[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 33 ตัวร้ายที่ไร้ค่า

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

การหลอกลวงเป็นการเสแสร้งอย่างหนึ่ง เรามักจะรู้สึกว่าการพูดโกหกง่ายกว่าการพูดความจริง สามารถกลบเกลื่อนพฤติกรรมของตัวเองได้ไม่ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่คือสิ่งที่ผิด ความจริงก็คือความจริง ต่อให้โกหกได้งดงามแค่ไหนก็ซ่อนความจริงไว้ไม่ได้ บางครั้งการพูดความจริงกลับทำให้ได้รับความเคารพจากผู้อื่น

 

 

“หลังจากนี้ฝ่าบาทวางแผนไว้ว่าจะแบ่งการสอบออกเป็นสองส่วน ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่!”

 

 

“ใช่แล้ว หลังจากที่ฝ่าบาทได้ตัดสินใจแล้วก็ได้ส่งคนมาขอความคิดเห็นจากข้า ข้าไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร เพียงแค่บอกฝ่าบาทว่าข้าแก่มากแล้วราชสำนักไม่จำเป็นต้องสนใจข้า คิดจะทำอย่างไรก็ดีทั้งนั้น ขุนนางคือผู้ที่รับใช้ฝ่าบาทในอนาคต เขาสามารถเลือกตามมาตรฐานของเขาเองได้ นี่เป็นสิทธิที่พระเจ้ามอบให้เขา”

 

 

ชายเฒ่าค่อยๆ จิบชาโสม เพลิดเพลินไปกับรสชาติของโสมเป็นอย่างมาก เขาตอบคำถามของอวิ๋นเยี่ยอย่างสบายๆ ราวกับว่าเขามองเห็นทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่สนใจโลกภายนอกอีกต่อไป แต่ดูจากความกระตือรือร้นในการทำแม่พิมพ์แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

 

“ความยุติธรรมในความคิดของฝ่าบาท ความจริงแล้วมันไม่ยุติธรรมต่อสำนักศึกษาเป็นอย่างมาก ทำไมต้องรองรับลูกศิษย์ที่ความรู้แคบเพียงเพราะว่าสำนักศึกษาทำคะแนนได้ดี ท่านเป็นนักปราชญ์ ข้าแค่ต้องการทราบความคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้จากปากของท่านเอง”

 

 

“สำนักศึกษาของเจ้ามีทรัพยากรด้านการศึกษาครบครัน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียง มีเอกสารพื้นฐานมากมายที่สามารถใช้อ้างอิงได้ ได้ยินมาว่าหนังสือที่อยู่ในหอหนังสือชั้นสูงได้ถูกย้ายมาไว้ที่หอหนังสือสำนักศึกษาทั้งหมด ทั้งดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ ทั้งโหราศาสตร์การแพทย์ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไม่ตกหล่นแม้แต่อย่างเดียว แม้แต่กระดองเต่าเจ้าก็ทำการวิจัยออกมาจนได้ ขอเพียงแค่ลูกศิษย์มีใจอยากจะเรียน ไม่มีปัจจัยภายนอกรบกวน ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับอาหารและเสื้อผ้า ความตั้งใจในการแตกฉานด้านความรู้เป็นสิ่งที่ควรจะมี เจ้าลองบอกมาสิว่าการทำแบบนี้ยุติธรรมต่อลูกศิษย์ด้านนอกที่ตั้งใจศึกษาหาความรู้หรือไม่”

 

 

“ขอบฟ้าแคบเป็นตัวกำหนดทำให้ขยายเมืองไม่ได้ ลูกศิษย์เหล่านี้ได้ถูกแต่งตั้งเป็นขุนนางถือว่าไม่ยุติธรรมต่อราษฎรมากที่สุด เหลียงเจี้ยนผู่ยืนกรานที่จะไปตามทางของตัวเอง สร้างถนนกระดานไม้ในสถานที่ที่ไม่สามารถสร้างถนนได้ทำให้ภูเขาถล่มลงมา ชีวิตคนกว่าพันชีวิตถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง มีใครเคยสงสารพวกเขาบ้างไหม”

 

 

“เหลียงเจี้ยนผู่เป็นเด็กดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไม่ได้ก็ยังยืนหยัดที่จะทำ มีความกล้าหาญ เวลาขุดภูเขาเขามักจะยืนอยู่ด้านหน้าสุดเสมอ หากมองในทางศีลธรรมเขาไม่ได้บกพร่องในส่วนนี้เลย ไอ้หนุ่ม มีสิ่งไหนบ้างที่บรรพบุรุษของเราสร้างขึ้นแล้วไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก เจ้าคิดว่าตอนที่สร้างกำแพงเมืองจีนหรือตอนขุดคลองไม่มีคนตายหรือ บางทีเพียงแค่ดื่มน้ำก็ทำให้สำลักตายได้ หากต้องระวังไปเสียทุกที่ ตอนนี้พวกเราก็คงไม่เจริญก้าวหน้าไปไหน อยากจะดื่มชาดีๆ สักถ้วยก็คงทำได้แค่ฝันเท่านั้น”

 

 

จบกัน ชายเฒ่าประเมินเหลียงเจี้ยนผู่ไว้สูงมาก เขาเพียงแค่มองคนด้วยความไร้เดียงสา ไม่ได้มองผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง ขอเพียงแค่ในความเป็นคนไม่มีข้อตำหนิ ที่เหลือก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็ก รวมทั้งชีวิตของคนหนึ่งพันคนด้วย

 

 

“ทั้งๆ ที่มีถนนที่สร้างได้โดยไม่ต้องมีคนตาย ทำไมต้องเอาชีวิตไปแลกด้วย แล้วยังทำต่อไปจากรุ่นสู่รุ่นโดยไม่รู้สึกผิด”

 

 

“หนังสือที่เจ้าอ่านมามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ ตอนขุดสร้างถนนไม้กระดานจินหนิวก็มีคนตายมากกว่าหนึ่งพันคน ภูเขาถล่มมากกว่าหนึ่งครั้ง ผูกเชือกไว้ที่เอวห้อยตัวอยู่กลางภูเขาก็ถือเป็นการมอบชีวิตให้แก่เทพเจ้าไปแล้ว การตกลงไปเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่ตายก็ถือว่าโชคดีเป็นอย่างมาก เด็กน้อย การตายของพวกเขาทำให้มีถนนไม้กระดานเส้นนี้ขึ้นมา เชื่อมดินแดนเสฉวนและดินแดงจงหยวนเข้าด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมาดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์และดินแดนที่ราบภาคกลางก็ได้มีการแลกเปลี่ยนกัน มิเช่นนั้นชาวเสฉวนก็คงยังไม่รู้ว่ามีคนเป็นกษัตริย์กี่คน ภายใต้เปลวเพลิงของสงครามจะมีคนตายมากกว่านี้เสียอีก”

 

 

ดูแล้วชายเฒ่าก็ไม่สบายใจอยู่เช่นกัน เขาไม่พอใจการปลูกฝังเช่นนี้เป็นอย่างมากจึงได้หาความคิดที่แตกต่างเพื่อตักเตือนอวิ๋นเยี่ย เขายอมรับความสำเร็จในวิชาคณิตศาสตร์ของอวิ๋นเยี่ย แต่ยังมีข้อกังขาในศีลธรรมของอวิ๋นเยี่ย

 

 

ช่างเถิด หากพูดเรื่องนี้กับชายเฒ่าไม่ได้ ก็ไม่มีวิธีที่จะคุยกันรู้เรื่อง งานนี้ไม่มีใครยอมใคร ไม่ต้องพูดถึงว่าชายเฒ่าเองก็หวังว่าหลังจากการก่อตั้งประเทศแล้ว ผู้รู้หนังสือจะได้เข้าควบคุมราชสำนักและได้เข้าควบคุมผู้ที่มีศิลปะการต่อสู้ที่เกเรเหล่านั้น อย่างไรก็จะไม่ยอมแพ้ในการแย่งชิงทุกตำแหน่งแน่นอน

 

 

เห็นอวิ๋นเยี่ยนั่งเอนหลังลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ก้มหัวลงไม่พูดไม่จาอะไร เหยียนจือทุยหัวเราะแล้วพูดต่อไปว่า “เจ้ากำลังกังวลอะไรอยู่ เจ้าเอาแต่คำนวณเกี่ยวกับเงื่อนไขภายนอกเหล่านี้ ทำไม่เจ้าไม่คำนวณสิ่งที่สำนักศึกษาเจ้าได้รับบ้าง ข้าคิดว่าการที่ฝ่าบาททำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งต่อลูกศิษย์ด้านนอก หรือจะเรียกว่าเป็นการดูถูกเลยก็ได้”

 

 

“หมายความว่าอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยถามชายเฒ่าด้วยความประหลาดใจ

 

 

“สำนักศึกษาหงเหวินดูถูกสำนักศึกษาในวัง ผู้ทดสอบคัมภีร์ทั้งห้าดูถูกผู้ทดสอบความรู้เบ็ดเตล็ด ตอนนี้ผู้ทดสอบข้อสอบของสำนักศึกษาก็ดูถูกผู้ทดสอบของนักวิชาการธรรมดาทั่วไป เจ้ายังต้องกังวลอะไรอีก เป็นเพราะเจ้า การสอบของสำนักศึกษาจึงได้ยากขึ้น ดังนั้นปีหน้าสำนักศึกษาของเจ้าจะครึกครื้นยิ่งขึ้น ผู้ที่มีความรู้ก็จะกลายเป็นคนขี้โกง ยิ่งได้มายากก็ยิ่งอยากได้ หลังจากนี้เวลาที่ลูกศิษย์สำนักศึกษามองดูลูกศิษย์สำนักอื่นก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น หนึ่งประโยคที่ออกมาจากผู้ที่ศึกษาคัมภีร์จะทำให้นักวิชาการคนอื่นๆ ต้องอับอาย ดังนั้นฝ่าบาทจึงได้แบ่งข้อสอบออกเป็นสองส่วน ถึงแม้จะเป็นการวางหมากที่แย่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ การที่ข้าไม่พูดอะไรคือการให้การสนับสนุนที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อสำนักศึกษาของเจ้า”

 

 

เมื่อฟังชายเฒ่าพูดจบอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่ที่ทุ่มเททำในสิ่งที่ไร้ความหมาย เป็นเรื่องตลกที่จะนำความคิดของคนในยุคปัจจุบันมาพิจารณาคุณธรรมของนักปราชญ์ในต้าถัง นักปราชญ์ในยุคนี้ได้บิดเบือนความกระหายในความรู้และความเคารพในความรู้ การที่หลู่ซวิ่นเสียดสีขงอี๋จี่ไม่ใช่เรื่องแปลกในต้าถัง บิดเบือนความเข้าใจและการรับรู้ต่ออักษรจีนที่พบเห็นได้น้อย ถือว่าอักษรจีนที่พบเห็นได้น้อยนั้นเป็นการเรียนรู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิชาเคมีฟิสิกส์และชีวภาพของสำนักศึกษา การสอบใหญ่ปีนี้จะเป็นเรื่องโง่ๆ ที่ตลกมาก นักเรียนที่เข้าร่วมการทดสอบไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับความเคารพซ้ำยังจะถูกทอดทิ้งอย่างไร้ยางอาย เพื่อที่จะเข้าร่วมการสอบก็จะทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงความซื่อสัตย์

 

 

เมื่อคิดได้ก็รู้สึกดีใจขึ้นมา เมื่อถึงเวลาก็สะบัดแขนเสื้อรอดูความตลกของหลี่ซื่อหมินได้เลย ไม่ให้ข้าเข้าฉางอันหรือ ต่อให้มีรถหรูขนาดไหนมารับก็ไม่ไป รักเมืองผุพังเหมือนกับลูก ทำเหมือนข้าไม่เคยเห็นตึกสามร้อยชั้นมาก่อน

 

 

ให้ลูกศิษย์ลากรถที่หลี่กังนั่งเข้ามาแล้วผลักชายเฒ่าเข้าไปด้านในรถ ชายเฒ่าที่นั่งอยู่ในรถดูเป็นคนแก่ที่อารมณ์ขัน มีคำคมเด็ดๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น การที่มาพบจั่งซุนก็เป็นความประสงค์ของจั่งซุนเองเพราะว่าตัวเองเคยเล่าให้ชายเฒ่าฟังถึงการกระทำอันกล้าหาญของสัตว์ร้ายในยุคโบราณต่อหน้ากะโหลกของไทแรนโนซอรัส

 

 

ชายเฒ่าลงมาจากรถเดินวนรอบกะโหลกหนึ่งรอบ เดินไปสัมผัสฟันขนาดใหญ่ไม่กี่ซีกที่เหลืออยู่โดยไม่รู้ตัว คนในสมัยราชวงศ์ถังดูจะชื่นชอบฟัน? ฟันห้าซีกถูกลูบจนขึ้นเงา ก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับพวกคนรุ่นหลังที่ชอบบูชาของวิปริต เจ้าไปดูประติมากรรมรูปปั้นผู้หญิงในแต่ละเมือง มีรูปปั้นไหนบ้างที่ไม่ถูกสัมผัสจนเป็นรอยดำไปหมด

 

 

“ไอ้หนุ่ม เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสัตว์ขนาดยักษ์ตัวนี้เป็นลักษณะของสัตว์ในสมัยโบราณเมื่อนานมาแล้ว แล้วยังรู้ลักษณะนิสัยการใช้ชีวิตของพวกมันด้วย อย่าบอกข้านะว่าเจ้าเดาเอา”

 

 

“ท่านผู้เฒ่าคิดมากไปแล้ว สิ่งที่ข้าน้อยพูดแน่นอนว่ามีเหตุผล จะพูดขึ้นมามั่วๆ ไม่ได้ ท่านดูสินี่คือหินที่เก็บรวบรวมมาจากบริเวณที่พบกระดูกนี้ พืชด้านบนที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อนคือตัวอย่างประกอบ สัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อฟันของพวกมันจะไม่เหมือนกัน ฟันอันหนึ่งแบนอีกอันหนึ่งแหลมคม ท่านสามารถเห็นได้จากการเปรียบเทียบระหว่างฟันหมาป่ากับฟันแกะ”

 

 

อวิ๋นเยี่ยพูดไปพร้อมกับเดินไปเอากะโหลกหมาป่าและกะโหลกแกะจากชั้นวางให้ชายเฒ่าเห็นความแตกต่าง ตอนนี้ที่สำนักศึกษามีกลุ่มคนหลงใหลในมังกร ออกค้นหาข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับมังกรไปทั่วทุกที่อย่างบ้าคลั่ง ปีนี้มีเด็กสองคนสอบเข้ารับราชการในเมืองที่คิดว่าสามารถค้นพบกะโหลกมังกรได้เพื่อที่จะได้สะดวกสบายในการตามหามังกร อุปกรณ์ต่างๆ ก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว

 

 

ชายเฒ่ายกกะโหลกทั้งสองอันขึ้นมา สำรวจปากและฟันอย่างละเอียดแล้วผงกหัว เขาวางกะโหลกลงแล้วเดินมือไขว้หลังไปที่ชั้นวางไข่ไดโนเสาร์ มองดูจารึกด้านล่างแล้วถามอวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจว่า “สัตว์ร้ายตัวโตเช่นนี้แท้จริงแล้วออกลูกเป็นไข่อย่างนั้นหรือ จากตำนานเล่าขานการเกิดของผานกู่[1]ยังคงคลุมเครือ ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจ แต่พอมีหลักฐานให้เห็นว่ามังกรยักษ์ตัวนี้ออกลูกเป็นไข่ก็สามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยาก”

 

 

เมื่อออกมาจากศาลามังกรยักษ์ก็เข้าไปในศาลาคุนเผิง[2]ซึ่งเป็นปลายักษ์ที่มีปีกเหมือนนก โครงกระดูกวาฬขนาดใหญ่ที่อวิ๋นเยี่ยจับได้ถูกวางตั้งไว้ในศาลา กระดูกทั้งหมดถูกขัดด้วยขี้ผึ้งทำให้ดูมันเงา ชายเฒ่าที่นั่งอยู่บนรถหัวเราะแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าฆ่าปลาวาฬตัวนี้แล้วเอาเนื้อของมันไปให้คนในราชสำนักหรือ ไอ้หนุ่ม คนพวกนั้นไม่เล่นงานเจ้าเอาหรือ”

 

 

“ใครจะไปเชื่อคำพูดแปลกๆ ที่ว่า ‘หากปลายักษ์ตายจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของคนในราชสำนัก’ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นคนในราชสำนักได้กดขี่ข่มเหงราษฎรทำให้ราษฎรไม่สามารถรับมือและระบายความโกรธแค้นได้ ต่อมาได้มีปลายักษ์ตัวหนึ่งเสียชีวิตและบังเอิญคนในราชสำนักก็เสียชีวิตไปหนึ่งคน ดังนั้นผู้คนจึงคิดว่าสองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกัน ที่จริงก็เพื่อจะบอกทุกคนว่าหากฆ่าปลายักษ์ตายจนหมดคนในราชสำนักก็จะตายหมดเช่นกัน”

 

 

ชายเฒ่าหัวเราะจนเห็นฟันที่อยู่ในปากเพียงไม่กี่ซีก “เจ้านี่นะ เจ้ามีความตลกขบขันและไหวพริบไม่ต่างอะไรกับคนราชวงศ์ฮั่น เพียงแต่ว่าเจ้ามีคุณธรรมมากกว่าพวกเขา ฮ่าๆๆ”

 

 

ชายเฒ่าและเด็กหนุ่มพูดคุยหัวเราะกันจนมาถึงใต้เครนเคลื่อนที่ นี่คือชุดเครื่องมือที่ใช้ในการเรียนการสอน ข้างบนเต็มไปด้วยรอกลักษณะต่างๆ มองดูที่ร่างอ่อนแอของชายเฒ่า อวิ๋นเยี่ยก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้วพูดกับชายเฒ่าว่า “ถึงแม้ว่าท่านจะอายุเกือบร้อยปีแล้ว แต่ข้าน้อยคิดว่าท่านยังคงมีพละกำลังอยู่ หากไม่เชื่อท่านก็ลองดูว่าจะยกก้อนหินก้อนใหญ่นั้นขึ้นได้หรือไม่ ข้าน้อยเชื่อว่าท่านมีแรงมากพอที่จะทำได้”

 

 

“หินก้อนนั้นมีอะไรแปลกหรือ” ชายเฒ่ารู้จักร่างกายของตัวเองดี ดังนั้นจึงได้ถามอวิ๋นเยี่ยว่าหินก้อนนั้นเบาหรือไม่ ใช่หินปลอมหรือไม่

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้อธิบายอะไร เขายกค้อนขึ้นมาแล้วทุกบนก้อนหินจนเกิดประกายไฟ เห็นได้ชัดว่าก้อนหินไม่ได้มีปัญหาอะไร อวิ๋นเยี่ยสั่งให้ช่างที่ดูแลเครนให้นำรอกแขวนไว้ด้านบนสุด ตัวเองลองดึงสองสามทีแล้วส่งต่อให้ชายเฒ่า ชายเฒ่าที่ยังคงมึนงงและอวิ๋นเยี่ยได้ช่วยกันดึงเชือกอย่างสุดแรง ชายเฒ่ารู้สึกประหลาดใจที่เห็นก้อนหินแกว่งไปมาจึงดึงขึ้นอีกครั้ง ก้อนหินค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ ชายเฒ่าหันกลับไปมองอวิ๋นเยี่ย รอคำอธิบายจากเขา

 

 

“ที่จริงก็ได้มีอะไร เป็นวิธีการใช้แรงอย่างหนึ่ง ท่านไม่ต้องคิดมาก เพราะการคิดมากทำให้เหนื่อยใจ ไม่ดีต่อสุขภาพของท่าน ท่านเพียงแค่รู้ว่าการศึกษาสิ่งต่างๆ เป็นความรู้ที่มีประโยชน์ก็พอ”

 

 

“มีประโยชน์มากจริงๆ สร้างป้อมปราการ สร้างบ้าน ขนย้าย ยกของที่ท่าเรือ มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ไอ้หนุ่ม ในเมื่อเจ้าทำให้ข้าเกิดความสนใจ เช่นนั้นก็พาข้าไปดูความลึกลับของสำนักศึกษาของเจ้าเสียดีๆ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ผานกู่ หมายถึง “แผ่นโลกโบราณ” คือสิ่งมีชีวิตชนิดแรกสุดของโลก เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ตามความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของจีน

 

 

[2] คุนเผิง มาจากตำนานดั้งเดิมเรื่องหนึ่ง มีพญามัจฉารูปร่างใหญ่โตชื่อว่า ‘คุน’ เมื่อผ่านไปหมื่นปีคุนกลายร่างเป็นพญาปักษาชื่อ ‘เผิง’ เรียกรวมว่า ‘คุนเผิง’