บทที่ 1379 สงบสุขได้ก็แปลกแล้ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1379 สงบสุขได้ก็แปลกแล้ว
เรื่องนี้น่ะเหรอ! อิ๋งลั่วหวนเม้มปาก พูดอย่างซื่อสัตย์เลย การแต่งงานของลูกชายลูกสาวคือเรื่องที่แม่ทุกคนว้าวุ่นใจที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบ้านไหนก็เหมือนกันหมด อิ๋งลั่วหวนจัดระเบียบความคิดเกี่ยวกับหนิวโหย่วเต๋ออย่างละเอียด พบว่าการได้ลูกเขยแบบนี้มา ไม่ว่าจะมองจากจุดไหนก็ล้วนเหมาะสม ยิ่งคิดก็ยิ่งพบว่าเหมาะสมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เพียงแต่เรื่องชิงตัวนางระบำทำให้นางรำคาญใจนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกับการถูกบ้านอื่นคว้าไปแล้ววุ่นวายใจ เรื่องเล็กแค่นั้นก็ไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย ตระกูลที่ใหญ่ขนาดนี้ยังไม่ถึงคราวที่จะยอมให้คนเต้นกินรำกินได้เงยหน้าอ้าปากหรอก จะเป็นหรือจะตายก็แค่สั่งคำเดียวเท่านั้น จัดการง่ายมาก

เรื่องบางเรื่องตอนยังไม่คิดถึงก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอได้ไปก่อนก็เกิดความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ นั่นคือของของตัวเอง

“ลูกสาวข้าจะแต่งงานกับใครซี้ซั้วได้ยังไง ข้าต้องเห็นหน้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าข่าวลือผิดพลาดขึ้นมาล่ะ ถ้าปากเบี้ยวตาเหล่ขึ้นมาจะทำยังไง?” อิ๋งลั่วหวนปากแข็ง แต่น้ำเสียงกลับอ่อนลงแล้ว “หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย ให้แต่งงานกับคนของตระกูลอิ๋งจะเหมาะสมเหรอ?”

อิ๋งจิ่วกวงตอบว่า “ถ้าเป็นยามปกติก็ไม่เหมาะเลยจริงๆ ไม่มีเหตุผลที่ลูกสาวหลานสาวของตระกูลอิ๋งจะเป็นฝ่ายไปง้อ ถ้ารู้ไปถึงไหนก็อับอายถึงนั่น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว หรูอี้ได้รับความอับอายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต่อที่หน่วยองครักษ์ซ้าย มีแต่ต้องแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อถึงจะเหมาะสมที่สุด ทำแบบนี้เพื่อชีวิตการแต่งงานของหลานสาวตัวเอง ข้าจะได้เอ่ยปากเรื่องนี้กับฝ่าบาทได้สะดวก เมื่อแต่งงานกับผู้หญิงตระกูลอิ๋งแล้ว จะให้อยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายอีกก็จะไม่เหมาะสม ข้าจะได้ถือโอกาสดึงตัวเขาเข้ามาได้สะดวก ชีวิตการแต่งงานของหลานเป็นเรื่องใหญ่ คาดว่าฝ่าบาทคงไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทุกอย่างราบรื่นตามขั้นตอน ไม่มีอะไรไม่เหมาสม”

อิ๋งลั่วหวนประกบฝ่ามือแล้วประสานนิ้วทั้งสิบไว้ตรงหน้าอก รู้สึกค่อนข้างหวั่นไหวแล้วจ คิดไปคิดมาก็พบว่าเหมือนจะเป็นอย่างนี้

พอตัดสินใจได้แล้ว นางก็วางมือลง แล้วหันตัวเดินออกไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

อ๋องสวรรค์อิ๋งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วตะโกนบอกว่า “นางหนู เจ้ามีความคิดเห็นยังไงก็บอกมาสักคำสิ!”

อิ๋งลั่วหวนที่เร่งฝีเท้าเดินพูดทิ้งท้ายโดยไม่หันกลับมา “ข้าจะไปติดต่อกับจ้านผิงสักหน่อย ให้เขาสุภาพเกรงใจเวลาเจอหนิวโหย่วเต๋อ อย่าทำให้ความสัมพันธ์แข็งทื่อ หลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกคนหาทางลงไม่ได้ ตอนหลังเจอกันจะได้ไม่อึดอัด”

อ๋องสวรรค์อิ๋งส่ายหน้าอย่างพูดไม่ออก แบบนี้เท่ากับตอบตกลงแล้ว

จ้านผิง บิดาของจ้านหรูอี้ สามีของอิ๋งลั่วหวน ลูกเขยของอ๋องสวรรค์อิ๋ง และเป็นลูกน้องคนสนิทของอ๋องสวรรค์อิ๋งเช่นกัน และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ครอบครัวสามารถเดินไปด้วยกันได้

จ้านผิงติดตามโป๋เยวรองแม่ทัพภาคกองมังกรดำมาที่ดาวหกนิ้วด้วยกัน ถึงแม้จ้านผิงจะมีฐานะพอสมควร แต่เมื่ออยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้าย ก็ยังไม่ถึงคราวที่เขาจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงอะไรได้

คนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากท้องฟ้า เหยียบลงนอกประตูใหญ่ของสำนักหกนิ้ว สายตาจ้องไปบนเสาธงในค่ายกลป้องกันพร้อมกัน จ้องมองคนที่โดนแขวนไว้บนนั้นเสาธงนั้น

จ้านหรูอี้โดนแขวนอยู่บนเสาธงเกินหนึ่งวันแล้ว นั่นก็หมายความว่าร้องไห้อย่างเศร้าโศกมาเกินหนึ่งวันแล้วเช่นกัน เสียงแหบพร่าไปหมดแล้ว น้ำตาแห้งเหือดหมดแล้ว แต่กลับยังร้องไห้แบบไร้น้ำตาอยู่บนเสาธง

จ้านผิงเป็นคนที่นิสัยสุขุมอ่อนโยน หน้าตาสุภาพเรียบร้อย คาดว่านี่คงเป็นสาเหตุที่อ๋องสวรรค์อิ๋งวางใจยกลูกสาวตัวเองให้แต่งงานกับเขา จะได้ไม่ต้องกังวลว่าลูกสาวจะถูกรังแก แต่เมื่อเห็นภาพนี้ของลูกสาวตัวเอง สีหน้าของเขาก็ยังทำให้คนตกใจอยู่บ้าง โกรธจนหน้าเขียว ในดวงตาฉายแววดุร้ายทันที เกิดความคิดอยากจะฆ่าคนแล้วจริงๆ

ตั้งแต่เล็กจนโต ลูกสาวที่แม้แต่ตัวเองก็ยังทำใจแตะต้องไม่ลงแม้แต่ปลายนิ้ว แต่ตอนนี้โดนทรมานจนยับเยินขนาดนี้ ตัวเองแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าผู้หญิงที่ผมม้วนพันกันยุ่งเหยิง ใบหน้าฟกช้ำดำเขียวที่โดนแขวนอยู่บนนั้นคือลูกสาวแสนสวยของตัวเอง

ลูกน้องสองคนของเขาที่ติดตามมาด้วยก็มีสีหน้าโกรธเคืองเช่นกัน รู้ว่าคุณหนูใหญ่เคราะห์ร้าย แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะอนาถขนาดนี้!

ถึงแม้อาศัยจ้านผิงคนเดียวจะสามารถกำจัดทิ้งทั้งธงพยัคฆ์ดำได้ แต่ในความจริงนั้นทำให้จนใจมาก เขายังไม่มีสิทธิ์กำเริบเสิบสานที่หน่วยองครักษ์ซ้าย ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้โป๋เยวพาเขามาหรอก เขาเข้าไม่ได้แม้แต่ประตูของธงพยัคฆ์ดำด้วยซ้ำ เขาไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนกฎระเบียบ แม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋งพ่อตาของเขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน!

ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาต้องเก็บสำรวมสีหน้าโกรธแค้น นั่นก็คือเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ เขาได้รับข้อความจากฮูหยินอิ๋งลั่วหวน ข้อความนี้ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากสาเหตุบางอย่าง ลูกหลานของตระกูลผู้มีอำนาจไม่อาจสืบทอดทายาทมากกว่านี้ได้แล้ว เขามีลูกสาวเพียงคนเดียว นี่เป็นการนำลูกสาวคนเดียวของตัวเองมาเป็นหมากซื้อใจคน แต่นี่คือการตัดสินใจของอ๋องสวรรค์อิ๋ง เขาไม่มีทางคัดค้านได้ ทำได้เพียงยอมรับมัน

เมื่อสังเกตเห็นว่าโป๋เยวที่อยู่ข้างๆ กำลังสอดแนมปฏิกิริยาของตัวเองอยู่ จ้านผิงก็ถอนหายใจแล้วสงบสติอารมณ์ ย้ายสายตาออกจากเสาธง จ้องมองคนที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูใหญ่ โดยเฉพาะเหมียวอี้ที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงกลาง

จำเป็นต้องไว้หน้ารองแม่ทัพภาค ทั้งยังเป็นผู้บังคับบัญชาของตัวเองด้วย เหมียวอี้ย่อมต้องนำคนมาต้อนรับด้วยตัวเองอยู่แล้ว

“ข้าน้อยคารวะรองแม่ทัพภาคโป๋!” เหมียวอี้นำคนก้าวขึ้นมาทำความเคารพ ส่วนคนอื่นๆ ที่ตัวเองไม่รู้จัก เหมียวอี้ก็ยังกุมหมัดคารวะตามมารยาทในนามของ ‘เจ้าบ้าน’

ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา พวกนางมองไปที่โป๋เยวด้วยแววตาที่บอกไม่ถูกว่าสื่อความรู้สึกอย่างไร แต่โป๋เยวกลับมีท่าทางจริงจัง

“อืม!” โป๋เยวพยักหน้า ตอนนี้ยังไม่ได้แนะนำจ้านผิงเช่นกัน ไม่สะดวกจะแนะนำเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ถ้าข่าวหลุดไปว่าคนของตระกูลอิ๋งสามารถเข้าออกหน่วยองครักษ์ซ้ายได้ตามใจชอบก็จะไม่น่าฟังเท่าไร จะทำให้พวกรู้น้องรู้สึกเคลือบแคลงใจได้ง่าย

ด้วยการนำทางของพวกเหมียวอี้ คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในค่ายกลป้องกัน เข้ามาในจวนที่พักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่แล้ว

พอเข้ามาถึงโถงหลัก โป๋เยวก็ยกมือห้าม บอกใบ้ว่าไม่ต้องรีบนำน้ำชามาวาง “ให้คนอื่นๆ ถอยออกไปก่อน”

เหมียวอี้งงทันที จากนั้นก็หันกลับมาให้สัญญาณเล็กน้อย บอกให้เหยียนซิวที่คุ้มกันอยู่ข้างกายถอยออกไปพร้อมคนอื่นๆ

จ้านผิงเองก็โบกมือ บอกให้ผู้ติดตามทั้งสองออกไปก่อนเช่นกัน เหมียวอี้สังเกตดูฉากนี้แล้ว จ้านผิงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ควรจะปล่อยสาวน้อยลงมาได้แล้วรึยัง?”

สาวน้อย? เหมียวอี้ถามอย่างสงสัย “รองแม่ทัพภาคโป๋ ท่านนี้คือ?”

ในโถงเหลือเพียงพวกเขาสามคน โป๋เยวยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ท่านนี้คือบิดาของจ้านหรูอี้ จ้านผิง ท่านโหวจ้านหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์”

“อ้อ!” เหมียวอี้อึ้งอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าบิดาของจ้านหรูอี้จะมาที่นี่ด้วยตัวเอง จึงกุมหมัดคารวะ “ที่แท้ท่านโหวจ้านก็ให้เกียรติมาเยือนเอง ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี”

“พอแล้ว! ปล่อยคนลงมาก่อนเถอะ” โป๋เยวกล่าว

เหมียวอี้จึงบอกว่า “รองแม่ทัพภาคโป๋ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากปล่อยนะ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรจากสุนัขบ้า เริ่มตั้งแต่ที่แดนอเวจี นางก็กัดไม่ปล่อยมาตลอด เป็นนางที่เป็นฝ่ายมาท้าทายก่อนตลอด ตามตั้งแต่แดนอเวจีมาถึงจวนแม่ทัพภาคตงหัว แล้วจากจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็ตามมาไปที่กองมังกรดำ แบบนี้ใช่เรื่องเหรอ ตอนนี้ถ้าข้าปล่อยนาง ไม่แน่ว่านางอาจจะมาสู้ตายกับข้าทันทีเลยก็ได้! จะให้ข้านั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอกมั้ง!”

นี่เป็นการตำหนิจ้านหรูอี้ต่อหน้าจ้านผิง แต่จ้านผิงยังทำสีหน้าเรียบเฉย อดทนไว้!

“เจ้าตัวโดนเจ้าทรมานจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว ปล่อยลงมาก็ไม่มีแรงลงมือหรอก” โป๋เยวกล่าว

เหมียวอี้ยังเถียงต่อว่า “ไม่ช้าก็เร็วที่พลังนางจะฟื้นฟูกลับมา ข้าน้อยไม่คิดว่านางจะยอมหยุดแค่นี้ ถ้านางจองเวรไม่เลิกแบบนี้ต่อไป แล้วเมื่อไรจะจบสักทีล่ะ! ข้ากลัวภูมิหลังของนาง เลยอดทนมาตลอด แต่ถ้านางก็ยังพาลหาเรื่องแบบนี้อีก ในภายหลังข้าน้อยก็จัดการได้ยากมากแล้วจริงๆ” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ต่อไปนี้ข้าจะไม่เกรงใจอีกแล้วนะ

โป๋เยวคิดในใจว่า จ้านหรูอี้ยังจะมีหน้าอยู่ที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินต่อไปได้อีกเหรอ?

จ้านผิงบอกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง หลังจากกลับไปครั้งนี้ ข้าจะอบรมสั่งสอนนางให้มากขึ้น” ปล่อยให้ลูกสาวโดนแขวนต่อไป แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในใจเขาก็ทรมาน มิหนำซ้ำเขาก็รู้ดีว่าลูกสาวตัวเองพาลหาเรื่องก่อนจริงๆ เขาไม่กล้าคล้อยตามวิธีการที่ฮูหยินอบรมสั่งสอนลูกสาวจริงๆ แต่ผลของการแต่งงานกับคนที่ฐานะไม่เหมาะสมกันก็คือเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องในครอบครัว คนอื่นมีอนุภรรยาได้หลายคน แต่เขากลับแตะต้องผู้หญิงคนอื่นไม่ได้อีก จากจุดนี้ก็สามารถมองเห็นภาพนวดได้แล้ว

“อย่าให้วุ่นวายอีกเลย ปล่อยคนลงมาเถอะ” โป๋เยวกล่าว

“ก็ได้ขอรับ!” เหมียวอี้ทำท่าเหมือนไม่เต็มใจ แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาออกคำสั่ง

ผ่านไปไม่นาน “ฮือๆ…” เสียงร้องไห้ก็ใกล้เข้ามา แต่ไม่เหมือนเสียงคนร้องไห้แล้ว บอกไม่ถูกว่าเป็นเสียงอะไร หอแหบพร่าจนร้องเละเทะไปหมด

จ้านหรูอี้ถูกชวีหย่าหงประคองเข้ามา ไม่ต่างอะไรกับการอุ้มเข้ามา ดวงตาทั้งสองข้างร้องไห้จนแดงก่ำบวมเปล่งจนเหลือแค่ขีดเดียว

โป๋เยวเห็นแล้วปวดประสาท เหลือบมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง หญงิสาวที่สวยมากคนหนึ่งโดนทรมานจนกลายสภาพเป็นแบบนี้แล้ว

จ้านผิงรีบก้าวขึ้นไปรับลูกสาวของตัวเอง หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบแล้ว ก็ลงมือคลายผนึกบนตัวจ้านหรูอี้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ จ้านหรูอี้ยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น ทั้งยังเศร้าโศกจนใช้ฝ่ามือตบหน้าผากตัวเองหวังจะฆ่าตัวตายด้วย แต่โชคดีที่จ้านผิงมือไว ห้ามไว้ได้ทัน

เขาทนมองลูกสาวร้องไห้ต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงใช้ฝ่ามือสับที่หลังคอจ้านหรูอี้หนึ่งที ทำให้จ้านหรูอี้สลบไปเสียเลย นางล้มลงในอ้อมกอดของเขา

จ้านหรูอี้ที่ร้องไห้มาหนึ่งวันกว่า ในที่สุดก็หยุดร้องแล้ว

เขาสามารถคลายผนึกวรยุทธ์บนตัวลูกสาวได้ แต่อารมณ์เศร้าโศกในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่รุกล้ำอยู่บนร่างกายจ้านหรูอี้นั้นรุนแรงเกินไป เหมียวอี้ลงมือหนักเกินไป เป็น ‘ความเศร้าโศก’ ที่กลั่นไว้จำนวนหนึ่งขวด เพียงพอที่จะทำให้จ้านหรูอี้เศร้าโศกจนตายได้

“รองแม่ทัพภาคโป๋ อารมณ์เศร้าโศกบนตัวสาวน้อย เกรงว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนจะกำจัดให้หมดได้ยาก ข้าจึงอยากจะลาหยุดให้สาวน้อยหลายๆ เดือนหน่อย รอให้ร่างกายนางพักฟื้นแล้วค่อยกลับมารายงานตัว ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?” จ้านผิงหันกลับมาถาม

โป๋เยวพยักหน้า จ้านผิงไม่พูดพร่ำทำเพลง เก็บจ้านหรูอี้เข้าในกระเป๋าสัตว์ แต่กล่าวอำลาตรงนั้น ที่นี่ไม่มีอะไรให้น่าอาลัยอาวรณ์

ถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เหมียวอี้กับโป๋เยวมาส่งพวกจ้านผิงออกนอกประตูใหญ่ด้วยตัวเอง

พอออกจากประตูใหญ่ จ้านผิงก็หันขวับ จ้องมองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกล้ำลึกแวบหนึ่ง ในแววตาล้ำลึกมาก ทำให้คนรู้สึกสยดสยอง

เหมียวอี้ไม่ได้รู้สึกกลัว กุมหมัดคารวะน้อมส่ง จ้านผิงไม่แยแสไม่สะทกสะท้าน หันหน้าเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

โป๋เยวที่มองส่งกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ครั้งนี้เจ้าเล่นแรงเกินไปแล้ว ครั้งนี้คงจะสมปรารถนาเจ้า จ้านหรูอี้คงไม่กลับมาที่กองมังกรดำอีกแล้ว”

นี่แหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ! เหมียวอี้เองก็ไม่ได้พูดโกหก ตอบตรงๆ เลยว่า “รองแม่ทัพภาคโป๋ ข้าน้อยโดนกดดันจนหมดหนทางแล้วจริงๆ ระหว่างข้ากับนางจะต้องมีสักคนที่ไป ไม่อย่างนั้นสักวันก็คงได้ตายกันไปข้าง ข้าน้อยไม่มีความสามารถที่จะย้ายไป ในภายหลังเกรงว่าจะต้องติดตามนายท่านในระยะยาว เช่นนั้นก็ทำได้เพียงให้นางออกไปจากที่นี่”

“เหอะๆ!” โป๋เยวหัวเราะเบาๆ ต้องการจะติดตามเขาในระยะยาวเหรอ เขาชอบฟังคำพูดนี้ เขาวางมือสองข้างบนท้อง ร้องไอ๊หยา เอนกายไปข้างหลังเล็กน้อยมองท้องฟ้า ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วบอกว่า “ไปเถอะ ไปได้ก็ดี สงบสุขแล้ว!”

สงบสุขเหรอ? สงบสุขได้ก็แปลกแล้ว

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหมียวอี้กำลังฝึกฝนอย่างสงบใจ แต่จู่ๆ หยางเจาชิงก็มารายงานว่า มารดาของจ้านหรูอี้มแล้ว บอกว่าต้องการพบผู้บัญชาการใหญ่หนิว

เหมียวอี้ได้ยินแล้วหยุดใช้วิชา เปิดประตูเดินออกมา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “มารดาของจ้านหรูอี้เหรอ? ลูกสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง? นางมาหาข้าทำไม? อยากจะล้างแค้นแทนลูกสาวเหรอ?”

หยางเจาชิงส่ายหน้า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ คงไม่ถึงขั้นล้างแค้นกระมัง ต่อให้ตระกูลอิ๋งจะกล้าหาญกว่านี้ แต่ก็คงไม่กล้ามาก่อเรื่องล้างแค้นที่กองทัพองครักษ์”

“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นมารดาของจ้านหรูอี้?” เหมียวอี้ถาม

“ไม่สามารถยืนยันได้ ทหารยามแค่ส่งข่าวมา เห็นแผ่นหยกคำสั่งขุนนางแล้ว คาดว่าคงปลอมไม่ได้ ตอนนี้นางถูกดักไว้ที่ท้องฟ้าด้านนอกขอรับ” หยางเจาชิงตอบ

เหมียวอี้เอามือลูบคางครุ่นคิด หลังจากแววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก็บอกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป บอกแค่ว่าข้ายุ่งมาก ใช่ว่าอยาจะพบแล้วพบได้ ไม่มีทางยืนยันตัวตนของนางได้ ไม่พบ!”