หน้าต่างถูกเปิดกว้าง ขณะที่ฉันใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกชุ่ม สัมผัสอันสดชื่นก็ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าของฉันตื่นตัวขึ้น วันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน เพราะนอนไม่หลับจึงทำให้ฉันมานั่งเหม่อเท้าคางอยู่ตรงขอบหน้าต่าง แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงความทรงจำในคืนหนึ่งของฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้วที่รุ่นพี่ร้องเพลงให้ฉันฟังขึ้นมา 

 

 

หรือเป็นเพราะเขารู้ว่าฉันจะไม่ได้ยินเสียงอีกแล้วงั้นเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ฉันมักจะหวนนึกถึงความทรงจำต่างๆ เกี่ยวกับเสียงโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่รุ่นพี่ร้อง คำพูดต่างๆ ที่รุ่นพี่พูดกับฉัน กิจวัตรประจำวันที่เต็มไปด้วยเสียงของรุ่นพี่ ดนตรีที่เต้นไปพร้อมกับรุ่นพี่ แล้วก็… 

 

 

ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูภาพวิดีโอที่อยู่ข้างในนั้นซ้ำไปมาด้วยความเคยชิน เสียงหัวเราะของทุกคน น้ำเสียงตื่นเต้นของรุ่นพี่ที่ดังคลออยู่ภายในห้องเหมือนกับเสียงดนตรี ฉันนั่งจ้องโทรศัพท์ทรงสี่เหลี่ยมอยู่แบบนั้นสักพัก 

 

 

แต่แล้วจู่ๆ หน้าจอก็ค้างไป ก่อนที่บนหน้าจอจะกลายเป็นพื้นหลังสีดำที่มีชื่อของอีเซเด้งขึ้นมา ฉันสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบกดปุ่มรับสาย แล้วเอาโทรศัพท์แนบหู 

 

 

“ฮัลโหล” 

 

 

[ทำไรอยู่น่ะ] 

 

 

น้ำเสียงของอีเซที่ถึงจะฟังดูเย็นชา แต่ก็อ่อนโยนดังออกมาจากปลายสาย ฉันยิ้มเล็กๆ พลางเอนหัวพิงขอบหน้าต่าง 

 

 

“ไม่ได้ทำอะไร ทำไมเหรอ” 

 

 

[ได้ยินว่าเกิดอุบัติเหตุ ฉันเลยโทรมาถามว่าเธอไม่เป็นไรใช่ไหม] 

 

 

“อ๋อ ไม่เป็นอะไรหรอก” 

 

 

[อย่าซุ่มซ่ามให้มากนักสิ เธอทำให้ฉันรู้สึกอย่างกับว่าฉันปล่อยให้ลูกตัวเองเล่นอยู่ริมน้ำคนเดียวเลยนะ] 

 

 

“แหม” 

 

 

[เอาเป็นว่าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว] 

 

 

“ขอบใจนะ” 

 

 

[ฮวีกยอม] 

 

 

“หือ ทำไมเหรอ” 

 

 

[ฝันดีนะ] 

 

 

“…อะไรของนาย แปลกๆ นะ” 

 

 

[ทำไมเล่า ฉันบอกไม่ได้รึไง] 

 

 

น้ำเสียงบ่นห้วนๆ ของอีเซดูแหบเล็กน้อย ฉันหัวเราะคิกคักพลางกระดิกนิ้วที่กำลังจับมือถือไปมา ฉันวาดภาพตรงหน้าว่าอีเซจะกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ จะว่าไปแล้ว หลังจากที่กลับมาจากโลซานน์ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้คุยกับอีเซสองคนยาวขนาดนี้ 

 

 

พอได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆ ของอีเซดังมาจากปลายสาย คำสารภาพรักที่อีเซเคยบอกฉันตอนอยู่ที่โลซานน์ก็ลอยขึ้นมา  

 

 

พริบตานั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้น พร้อมกับหัวใจที่เต้นตึกตักทำให้ฉันเผลอกระแอมออกมาเอง หลังจากนั้นฉันจึงพยายามพูดด้วยเสียงเรียบเฉย 

 

 

“แล้วรุ่นพี่เป็นยังไงบ้าง” 

 

 

[…อืม ก็นะ] 

 

 

หลังจากเงียบไปสักพัก น้ำเสียงเย็นชาของอีเซก็ดังมาจากปลายสาย การแกล้งเอาเรื่องรุ่นพี่ขึ้นมาพูดนั้น ขนาดตัวฉันเองยังรู้สึกเลยว่ามันแปลกๆ จนฉันเริ่มจะเขินขึ้นมาเสียเอง ส่วนอีเซก็พูดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยที่ฉันเดาไม่ได้ว่าเขารู้สิ่งที่ฉันคิดอยู่หรือไม่กันแน่ 

 

 

[ถามกันเองก็ได้มั้ง จะถามฉันทำไมเล่า] 

 

 

“…ก็แค่” 

 

 

[ถึงจะเล็กน้อยก็ควรจะต้องบอกให้รู้นะ คิมฮวีกยอม] 

 

 

ฉันหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะยืดตัวที่เอนพิงขอบหน้าต่างขึ้นมานั่งหลังตรง ท้องฟ้าสีน้ำเงินสดใสที่อยู่เหนือหลังคานั้นสะดุดตาฉันอย่างจัง 

 

 

“คุณพ่อคุณแม่ของนายคงจะตกใจมากเลยสินะ” 

 

 

[ก็นะ ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดกับพี่มาก่อน แล้วจู่ๆ ก็มาเกิดเรื่องขึ้น ก็ต้องตกใจอยู่แล้วแหละ] 

 

 

“…” 

 

 

[เอ้อ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ] 

 

 

พอฉันเงียบไป อีเซก็เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนว่า ไม่ต้องใส่ใจหรอกน่า แต่ว่าคำพูดของอีเซก็ไม่อาจปลอบใจฉันได้ เป็นเพราะหูที่เอาแต่คอยก่อเรื่องนี้ สุดท้ายแม้แต่รุ่นพี่ก็พลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย ความจริงข้อนั้นกดดันหัวใจของฉันอย่างหนักหน่วง 

 

 

[…ว่าแต่เธอมีเรื่องอะไรกับพี่งั้นเหรอ] 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก” 

 

 

[งั้นก็โล่งอกไปที หมู่นี้พี่ทำตัวแปลกๆ…] 

 

 

อีเซที่พูดพึมพำออกมาเบาๆ แล้วอยู่ๆ ก็เงียบไป ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการพูดว่า ไม่มีอะไรหรอก แต่ว่าในขณะที่ฉันตอบอือๆ เป็นครั้งคราวเมื่อได้ยินเสียงของอีเซที่พูดต่อไปเรื่อยๆ อย่างแผ่วเบา หัวใจของฉันก็กำลังลอยไปยังที่อื่น 

 

 

งานแสดงจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกสองสัปดาห์ ฉันที่นั่งฟังอีเซพูดไปเรื่อยๆ ก็ลิ้นชักโต๊ะออก แล้วหยิบขวดยาที่ซ่อนอยู่ในนั้นออกมา หลังจากหยิบยาหนึ่งเม็ดใส่เข้าไปในปาก ฉันก็กลืนมันเข้าไป รสขมๆ กระจายไปทั่วปลายลิ้น 

 

 

แม้ว่าภายในใจของฉันจะยังคงภาวนาให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ความสิ้นหวังนั้นเป็นเหมือนกับกิจวัตรประจำวันของฉันไปเสียแล้ว เพื่อที่ฉันจะสามารถยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อมันกลายมาเป็นความจริง ทั้งเรื่องที่จะไม่สามารถได้ยินอีกต่อไปและไม่สามารถเต้นได้อีกด้วย 

 

 

เสียงของอีเซที่พูดเจื้อยแจ้วเหมือนกับเพลงกล่อมเด็กจู่ๆ ก็ค่อยๆ ไกลห่างออกไป ฉันหยิบยาจากขวดยาออกมากินอีกเม็ด ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่จริงๆ แล้วสินะ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

เหตุการณ์ทั้งเล็กและใหญ่ได้ผ่านพ้นไป และฉันก็ได้กลับมาดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันแสนสงบสุขอีกครั้ง ระหว่างที่ไปๆ มาๆ โรงเรียนและอคาเดมี่ ชีวิตประจำวันแสนธรรมดาที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของฉันนั้นก็อยู่แต่ในห้องซ้อม 

 

 

วงจรชีวิตอันเรียบง่ายนี้ที่ฉันคิดว่ามันซ้ำซากจำเจเสียจนน่าเบื่อ พอมาคิดว่าในอีกไม่ช้ามันก็จะหายไปจากชีวิตของฉันแล้ว มันก็ทำให้ฉันรู้สึกดีใจปนใจหายขึ้นมาในทันที 

 

 

เพียงแค่พริบตาเดียวงานแสดงก็จะมาถึงในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า พวกเราจึงยิ่งซ้อมหนักขึ้นไปอีก ยิ่งพวกเราอยากจะทำให้มันทันเวลามากเท่าไหร่ เวลาก็จะยิ่งไหลไปเร็วเท่านั้น ฉันรู้ดีถึงความจริงข้อนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แต่ฉันก็ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกเจ็บปวดใจออกไปได้ บางทีแม้ว่าอายุมากขึ้นจนกลายเป็นคุณยายไปแล้ว ฉันก็คงจะไม่รู้สึกเสียดายเวลาทุกเสี้ยววินาทีในหนึ่งวันได้เท่ากับช่วงเวลาในตอนนี้หรอก 

 

 

ดนตรีที่ดังต่อเนื่องเรื่อยๆ หยุดลง ใบหน้าของรุ่นพี่ที่กำลังเช็ดเหงื่อนั่นกำลังเป็นสีแดงระเรื่อ ฉันผูกเชือกรองเท้าให้แน่นยิ่งขึ้น ขณะที่ชำเลืองมองดูใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ ต้นคอของรุ่นพี่ที่กำลังดื่มน้ำจากขวดน้ำใสๆ เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เปล่งประกายระยิบระยับ 

 

 

ลูกกระเดือกมนๆ ที่ขึ้นๆ ลงๆ ริมฝีปากที่มีน้ำไหลผ่าน สันจมูกสวยไล่ไปจนถึงขนตาที่เรียงตัวสวย ฉันมองไล่ไปตามลำดับ ก่อนที่จู่ๆ รุ่นพี่จะหันขวับมามองฉันแทน 

 

 

ฉันรีบหลบสายตาของรุ่นพี่เหมือนกับขโมยที่โดนคนจับได้ รุ่นพี่หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นท่าทีแบบนั้นของฉัน ก่อนที่เขาจะล้อฉันเล่น พร้อมกับดึงแก้มของฉันไปด้วย 

 

 

“ทำไมครับ ไหนๆ มองแล้วก็มองให้จบสิครับ” 

 

 

“มองเสร็จแล้วค่ะ แหม” 

 

 

“จริงเหรอ แค่นี้ก็พอใจแล้วสินะ” 

 

 

ด้วยความรู้สึกอาย ฉันจึงตอบกลับไปอย่างห้วนๆ รุ่นพี่หัวเราะคิกคัก พลางเอามือทั้งสองข้างจับให้ใบหน้าของฉันหันไปทางรุ่นพี่ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำสีหน้ายังไงดี จึงได้แต่พยายามซ่อนดวงตาที่เลิ่กลั่กไว้ แต่รุ่นพี่กลับไม่สนใจ แถมยังยิ่งเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ หลังจากนั้นจึงจ้องเขม็งมาที่ดวงตาที่ไม่อาจจับโฟกัสของฉัน 

 

 

“แต่พี่น่ะ มองยังไงก็ไม่พอสักทีเนี่ยสิ” 

 

 

“…” 

 

 

“ไม่ยุติธรรมเลยแฮะ” 

 

 

รุ่นพี่ที่พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้ออย่างสนุกสนาน จู่ๆ ก็ประกบริมฝีปากลงมาที่ปากของฉันดังจุ๊บ ก่อนจะค่อยๆ เอาหัวมาพิงที่ไหล่ของฉัน ตรงที่หน้าผากอุ่นนิดๆ ของรุ่นพี่สัมผัสถูก มันรู้สึกคันๆ ขึ้นมา ฉันจึงเผลอลูบเส้นผมที่เปียกเล็กน้อยของรุ่นพี่อย่างไม่รู้ตัว 

 

 

สตูดิโอที่เงียบสงบและมีแค่พวกเราสองคน แสงไฟสลัวและเงาของฉันกับรุ่นพี่ซึ่งกำลังนั่งอยู่เคียงข้างกันกำลังสะท้อนอยู่ในกระจกบานใหญ่ วินาทีที่ฉันคิดว่าถ้าเวลาหยุดลงทั้งๆ แบบนี้ก็คงจะดีสินะ อยู่ดีๆ รุ่นพี่ก็เอื้อมมือมาจับมือฉันเอาไว้ 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

นิ้วมือของรุ่นพี่ที่ประสานเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติช่างอบอุ่นจริงๆ ฉันพยักหน้าเงียบ พลางมองหน้าของรุ่นพี่ที่สะท้อนอยู่ในกระจก รุ่นพี่หายใจเข้าออกด้วยใบหน้าที่ยังคงแดงระเรื่อเหมือนเดิม เขาจับมือฉันแน่นขึ้น พลางหันหน้ามา แล้วเงยหน้ามองฉัน 

 

 

“พอจบงานแสดงแล้ว เธอสนใจจะสมัครแข่งเต้นด้วยกันกับพี่ไหม” 

 

 

“คะ?” 

 

 

“การแข่งที่เบอร์ลินน่ะ ถึงจะคนละรายการเลยต้องเตรียมตัวแยกกัน แต่มันก็คงจะดีนะ ถ้าเราได้ไปด้วยกัน” 

 

 

ข้อเสนอที่มาอย่างกะทันหันของรุ่นพี่ทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก จนพูดอะไรไม่ออก ฉันนึกไม่ออกเลยสักนิดว่าจะต้องปั้นเรื่องอะไรขึ้นมาดี ส่วนรุ่นพี่ก็กำลังจ้องมองมาที่ฉันที่เอาแต่ลังเลและหลบสายตาของเขา 

 

 

“…ไม่ละค่ะ ฉันคงจะไม่สมัครหรอกค่ะ” 

 

 

คำพูดที่กว่าจะออกมาได้นั้นสั่นจนควบคุมไม่อยู่ รุ่นพี่ค่อยๆ ยืดตัวที่พิงฉันอยู่ขึ้นมาช้าๆ เขาจ้องเขม็งมาที่ฉันเหมือนจะถามว่า ทำไมล่ะ 

 

 

“เพราะฉันคิดว่าฉันยังไม่พร้อมน่ะค่ะ ขนาดที่โลซานน์ฉันก็ยังทำได้ไม่เต็มที่เลย ดูท่ายังไงฉันก็คงจะ…” 

 

 

“การที่ได้ไปมาแล้วนั่นแหละคือผลลัพธ์ที่ดี เธอเองก็รู้ดีนี่นา อีกอย่างนะ…” 

 

 

“ไม่ค่ะ ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ” 

 

 

ฉันหลับตาทั้งสองข้างไว้แน่น แล้วพูดตัดบทรุ่นพี่อย่างเด็ดขาด ดวงตาของรุ่นพี่จึงหรี่ลงพร้อมกับปากที่ปิดสนิท ความเงียบจึงเข้าปกคลุมชั่วครู่และบรรยากาศแปลกๆ ที่กลับมาอีกครั้งกำลังวนเวียนอยู่รอบตัวพวกเรา ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่รุ่นพี่ 

 

 

แต่สีหน้าของรุ่นพี่ดูแปลกไป ชั่ววินาทีนั้นฉันรู้สึกได้เลยว่าหัวใจของฉันมันหล่นลงมาดังตุ้บ รุ่นพี่จ้องมาที่ฉันพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ดวงตาของเขากำลังสั่นไหว ดูท่าจะไม่สบายใจเอามากๆ 

 

 

“…ว่าแล้วว่าจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างสินะ” 

 

 

น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่สั่นเล็กๆ กลายเป็นเสียงวิ้งๆ ดังก้องไปทั่ว ฉันพยายามหายใจอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้รุ่นพี่จับได้ว่าเสียงหัวใจของฉันกำลังเต้นดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะส่ายหัวพร้อมกับแกล้งทำเป็นนิ่งเฉย 

 

 

“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ ฉันก็แค่ไม่ค่อยมีสมาธิน่ะค่ะ…” 

 

 

“มันแปลกๆ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เธอเอาแต่คอยหลบหน้าพี่ เหมือนกับมีอะไรซ่อนเอาไว้ ไหนจะเฉไฉบอกว่า ไว้จะบอกทีหลังอีก” 

 

 

ฉันกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น ไปต่ออีกไม่ไหวแล้ว ถ้ารุ่นพี่ยังคอยซักไซ้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันคงจะไม่อาจซ่อนมันเอาไว้ได้อีก ฉันปิดปากเงียบ ดวงตาของรุ่นพี่ที่จ้องมองมาที่ฉันดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะความกังวลใจของฉันเองหรือเปล่านะ 

 

 

พอฉันหลุบตาลงและไม่ยอมตอบโต้อะไรกลับไปได้ ลมหายใจบางๆ ของรุ่นพี่ก็มาสัมผัสลงบนหัว 

 

 

“รุ่นพี่ ขอร้องละค่ะ” 

 

 

ฉันรวบรวมพลังทั้งหมดออกมาเพื่อเค้นเสียงพูด แต่เพราะมัวแต่อดกลั้นความรู้สึกที่จะโพล่งออกมา ลำคอถึงได้แสบไปหมด 

 

 

“ไว้วันหลัง วันหลังฉันจะบอกนะคะ นะ?” 

 

 

ในตอนนั้นเอง มือของรุ่นพี่ที่ประสานนิ้วกับฉันอยู่ก็ดึงมือฉันไปอย่างแรง นั่นเลยทำให้ฉันที่ตกลงสู่อ้อมกอดของรุ่นพี่ ตกใจจนเบิกโพลงมองไปยังรุ่นพี่ ใบหน้ากลมๆ ของฉันสะท้อนอยู่ในดวงตาของรุ่นพี่ที่หลุดโฟกัสเหมือนกับว่ากำลังมองไกลออกไป ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ 

 

 

บรรยากาศภายในสตูดิโอที่มีเพียงความเงียบงันราวกับเวลาได้หยุดหมุนทำให้เกิดเสียงก้องทุ้มต่ำ และวินาทีที่รุ่นพี่คลายนิ้วมือออกจากมือของฉันอย่างช้าๆ แล้วเอื้อมมาสัมผัสหูของฉันด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จิตใจของฉันก็สั่นไหวจนหยุดไม่อยู่ วินาทีนั้นสีหน้าของรุนพี่ก็แข็งทื่อไปในทันที 

 

 

“เธอ…” 

 

 

เสียงของรุ่นพี่กดไหล่ของฉันให้หนักอึ้ง ความรู้สึกกดดันอันมหาศาลนั่นทำให้ฉันหายใจไม่ทั่วท้อง ใบหน้าของฉันที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของรุ่นพี่ดูเหยเกอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่รุ่นพี่ที่หยุดพูดไปชั่วครู่ขณะมองมาที่ฉันก็ยังทำสีหน้าเจ็บปวดไม่แพ้กัน 

 

 

ริมฝีปากที่สั่นไหวของรุ่นพี่ขยับเขยื้อนอย่างช้าๆ ได้โปรดหยุดทีเถอะ ฉันหลับตาทั้งสองข้างแน่น ถึงจะไม่อยากเชื่อจริงๆ ก็เถอะ แต่ดูเหมือนฉันจะเข้าใจหน่อยๆ แล้วว่าตอนนี้รุ่นพี่ต้องการจะพูดอะไร แล้วก็รู้ด้วยว่าคำนั้นมันจะทำให้ฉันทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากอีกด้วย 

 

 

“ตอนนี้เธอได้ยินที่พี่พูดไหม” 

 

 

และลางร้ายที่มักจะรู้สึกเสมอก็ถูกต้องแม่นยำอย่างน่าประหลาดจนเกินจะบรรยาย คำนั้นของรุ่นพี่ที่ทำให้หัวใจของฉันหล่นลงไปเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ฉันได้แต่กลั้นน้ำตาเอาไว้ 

 

 

ฉันรีบเอาหลังมือปาดน้ำตาออก ก่อนที่รุ่นพี่จะมาจับไหล่ของฉันเอาไว้แน่น ฉันส่ายหัวอย่างแรง และพยายามจะปฎิเสธคำพูดของรุ่นพี่ แต่ริมฝีปากกลับไม่แยกออกจากกันเลยสักนิด 

 

 

“…ได้ยินพี่ไหม” 

 

 

บอกไปสิว่าได้ยิน เร็วเข้า ถึงแม้จะรู้ว่าไม่สามารถย้อนกลับไปใหม่ได้แล้ว แต่ฉันก็ปลอบใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็ทำใจให้สงบลง ถ้าฉันยอมรับตอนนี้ การแสดงครั้งสุดท้ายของพวกเราก็จะพังทลายลง 

 

 

“จะไม่ได้ยินได้ยังไงกันละคะ” 

 

 

คำพูดที่ออกมาจากปากของฉันทำให้รุ่นพี่ปล่อยมือออกจากไหล่ของฉันอย่างช้าๆ ใช่แล้ว แค่ทนๆ ไปอย่างนี้ก็พอ แล้วมันก็จะไม่เป็นไร แต่ว่าในตอนที่ฉันจงใจเงยหน้าหันไปมองรุ่นพี่ ฉันก็ได้แต่ตัวแข็งทื่อไปทั้งอย่างนั้น 

 

 

ฉันไม่ได้ยินเสียงที่ควรจะได้ยินจากริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ขยับไปมา ทำไมเจ้าหูที่แล้งน้ำใจของฉันถึงต้องมาหยุดทำงานลงในเวลาแบบนี้ด้วยนะ 

 

 

ฉันเห็นว่าอยู่ดีๆ รุ่นพี่ที่กำลังพูดอะไรสักอย่างอยู่ ก็ปิดปากแน่นสนิทไปซะดื้อๆ ฉันรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด พลางกัดฟันแน่นพร้อมกับส่ายหน้า 

 

 

“…พอซะทีเถอะ” 

 

 

อ้า เสียงของรุ่นพี่กลับมาอีกครั้งราวกับเล่นตลก รุ่นพี่กำมือไว้แน่นจนปลายนิ้วกลายเป็นสีขาว นาทีนั้นที่ฉันได้เห็นกำปั้นที่สั่นเทา ฉันก็ได้รู้ว่าคำโกหกของฉันใช้ไม่ได้ผลกับรุ่นพี่อีกต่อไป 

 

 

“มันแปลกๆ น่ะ” 

 

 

“…” 

 

 

“ทั้งเรียกแล้วไม่ได้ยิน ทั้งผิดจังหวะ ทั้งอยู่ดีๆ ก็ยืนนิ่งไป มันแปลกทั้งหมดนั่นแหละ” 

 

 

ฉันค่อยๆ หลับตาทั้งสองข้างลง บางทีมันอาจจะเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ที่จะหลอกรุ่นพี่น่ะ ก็ฉันไม่เคยทำอะไรได้ดีสักอย่างนี่นา 

 

 

“ตอนแรกพี่ก็คิดว่าเธอคงแค่คิดเรื่องอื่นอยู่ แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ พี่ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นแล้วละ” 

 

 

“…” 

 

 

“แล้วคราวก่อนที่โรงพยาบาลพี่ก็บังเอิญไปเจอขวดยาในกระเป๋าเธอ ตอนนั้นพี่ถึงได้ปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้” 

 

 

น้ำเสียงของรุ่นพี่เหมือนจมลงสู่ความหดหู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับภายในใจของฉัน 

 

 

“เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่” 

 

 

“…” 

 

 

“ทำไมถึงต้องปิดบัง…” 

 

 

“…” 

 

 

“พูดอะไรสักอย่างสิ!” 

 

 

เสียงตะโกนอันเจ็บปวดของรุ่นพี่ดังลั่นไปทั่วสตูดิโอที่เงียบสงบ ฉันกำลังหายใจอย่างเหนื่อยหอบพร้อมกับหัวที่รู้สึกมึนไปหมด ฉันลุกพรวดขึ้นในขณะที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดใบหู ไหล่ที่ดูไร้เรี่ยวแรงของรุ่นพี่กำลังสั่นเบาๆ กำปั้นของรุ่นพี่ที่กำเอาไว้แน่นราวกับจะระเบิดออกมานั้นขาวจนซีดเผือด 

 

 

ฉันยื่นมือไปหารุ่นพี่ด้วยความเศร้าใจ ก่อนจะหยุดมันเอาไว้ที่กลางอากาศ มือที่ไม่กล้าจะสัมผัสและได้แต่ยึกยักอยู่สักพักนั้น สุดท้ายก็หล่นตุ๊บลงไปที่ข้างล่าง รุ่นพี่กำลังร้องไห้อยู่อย่างเงียบๆ 

 

 

“ช่วยบอกทีสิว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่สิ ช่วยทำให้พี่พูดออกมาได้ทีเถอะว่า มันไม่มีอะไรหรอก” 

 

 

“…” 

 

 

“ช่วยบอกทีว่ามันยังไม่สายไป บอกว่ามันยังมีอะไรที่พี่พอจะทำให้เธอได้อยู่ ขอร้องละ” 

 

 

ฉันเคยจินตนาการอยู่หลายรอบ หากรุ่นพี่ได้รู้ความจริง รุ่นพี่จะพูดอะไรกับฉัน จะทำสีหน้าแบบไหน และฉันจะต้องมองรุ่นพี่ด้วยใบหน้าแบบไหน ฉันฝึกที่จะแกล้งยิ้มให้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้เอง 

 

 

แต่ว่าแล้วว่าหัวใจน่ะ มันไม่เป็นไปตามที่เราฝึก หรือตัดสินใจหรอก ต่อให้พยายามอดทนยังไงสุดท้ายน้ำตาก็ยังไหลอยู่ดี  

 

 

ยิ่งกว่าความทุกข์ทรมานที่จะไม่สามารถได้ยินเสียง หรือความผิดหวังที่ไม่สามารถเต้นได้อีกต่อไป ความเจ็บปวดที่อาจจะต้องเสียรุ่นพี่ไปนั้น มักจะผลักฉันให้ไปยืนอยู่ที่ริมหน้าผา 

 

 

“…ขอโทษนะคะ” 

 

 

หลังจากสิ้นสุดเสียงพึมพำที่เหมือนฉันพูดอยู่คนเดียว ฉันก็ลุกพรวดขึ้นมาจากที่แล้ววิ่งออกไป แม้ว่าจะได้ยินเสียงตะโกนของรุ่นพี่ที่เรียกชื่อของฉัน แต่ฉันก็ยังไม่ยอมหยุดวิ่ง  

 

 

เมื่อถึงห้องเปลี่ยนเสื้อ ฉันรีบเปิดล็อกเกอร์แล้วหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ก่อนจะเก็บกระเป๋า แต่มือที่พยายามจะปิดกระเป๋าก็เอาแต่ลื่นไม่หยุด จนสุดท้ายฉันก็นั่งลงตรงนั้น 

 

 

 

 

 

* * *