ตอนที่ 430 กลับเข้าเมือง โดย Ink Stone_Fantasy
พอได้ยินเสียงครวญครางของเฮยเจียวแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์เช่นกัน แต่เขามีข้อผูกมัดมากเกินไป ไม่เหมือนกับเฮยเจียวที่สามารถอยู่อย่างสันโดษฝึกฝนจิตบำเพ็ญตนในป่าได้อย่างตั้งใจ หรือบางทีคงจะเป็นความแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์กระมัง
เมื่อมองดูหมอกควันที่ค่อยๆ ลอยคลุ้งไม่หยุด เยี่ยเทียนจึงรีบเดินเร็วขึ้น ขณะที่เดินมาถึงปากทางหุบเขาแล้วหันกลับไปมองนั้น บึงน้ำมังกรดำได้หายไปท่ามกลางอากาศพิษแล้ว เหลือเพียงเสียงร้องของเฮยเจียวที่ดังออกมาไม่หยุด
“เหล่าหู หืม? เกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ หันกลับไปมอง แต่กลับไม่เห็นร่างเงาของหูหงเต๋อ เมื่อลองหาอย่างละเอียดจึงเห็นหลังของเขาพิงอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ล้มคะเมนอยู่ริมป่าเก่าแก่ หลับตาสนิท ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
“ก็บอกแล้วว่าของสิ่งนี้แตะต้องไม่ได้!”
เยี่ยเทียนรีบเดินเข้าไปที่ข้างกายของหูหงเต๋อ ขณะที่มองดูหินที่เหมือนหยกดำอยู่ตรงใต้เท้าของเขานั้น ในใจจึงเข้าใจขึ้นมาทันที อีตาดื้อคนนี้ไม่ฟังคำพูดของตัวเองแล้วจึงใช้มือไปสัมผัสวัตถุนี้
จากวรยุทธ์ของเยี่ยเทียนในวันนี้ ตอนที่เขาสัมผัสกับหินนี้ก็เกือบจะแข็งตาย แต่เวลานี้หูหงเต๋อกลับแย่กว่า เส้นผมของเขาแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง ริมฝีปากถูกแช่แข็งกลายเป็นสีม่วง และทั้งตัวก็ชักกระตุกไม่หยุด
เมื่อเห็นหูหงเต๋อยังพอขยับได้ เยี่ยเทียนจึงโล่งอก แล้วจึงรีบประคองร่างกายของเขาให้นั่งลง พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งยันหลังของเขาเอาไว้ เพื่อนำพลังชี่แท้ที่บริสุทธิ์ลึกล้ำส่งผ่านไปยังภายในร่างกายของเขา เพื่อขจัดไอเย็นออกไป
“บัดซบ เจ้าของสิ่งนี้สามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นจริงๆ?!”
หลังจากพลังชี่แท้เข้าไปในร่างกายของหูหงเต๋อแล้ว พบว่าเลือดลมของเขาโคจรช้ามาก ระหว่างเส้นลมปราณมีแต่ไอเย็นเต็มไปหมดทุกจุด ถ้าหากตัวเองไม่รีบช่วยล่ะก็ เกรงว่าผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง หูหงเต๋อคงจะต้องแข็งตายทั้งเป็นแน่นอน
เมื่อรวบรวมสติให้มั่น เยี่ยเทียนจึงสามารถคลายไอเย็นในเส้นลมปราณของหูหงเต๋อได้ทั้งหมด
ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดขณะที่เยี่ยเทียนปล่อยพลังเพื่อขจัดไอเย็น หลังจากที่พลังชี่แท้ของเขาสัมผัสกับไอเย็นแล้ว จู่ๆ ไอเย็นนั้นกลับกลายเป็นพลังวิเศษเล็กน้อย แล้วผสมผสานเข้ากับพลังชี่แท้ของเขาได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ยังมีพลังวิเศษบางส่วนที่น้อยมาก ผสมเข้ากับพลังชี่แท้ที่มีอยู่ในตัวของหูหงเต๋ออีกด้วย ทำให้ร่างกายของเขาที่เกือบจะถูกแช่แข็ง ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาทีละนิด
หลังจากผ่านไปนานครึ่งค่อนวัน เยี่ยเทียนจึงลุกขึ้น แล้วค้นหาแผ่นโสมขนาดเท่าเล็บนิ้วโป้งจากกระเป๋าเป้ที่โยนทิ้งอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงยัดใส่เข้าไปในปากของหูหงเต๋อ แผ่นโสมนี้คือส่วนที่เหลือของเมิ่งตาบอดที่เอาไว้ใช้ยามใกล้ตาย
สิ่งเยี่ยเทียนพอทำได้ก็ทำหมดแล้ว เมื่อเขาขจัดไอเย็นอออกจากร่างกายของหูหงเต๋อไปได้เจ็ดถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว บวกกับโสมป่าที่บำรุงเลือดลมเข้าไปอีก เชื่อว่าหูหงเต๋อไม่น่าจะเป็นอะไรมาก
“เยี่ยเทียน นี่…นี่มันคือของบ้าอะไร?”
หลังจากผ่านไปสี่ถึงห้านาที ในที่สุดหูหงเต๋อก็ลืมตาขึ้นมา หลังจากเห็นหินก้อนเล็กสีดำที่ตกอยู่บนพื้น ดวงตาของเขาจึงเผยอารมณ์ของความหวาดกลัวออกมาโดยไม่รู้ตัว
ถึงแม้ร่างกายจะถูกไอเย็นเกาะกิน แต่สติสัมปชัญญะของหูหงเต๋อยังตื่นอยู่ตลอดเวลา
เขาก็เคยพยายามคลายไอเย็นนั้นแล้ว เพียงแต่พลังชี่แท้ที่เขาฝึกมานับสิบปีอย่างยากลำบากกลับเป็นเหมือนน้ำน้อยแพ้ไฟยามที่อยู่ต่อหน้าไอเย็นเหล่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนช่วยไว้ทันเวลา ชีวิตของหูหงเต๋อคงจะจบลงอยู่ตรงนี้แล้ว
“เหล่าหู ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าแตะต้องมัน?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงฝืนยิ้มพลางพูด “คุณลองโคจรพลังชี่แท้ดูก่อน ดูสิว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?”
ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสไอเย็นครั้งแรกหรือตอนที่ช่วยหูหงเต๋อขจัดไอเย็นเมื่อครู่ เยี่ยเทียนได้ดูดซับพลังวิเศษไปไม่น้อย เขาสามารถรับรู้ได้ ว่ามีพลังวิเศษบางส่วนล้นออกมาและเข้าไปอยู่ภายในร่างกายของหูหงเต๋อ จึงคิดว่าเขาก็ได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อย
“หืม? โรคที่รักษายากภายในร่างกายของผมหายไปหมดแล้ว!”
เมื่อลองตรวจสอบสภาพของร่างกายแล้ว ใบหน้าของหูหงเต๋อจึงเผยสีหน้าตื้นเต้นระคนดีใจออกมา เขาฝึกมวยภายนอกหักโหมมากเกินไป จึงหลงเหลือโรคภัยแฝงเอาไว้ตอนเป็นหนุ่ม และโรคพวกนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงได้แต่ค่อยๆ รักษา
แต่ตอนที่ลองฝึกเดินกำลังภายในเมื่อครู่ หูหงเต๋อกลับพบว่าโรคที่ยากจะรักษาตรงปอดและหน้าอกดีมากกว่าครึ่ง รู้สึกว่าสภาพของร่างกายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและสมองดูเหมือนจะชัดเจนมากขึ้น
“เยี่ยเทียน นี่มันคืออะไรกันแน่?” ครั้งนี้ตอนที่มองไปที่ก้อนหินเล็กนั่น หูหงเต๋อกลับรู้สึกประหลาดใจครึ่งหนึ่ง
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูด “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เฮยเจียวให้ผมมา เหมือนจะมีส่วนช่วยในการฝึกวรยุทธ์ แต่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถรับได้”
เยี่ยเทียนได้รับของสิ่งนี้ได้ไม่นาน ตอนนี้เขารู้เพียงว่าหากมีใครแตะต้องมันจะปล่อยไอเย็นสูงสุดออกมา แต่ถ้าใช้เสื้อผ้าห่อเอาไว้ ก็จะเหมือนกับก้อนหินธรรมดาไม่มีความผิดปกติอะไร
“ของที่สัตว์ประหลาดให้มา คงมีแต่คนประหลาดอย่างเธอที่รับได้”
ถึงแม้หูหงเต๋ออยากได้ก้อนหินสีดำที่อยู่ตรงหน้ามาก แต่เขารู้ดีว่าเจ้าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งล้ำค่ายามอยู่ในมือของเยี่ยเทียน แต่ถ้าอยู่กับเขา มันก็ไม่ต่างจากยันต์ที่เร่งเอาชีวิตดีๆ นี่เอง
เยี่ยเทียนเก็บก้อนหินสีดำนั้นอย่างระมัดระวังแล้วจึงเอ่ยพูด “ตกลง เหล่าหู พวกเราอยู่ในภูเขามาหนึ่งอาทิตย์กว่าแล้ว วันนี้ออกจากภูเขากันเถอะ!”
หูหงเต๋อเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วจึงพูด “ได้ มองดูอากาศน่าจะมีหิมะตกอีกครั้ง ถ้าไม่ออกไปอีกเกรงว่าจะถูกขังอยู่ในภูเขาแน่นอน”
ภูเขาที่ถูกปิดไปด้วยหิมะนั้น ระดับความลึกของหิมะมีมากถึงหนึ่งเมตรกว่า ต่อให้เป็นหูหงเต๋อก็ไม่กล้าเข้าออกภูเขาที่มีสภาพแวดล้อมอย่างนั้นเหมือนกัน
จากนั้นเยี่ยเทียนจึงหันหน้ากลับมา แล้วตะโกนเสียงดังไปที่หุบเขา “เฮยเจียว พวกเราไปแล้วนะ…ไปแล้วนะ…ไปแล้วนะ!”
เสียงสะท้อนของหุบเขาผสมกับแผดเสียงก้องเหมือนมังกรดังกังวานสดใส สะท้อนกลับไปในป่าไม่หยุด
หลังจากรอให้ร่างเงาของเยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อหายเข้าไปในป่าแล้ว ร่างใหญ่มหึมาก็โผล่ออกมาจากอากาศพิษ จ้องมองอยู่นอกหุบเขาอยู่นาน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความเงียบเหงาอ้างว้างเดียวดายเพียงใด
ตอนที่ทั้งสองคนเข้าไปในภูเขาไม่ได้พกของไปมากมาย แต่ตอนที่ออกมาจากภูเขากลับมีถุงใหญ่สองสามใบเพิ่มเข้ามา ทั้งสองคนต่างก็พักที่กระท่อมในภูเขาหนึ่งวัน แล้วจึงกลับไปที่บ้านที่อยู่ใกล้สถานีป่าไม้ของหูหงเต๋อ
เดิมทีเยี่ยเทียนอยากจะขุดโสมป่าหกใบต้นนั้นออกมา แต่ให้ตายอย่างไรหูหงเต๋อก็ไม่ยอม เขาบอกว่าเยี่ยเทียนได้โสมไปสองสามต้นแล้ว ถ้าไม่มีเขานำทาง เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
หลังจากพักที่บ้านของหูหงเต๋อหนึ่งวัน ทั้งสองคนก็จัดเก็บข้าวของแล้วออกมาถึงตัวเมืองฉางไป๋ ซึ่งอวี๋ชิงหย่ากับสาว ๆได้มารอที่ประตูตั้งแต่เช้าแล้ว
“เยี่ยเทียน คราวหน้าถ้านายจะเข้าไปในภูเขาอีกจะต้องพาฉันไปด้วยนะ!”
สำหรับแฟนที่หนีเข้าไปล่าสัตว์และขุดโสมในภูเขาฉางไป๋ซานแล้วทิ้งตัวเองไว้ในเมือง ทำให้อวี๋ชิงหย่าไม่พอใจมาก ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ต่อหน้าสาวๆ พวกนี้ เธอคงหยิกเอวของเยี่ยเทียนไปนานแล้ว
“หืม เยี่ยเทียน นี่คือะไร? ฉันจำได้ว่านายไม่พกของพวกนี้นะ?”
อวี๋ชิงหย่าเอ่ยปากพูด แต่สายตากลับสังเกตมองเยี่ยเทียน ตอนที่เธอมองเห็นเชือกสีดำเส้นเล็กแขวนอยู่บนคอของเขา เธอจึงยื่นมือไปดึงออกมา
เชือกเส้นนั้นแขวนถุงหนังเล็กๆ และมีของนูนอยู่ข้างใน ซึ่งใส่ก้อนหินสีดำเอาไว้ในนั้น หูหงเต๋อตั้งใจใช้หนังหมูป่าเย็บให้เยี่ยเทียนโดยเฉพาะ
เยี่ยเทียแขวนหินก้อนหินที่ไม่รู้ความเป็นมาของมันไว้ที่หน้าอก และสามารถรับรู้ถึงพลังจักรวาลเป็นสายจากหน้าอกล้นเข้าไปภายในร่างกาย ทำให้เส้นลมปราณของตัวเองชุ่มชื่น กระทั่งเป็นผลดีมากกว่าการนั่งสมาธิฝึกวรยุทธ์หนึ่งวันเสียอีก
“อย่า เธอห้ามแตะต้องของสิ่งนี้!”
สองมือของเยี่ยเทียนกำลังถือกล่องอยู่ และตอนที่เขายังไม่ทันวางลงเพื่อห้ามอวี๋ชิงหย่า เธอก็ได้เปิดถุงหนังนั้นแล้ว จากนั้นจึงหยิบก้อนหินสีดำที่อยู่ข้างในออกมาวางในมือ
“นี่คืออะไรคะ?” สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อตะลึงก็คือ อวี๋ชิงหย่าถือก้อนหินสีดำนั้นกลับไม่มีความผิดปกติใดๆ และกำลังพลิกเล่นไปมา
“ขอฉันดูหน่อย ให้ฉันเล่นก่อนนะ!”
ตามสุภาษิตกล่าว ที่ไหนมีผู้หญิงเยอะที่นั่นก็วุ่นวาย เว่ยหรงหรงกับหูเสี่ยวเซียนก็ล้อมเข้ามา และทุกคนต่างก็สัมผัสก้อนหินนั่น แต่กลับไม่มีปรากฏการณ์ไอเย็นเกาะกินร่างกาย
“หรือเจ้าสิ่งนี้จะมีผลกับคนที่ฝึกวรยุทธ์เท่านั้น?” เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อสบตากัน เพราะทั้งสองคนคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
“โอเค ชิงหย่า นี่คือของเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากภูเขา เอามาให้ฉันเถอะ!”
เยี่ยเทียนกลัวว่าผู้หญิงสองสามคนนี้จะทำก้อนหินตก เขาจึงอดกลั้นกับความหนาวเย็น นำก้อนหินมาอยู่ในมือ แล้วรีบใส่เข้าไปในถุงหนังอย่างรวดเร็ว
เพียงการสัมผัสในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เยี่ยเทียนอดหนาวสั่นไม่ได้ ซึ่งแสดงว่าไอเย็นของก้อนหินนั่นไม่ได้หายไป
“โอเค พวกเราล่ามังกรบินมาสองสามตัว ตอนเย็นจะทำซุปมังกรบินให้พวกเธอทานนะ!”
หูหงเต๋อรีบชูมังกรบินหกตัวที่อยู่ในมือทันที ทำให้ดึงดูดความสนใจของสาวๆ ในทันทีทันใด จึงไม่มีใครสนใจก้อนหินเล็กนั่นอีก
ตอนเย็นหลังจากหูต้าจวินสองสามีภรรยากลับมาแล้ว หูหงเต๋อจึงประกาศเรื่องที่ตัวเองจะไปปักกิ่ง ทุกคนจึงปรึกษากันพักหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจว่าจะเดินทางพรุ่งนี้
แต่ก็ต้องเสียดายหนังเสือของเยี่ยเทียน เพราะเขาไม่สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ ถ้าหากของสิ่งนี้ถูกตรวจเจอในสนามบิน ก็คงจะหนีความผิดในการลักลอบล่าสัตว์หรือซื้อขายสัตว์ป่าที่อยู่ในความคุ้มครองของรัฐไม่พ้น
สุดท้ายอวี๋ชิงหย่ากับเว่ยหรงหรงสองคนจึงนั่งเครื่องบินกลับปักกิ่งด้วยกัน ส่วนเยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อที่ไม่ยอมนั่งเครื่องบินกลับ ต้องไปนั่งรถไฟกลับปักกิ่งแทน ตอนที่กลับไปถึงปักกิ่งนั้น ล่าช้ากว่าอวี๋ชิงหยาทั้งสองคนถึงสามวัน
“เยี่ยเทียน คุณลุงอยู่ในบ้านไหม?”
หลังจากออกมาจากสถานีรถไฟของปักกิ่ง พลางมองดูผู้คนเดินขวักไขว่ แล้วคิดว่าจะได้เจอผู้ใหญ่ที่เขาเคยเจอตอนเป็นเด็ก ทำให้หูหงเต๋อที่มีอายุหกสิบปีรู้สึกดีอกดีใจ
“อยู่บ้าน ผมขอโทรหาศิษย์พี่ก่อน แต่จะไม่พูดว่าคุณมานะ!”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา เพราะโก่วซินเจียได้ออกไปจากแผ่นดินใหญ่เกือบครึ่งศตวรรษ ดังนั้นเพื่อนสนิทญาติพี่น้องต่างก็ล้มหายตายจากไปแล้ว และเชื่อว่าถ้าได้เห็นหูหงเต๋อ เขาจะต้องดีใจมากแน่นอน
“ไป กลับบ้าน ตอนเย็นผมจะให้คุณได้ลองชิมเหล้าเอ้อร์กัวโถวของปักกิ่ง ซึ่งไม่แย่ไปกว่าเหล้าซาวเตาจึของภูเขาฉางไป๋ซานของคุณแน่นอน!” เยี่ยเทียนไม่ได้บอกให้คนที่บ้านมารับ เขาจึงนั่งแท็กซี่พาหูหงเต๋อกลับไปที่บ้านของตัวเองโดยตรง
ตอนที่เพิ่งจะเปิดประตูด้านข้างและเดินเข้ามาในบ้านนั้น เงาสีขาวอันหนึ่งก็โผล่พรวดมาอยู่บนหัวไหล่ของเยี่ยเทียน จากนั้นก็ใช้กรงเล็บหวีผมเยี่ยเทียนอย่างสนิทสนม
“นี่คือเจ้าเฟอร์เร็ตที่คุณพูด?”
หูหงเต๋อที่เดินตามหลังเยี่ยเทียนมองเจ้าขนฟูอย่างแปลกๆ และเพราะเจ้าตัวนี้นี่เองจึงทำให้เยี่ยเทียนต้องยอมทิ้งเสื้อขนมิงค์ที่เขาเตรียมจะให้โก่วซินเจียเอาไว้ที่ตงเป่ย