆ ก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในชั้นสี่ ทันใดนั้นความโกลาหลก็กวนตัว บางคนรู้สึกสงสารมู่เฉินในสถานการณ์นี้ หรือว่าม้ามืดจะถูกสังหารหลังจากแตะจุดสูงสุดทันที?

ไม่ไกลนักลู่ซุยที่เพิ่งฟื้นตัวได้จากการปกป้องของพรรคพวกก็ลืมตาขึ้นมองไปที่หน้าจอแสงพลางเย้ยหยัน ‘มู่เฉิน ข้าจะดูสิว่าแกจะรักษาความหยิ่งไปได้สักแค่ไหน!’

รางวัลทั้งหมดที่มู่เฉินต่อสู้ด้วยความขมขื่นในไม่ช้าจะกลายเป็นของผู้อื่น!

ด้านนอกเจดีย์สายตานับไม่ถ้วนที่เต็มไปด้วยความสุขในความทุกข์ของคนอื่นก็มองไปที่ภาพแสง

ภายใต้สายตาที่จับจ้อง ดวงตาหานซันก็วูบไหวไม่หยุด แต่ดูเหมือนจะยังไม่สามารถตัดสินใจได้

“พี่หาน เราจะลากเวลานานไม่ได้ ไม่งั้นจะไม่มีส่วนแบ่งแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าให้เจ้าแล้วนะ” เมื่อเห็นหานซันหวั่นไหวจากคำพูดของเขา แต่ยังไม่แสดงการคลื่อนไหว จงเถิงก็อดไม่ได้ที่จะกระตุ้นอีกครั้ง

หากปล่อยให้มู่เฉินฟื้นฟูและรวมพลังกับมั่วเฟิง ถึงตอนนั้นแม้จะมีหานซันมาช่วยเสริมก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้แล้ว

พอได้ยินเสียงเร่งของจงเถิง หานซันก็ขมวดคิ้วมองไปที่มู่เฉินที่ยังคงยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าแผ่นศิลาอย่างเงียบๆ แก่นโลหิตบริสุทธิ์ห่อหุ้มร่างกายเขา ทำให้มีความลึกลับพล่านไปรอบตัว

หานซันมีประสบการณ์การสังหารนับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมาในการฝึกฝนหฤโหด ทำให้มีสัญชาตญาณฉับไว ครั้งนี้เขารู้สึกถึงรัศมีผิดแผกซึ่งมาจากมนุษย์หนุ่มคนนี้

นั่นคือความรู้สึกอันตรายที่กดเอาไว้จนสุด

ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเข้าใจว่าถ้าตนเองเลือกที่จะจู่โจม เขาต้องจัดการมู่เฉินให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด มิฉะนั้นหากมู่เฉินหลบหนีไปได้ละก็ ชั่วชีวิตนี้เขาคงหาความสงบสุขไม่ได้

การคุกคามศัตรูที่อันตรายเช่นนี้เพื่อแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าจะคุ้มค่าไหม?

ดวงตาของหานซันสั่นไหวอย่างรวดเร็ว ทั้งจัตุรัสเงียบกริบ ทั้งจงเถิงและมั่วเฟิงหัวใจบีบรัดเพราะพวกเขารู้ว่าการตัดสินใจของหานซันจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันทันที

ความเงียบกินเวลาไปสิบกว่าลมหายใจ จากนั้นหานซันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่จงเถิงและมั่วเฟิงด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะส่ายหัว “แม้ว่าแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าจะหายากยิ่ง แต่ข้าหานซันไม่มีชะตาที่จะได้เพลิดเพลินกับสิ่งนี้ ดังนั้นข้าขอขอบคุณสำหรับข้อเสนอของเจ้า”

แม้ว่าความโลภจะกระตุ้นให้หานซันอยากได้แก่นโลหิตบริสุทธิ์นี้ แต่สุดท้ายสัญชาตญาณของเขาก็ชนะ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร

ใบหน้าของจงเถิงเขียวคล้ำลงทันที

พอมั่วเฟิงได้ยินคำพูดของหานซันก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ใบหน้าที่เย็นชาเป็นนิจอ่อนโยนลงหลายส่วน เขาพยักหน้าให้หานซันเพื่อแสดงความขอบคุณ

“ในเมื่อพี่หานไม่สนใจสิ่งนี้ ข้าก็ขอถอยเช่นกัน พี่มั่วขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องขุ่นเคืองใจ” หลังจากที่ใบหน้าของจงเถิงเขียวคล้ำไปอยู่ชั่วครู่ เขาก็ถอยฉากออกไป

สัมผัสได้ว่าจงเถิงถอนรัศมี หัวใจของมั่วเฟิงก็ผ่อนคลายลง

ตู้ม!

ทว่าจังหวะที่มั่วเฟิงผ่อนคลาย จิตสังหารก็ระเบิดจากดวงตาของจงเถิง เขาโจนตัวออกมาทิ้งภาพมายาขึ้นมามากมาย

“จงเถิง แกกล้ามาก!”

ความโกรธวาบขึ้นในดวงตาของมั่วเฟิงพลางก้าวออกมา ร่างของเขากลายเป็นภาพซ้อนชกหมัดออกไป ทันใดนั้นหงส์ฟ้าก็แผดเสียงร้อง เปลวไฟสีแดงเพลิงกวาดออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ทำลายภาพมายาของจงเถิงด้วยหมัดเดียว

ทันทีที่ภาพมายาแตกออกก็บีบให้จงเถิงต้องปรากฏตัว เขาพลิกฝ่ามือตบกลับไป เกลียวแสงสีทองพวยพุ่งด้วยความคมชัด ราวกับใบมีดนับหมื่นแสนพุ่งออกมา ประหนึ่งต้องการฉีกสวรรค์และโลกออกจากกัน

ปัง!

หมัดและฝ่ามือซัดกันเต็มเหนี่ยว คลื่นหลิงกระจายออกไป ทำให้มิติเกิดความผันผวน ทั้งสองคนตัวกระตุก ก่อนที่ภาพมายาของจงเถิงจะถูกทำลายกระจายกลายเป็นแสงสีทอง

มั่วเฟิงที่เหวี่ยงหมัดเข้าใส่จงเถิงก็ต้องดวงตาหดเกร็ง เพราะเขาเห็นแสงสีทองเจาะผ่านมิติในลักษณะที่ผิดปกติ ทะลุผ่านมิติเบื้องหน้าเขาและไปปรากฏที่เบื้องหลัง

“วิทยายุทธระดับเสินซู่กระเรียนปีกทองคำ มิติเคลื่อน?!”

ใบหน้ามั่วเฟิงมืดครึ้มลง ขณะที่ชกหมัดออกไปอีกครั้งโดยไม่ลังเล คลื่นน่าสะพรึงกลัวจากพายุหมัด ทำให้เกิดรอยแตกในมิติ ซัดใส่แสงสีทองที่ด้านหลังทันที

ฟิ้ว!

ทว่าแสงสีทองไม่สนใจการโจมตีของมั่วเฟิง ริ้วแสงแหลมคมพุ่งทะลุผ่านมิติตรงไปยังมู่เฉิน

ประกายแสงคมกล้าที่ทะลุทะลวงก็คือขนนกสีทองเข้ม ดูราวกับกระบี่เทพที่มีรังสีครอบงำอยู่

นั่นคือขนนกจากมหาเทพอสูรกระเรียนปีกทองคำที่ผ่านการปรับแต่งจากเผ่ากระเรียนฟ้า ความคมกริบเทียบได้กับอาวุธพบสรรค์สวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนเจ็ดทั่วไปก็จะถูกแทงทะลุ

เจตนาของจงเถิงชัดเจนมาก แม้ว่าเขาจะต้องเสี่ยงได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตีของมั่วเฟิง เขาก็ต้องฆ่ามู่เฉินที่นี่ให้ได้

เมื่อขนนกทะลุมิติ ใบหน้าของมั่วเฟิงก็น่าเกลียดยิ่ง นั่นเป็นเพราะเขาสามารถสกัดจงเถิงไว้ได้ แต่ไม่สามารถหยุดขนนกที่บินเข้าไปหามู่เฉินได้แล้ว

ด้วยสภาพตอนนี้ของมู่เฉิน เขาอาจถูกฆ่าตายทันทีที่ขนนกสัมผัสตัว

ความผิดพลาดนี้ทำให้มั่วเฟิงเดือดดาลในใจ ความโกรธแค้นและเจตนาฆ่าพวยพุ่งในใจ ดูท่าไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาจะปล่อยจงเถิงไปไม่ได้แล้ว

ฮึ่ม!

แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางของขนนกได้ ดังนั้นแสงสีทองจึงปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน ภายใต้ใบหน้าซีดเผือดของพรรคพวก ขนนกเล็งไปทางด้านหลังศีรษะหมายจะยิงทะลุเข้าไป

ม้ามืดคนนี้กำลังจะตายที่นี่เหรอ?

เมื่อมองฉากนี้ผู้คนก็ต้องถอนหายใจด้วยความสงสาร

รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจงเถิง ไม่ว่าแกจะมีพรสวรรค์แค่ไหน วันนี้ก็ต้องตายที่นี่!

ทว่ารอยยิ้มที่เพิ่งผุดออกมาก็ชะงักค้าง!

นั่นเป็นเพราะขณะที่ขนนกกำลังจะทะลุผ่านหัว มู่เฉินที่นิ่งมาตลอดก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่งคว้าขนนกไว้ ขณะที่แสงสีม่วงทองกะพริบบนมือ

ขนนกที่สามารถทะลุผ่านแนวป้องกันของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ หยุดลงโดยมือเรียวบางของมู่เฉิน!

สีหน้าของจงเถิงค่อยๆ แข็งทื่อลง

เจ้าของมือก็เปิดตาที่วูบไหวด้วยแสงสีทองในเวลานี้ เขาค่อยๆ หันกลับมามองด้วยสายตาไม่แยแส