ตอนที่ 420 เจ้าสามารถเรียกเขาว่า สหายควายน้อย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ความมืดครึ้มกลุ่มหนึ่งครอบคลุมอยู่เหนือศีรษะของลู่อิง 

 

 

บนศีรษะมีแต่ไอหนาวเย็นที่ลึกล้ำ ราวกับก่อตัวเป็นภูเขาน้ำแข็งอยู่ด้านบน คล้ายจะกดลงมาบีบอัดทับถมนาง 

 

 

เยี่ยอิงตกตะลึงไปเล็กน้อย ก็อ้าปากขึ้นจะพ่นลำแสงที่เย็นยะเยือกออกมา 

 

 

ขณะที่ลำแสงนั้นยังไม่ทันระเบิดออกไป ก็เห็นกระบี่ในมือของจีเฉวียนก่อให้เกิดไอมืดขุมหนึ่งจู่โจมเข้าใส่ลำแสงนั้น 

 

 

ร่างกายที่ใหญ่โตของเยี่ยอิงตกอยู่ภายใต้ลำแสงที่หนาวเย็น เกล็ดมังกรสีครามบนลำตัวของนางส่งเสียงสั่นสะเทือนเปรี้ยงปร้าง ราวกับว่าร่างกายถูกกระแสไฟฟ้าช็อตตลอดร่าง 

 

 

นางอ้าปากขึ้นมาส่งเสียงร้องคำราม ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางแสงสีครามก็กลับเป็นสาวน้อยที่งดงามอีกครั้ง 

 

 

นางครางออกมาเบาๆ มุมปากมีเลือดไหลออกมา 

 

 

นางใช้มือข้างหนึ่งกดทรวงอกเอาไว้ เคลื่อนตัวถอยหลังไปอีกหลายเมตร ดวงตาสีครามคู่นั้นจับจ้องไปยังจีเฉวียนอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก 

 

 

บุรุษผู้นี้…..ไม่เพียงสามารถดูดกลืนลำแสงที่หนาวเย็นของนางเอาไว้ได้ ยังถึงกับตอบโต้ด้วยพลังที่เหนือล้ำยิ่งกว่าย้อนใส่ร่างของนาง ทำให้นางไม่อาจคงอยู่ในรูปมังกรต่อไปได้ 

 

 

สามารถหยิบยืมพลังของผู้อื่นมาเป็นพลังของตนเอง …..ใต้หล้านี้ถึงกับมีผู้ที่สามารถดูดกลืนพลังของเผ่ามังกรทมิฬอยู่ด้วย? 

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะว่าพวกนางไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพวกมนุษย์มานานแล้ว จึงไม่รู้ว่าตอนนี้พวกมนุษย์เปลี่ยนเป็นเก่งกล้าถึงขนาดนี้แล้ว? 

 

 

เยี่ยอิงถูกลำแสงหนาวเย็นของตนเองย้อนเข้าใส่ตัว เกิดความปวดแปลบในอก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ อาณาเขตทั้งสิบลี้ทั่วท้องทะเลคล้ายจะถูกส่องจนสว่างจ้า 

 

 

สิ่งมีชีวิตต่างๆก็พากันหลบหนีอย่างสุดชีวิตราวกับเจอผีหลอก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้ว่าจีเฉวียนนั้นเก่งมาก แต่ก็ยังนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีความสามารถถึงขนาดที่ดูดกลืนพลังของผู้อื่นมาแล้วส่งย้อนกลับไปด้วยความรุนแรงกว่าเดิม 

 

 

ในแสงที่หนาวเย็นเมื่อสะท้อนกลับไปก็มีพลังหยินที่ซับซ้อนจากร่างของเขาปะปนอยู่ด้วย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูเขาแวบหนึ่ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นหรี่ตาลง ฐานะที่แท้จริงของฮ่องเต้ผู้นี้ เกรงว่าคงจะซับซ้อนยิ่งกว่าที่นางเคยคาดคิดเอาไว้เสียอีก 

 

 

อีกด้านหนึ่ง เยี่ยอิงกดทรวงอกเอาไว้ เนื่องเพราะเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นร่างมังกร เสื้อผ้าที่สวมติดกายในตอนนี้จึงขาดวิ่น เผยให้เห็นท่อนแขนบอบบางและท่อนขาเรียวยาวได้รูป 

 

 

บนท่อนแขนนั้นยังมีร่อยรอยของเกล็ดมังกรให้เห็นอยู่จางๆ 

 

 

นางกุมดาบโซ่เอาไว้ในมือ จับจ้องไปยังจีเฉวียน “เจ้าเป็นใครกันแน่?” 

 

 

นางเคยได้ยินพระมารดาเอ่ยว่า มีชนเผ่าที่สามารถดูดซับพลังของผู้อื่นมาเป็นพลังต่อสู้ของตนเอง 

 

 

เผ่าหมิง 

 

 

แต่เผ่าหมิงนี้หายสาปสูญไปนานปีแล้ว แถมบุรุษตรงหน้าผู้นี้….ก็มีเลือดเนื้อ เป็นมนุษย์อย่างแน่นอน 

 

 

เขาเป็นฮ่องเต้ของเผ่ามนุษย์ แล้วจะไปเกี่ยวข้องกับเผ่าหมิงได้อย่างไรกัน 

 

 

จีเฉวียนมิได้ตรัสตอบนาง เพียงกุมกระบี่เหมันต์เอาไว้ในมือ ขยับร่างเพียงเบาๆก็พุ่งไปถึงเบื้องหน้าของเยี่ยอิง 

 

 

เขาเหลือบแลดูนาง จากด้านบน “เจ้าเพียงต้องจดจำเอาไว้ว่า เรามิใช้ผู้ที่เจ้าจะสามารถหาเรื่องได้!” 

 

 

ว่าแล้ว ก็หันไปมองดูตู๋กูซิงหลันที่อยู่ข้างกาย เอ่ยอย่างเรียบเรื่อยว่า “นาง ก็เช่นกัน” 

 

 

ใต้หล้านี้ หากว่ามาหาเรื่องกับคนอย่างจีเฉวียนอาจจะยังพอมีทางรอดอยู่สายหนึ่ง แต่ว่าหากหาเรื่องนาง….ต่อให้ต้องขึ้นสวรรค์หรือลงนรกจีเฉวียนก็ไม่มีทางปล่อยไปอย่างเด็ดขาด 

 

 

เยี่ยอิงคร้านจะฟังคำพูดเลี่ยนๆของเขาอีก นางกุมด้าบดาบโซ่ที่ร้อยเรียงกันเอาไว้อย่างแนบแน่น นัยตาสีครามเปล่งประกายลึกล้ำขึ้นมา 

 

 

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางมารับตัวเจ้าสาวให้กับพี่ชาย คิดไม่ถึงว่าแค่ครั้งแรกก็จะได้เจอกับผู้เข็มแข็งเข้าแล้ว 

 

 

นางยังไม่ทันได้ขยับมือ ก็เห็นจีเฉวียนสะบัดกระบี่ออกมา เพลงกระบี่กวาดผ่านเพียงครั้งเดียวพลังก็พุ่งตัดผ่านสายน้ำมาถึง 

 

 

พลังที่มืดครึ้มสายหนึ่งแปรเป็นจิตกระบี่ ตัดผ่านน้ำทะเลจนแยกออกจากกัน พุ่งออกไปยังภูเขาเล็กๆที่อยู่ใต้ทะเลซึ่งห่างไปไม่ไกล ตัดผ่าภูเขาลูกนั้นจนกลายเป็นสองส่วน! 

 

 

ภาพที่ปรากฏนั้นน่าตื่นตระหนกอย่างที่สุด! 

 

 

“เจ้าไม่ใช่คู่มือของเรา” จีเฉวียนทอดพระเนตรดูนางด้วยสายพระเนตรเย็นชา แววตาส่องประกายย้ำเตือน 

 

 

เยี่ยอิงพลิกร่างหลบ เกือบจะโดนตัดแขนขาดไปทั้งข้าง 

 

 

ก่อนหน้านี้นางโดนตัดกรงเล็บมังกรทิ้งไปแล้ว ตอนนี้ใต้แขนเสื้อมีแต่ความว่างเปล่า ปากแผลก็ยังปิดไม่สนิท พอขยับก็ยังมีเลือดไหลซึมออกมา 

 

 

ดวงตาของนางสงบนิ่ง ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างวู่วามอีก แต่เอื้อยเอ่ยบางสิ่งอยู่ในใจ 

 

 

ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาด เคลื่อนมาทางด้านหลังของนาง 

 

 

จากนั้นก็เห็นแสงสีฟ้าที่สว่างวาวแล้วก็จางหายสับกันไปมาจากท้องทะเลที่ไกลออกไป พอได้ยินเสียงแปลกประหลาดนั้นอีกครั้ง ก็เห็นแมงกระพรุนตัวใหญ่ที่ติดตามนางมาแต่แรกว่ายมาถึง 

 

 

มันมีขนาดราวห้องเล็กๆห้องหนึ่ง กระโปรงชั้นนอกเป็นสีฟ้า ชั้นในเป็นสีเงินยวง ราวกับถูกคลุมด้วยผ้าโปรงสีผ้าผืนบาง 

 

 

บนผ้าโปรงผืนนั้นยังมีประกายระยิบระยับงดงามน่าดูอย่างยิ่ง 

 

 

เมื่ออยู่ใต้ทะเลลึกเช่นนี้ ก็ดูเหมือนดั่งยอดงานศิลปะที่งดงามชิ้นหนึ่ง แม้แต่ตู๋กูซิงหลันยังอดจะมองดูอยู่หลายรอบไม่ได้ 

 

 

แมงกระพรุนตัวนั้นหยุดลงที่ข้างกายของเยี่ยอิง โบกกระโปรงสีฟ้าที่โปร่งบางของมันไปมา ประกายแสงจากร่างของมันสะท้อนลงไปบนใบหน้าของเยี่ยอิงจนเกิดแสงระยิบวับวาว 

 

 

จีเฉวียนมองดูเจ้าตัวประหลาดนั่น ในสมองอดไม่ได้ที่จะคิดไปว่า ตู๋กูซิงหลันชมชอบสิ่งของที่ระยิบระยับแวววาว 

 

 

พระองค์ไม่ค่อยได้ลงมาใต้ทะเล ดังนั้นแม้แต่พระองค์ก็ยังทรงรู้สึกว่าสิ่งนี้สวยงาม 

 

 

ฮ่องเต้ทรงคิดไปว่า หากเฉือนกระโปรงชั้นนอกของเจ้าสิ่งนี้ออกมา ทำเป็นเสื้อผ้าให้นางสวมใส่ คงจะยิ่งงดงามน่าดู 

 

 

พอความคิดบังเกิด พระองค์ก็กระชับกระบี่พุ่งออกไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร แต่เพราะว่าตัวนางไม่มีลูกแก้ววารี ย่อมไม่อาจออกห่างจากเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ 

 

 

หลังจากนั้นก็เห็นเขาพุ่งมาถึงข้างกายแมงกระพรุน วาดกระบี่ออกไปเบาๆ เกิดเป็นปากแผลแห่งหนึ่งบนกระโปรงของแมงกระพรุน 

 

 

“ฟู่….” ทันใดนั้นเอง ของเหลวงเข้มข้นสีฟ้าก็ไหลพรูออกมาจากกระโปรงของมัน 

 

 

ของเหลวนั่นแพร่กระจายไปในน้ำอย่างรวดเร็ว จนเกิดกลิ่นเหม็นยากจะทนทาน 

 

 

ทั้งเหม็นและทั้งแสบตา! 

 

 

แต่ไหนแต่ไรจีเฉวียนก็ทรงมีความรู้สึกไวต่อกลิ่นเหม็นอยู่แล้ว พระองค์กลั้นนาสิกในทันที แต่ว่าในชั่ววินาทีนั้น เจ้าแมงกระพรุนก็แง้มกระโปรงของมันออกมาช่องหนึ่ง พลางครอบกระโปรงลงมาบนศีรษะของพวกนาง 

 

 

อย่าได้เห็นว่ามันร่างกายใหญ่โต ที่จริงยังเคลื่อนไหวได้รวดเร็วประดุจสายฟ้า 

 

 

ความเคลื่อนไหวทั้งหมดใช้เวลาไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น 

 

 

ทั้งตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนก็ถูกมันกลืนลงไปในตัวแล้ว 

 

 

ทันทีที่หลุดเข้าไป ภายในตัวแมงกระพรุนก็เกิดปุ่มหนามเล็กๆมากมายงอกออกมา แม้ไม่ใช่หนามแหลมอันใด แต่ว่าปุ่มหนามที่เรืองแสงสีฟ้าเหล่านั้นก็คืบคลานเข้ามาแนบติดกับร่างกายของพวกนาง 

 

 

แม้แต่หมอกสีดำบนร่างของจีเฉวียนก็ยังไม่อาจป้องกันตนเองไปจากมันได้ 

 

 

พลังในการแทรกซึมของมันสูงล้ำอย่างยิ่ง พอสัมผัสกับร่างกายก็ทำให้ผิวพรรณของพวกเขาถูกอาบย้อมเป็นสีฟ้า ร่างกายหนักอึ้งลงไปในทันที 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” 

 

 

ตอนนี้ในใจของนางมีแต่ความสับสนไปหมด นอกจากคำว่า ‘งี่เง่า’แล้วนางก็ไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาอธิบายจีเฉวียนได้อีก 

 

 

วิญญาณทมิฬ “ไม่ ไม่ ไม่ เจ้าควรจะเรียกเขาว่า สหายควายน้อย” 

 

 

แมงกระพรุนเป็นสัตว์ที่มีพิษ 

 

 

แมงกระพรุนที่มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ พิษจะต้องร้ายแรงมากอย่างแน่นอน 

 

 

จีเฉวียนวาดกระบี่ใส่มัน มันย่อมต้องกระจายพิษออกมา ตอนนี้พวกนางถูก ‘จับ’ เข้าไปในตัวแมงกระพรุน ทั้งยังถูกของเหลวสีฟ้านั่นแทกซึมเข้าสู่ร่างกาย ต้องเรียกว่าโดนพิษซ้ำแล้วซ้ำอีก 

 

 

แต่เมื่อถูกจีเฉวียนสาดสายพระเนตรเย็นชาใส่ วิญญาณก็ต้องปิดปากลง พลางลูบก้นของตนเองไปมา  

 

 

พอเยี่ยอิงเห็นคนทั้งสองถูกกักเอาไว้ในแมงกระพรุน ร่างกายที่ฝืนอดทนมาตลอดก็สิ้นสติไป 

 

 

 

 

 

 

 

 

…………………………………. 

 

 

ไรท์: ถ้าคิดว่าเรื่องนี้ชักจะออกทะเลมากไปแล้ว ขอให้รู้ว่ายังคะ ยังไม่พอ! เพราะเราจะดำลงไปอีก! 

 

 

ตอนต่อไป “ทะเลลึกไร้ก้น”