ตอนที่ 1995 การจู่โจมอันน่าตื่นตระหนก

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

เงาร่างภิกษุเหล่านี้ เริ่มแรกเห็นเป็นเงารางๆ แต่สักพักก็เปล่งแสงสีทองออก กลายเป็นรูปปั้นที่จับต้องได้องค์แล้วองค์เล่า

แต่ละองค์ล้วนเปล่งแสงสีทองอร่าม ประหนึ่งทำมาจากทองคำบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น

“เทวรูปร่างทอง! ไม่ถูก ก็แค่ของเลียนแบบสั่วๆ เท่านั้น”

หนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตตะลึงงันก่อน ทว่าหลังจากใช้พลังจิตกวาดตาดูรูปปั้นภิกษุทั้งสิบแปดองค์ กลับยิ้มเย็นชาอย่างเย้ยหยันออกมาอีก

“ต่อให้เป็นร่างทองแบบสั่วๆ สิบแปดองค์ก็เพียงพอที่จะกำราบมารขจัดปีศาจแล้ว”

ภิกษุเฒ่ากลับพูดเบาๆ แล้วมือทั้งสองข้างก็ทำท่าร่ายอาคมทันที ด้านหลังของศีรษะพลันเกิดรัศมีแสงเจ็ดสีขนาดเล็กใหญ่หลายจั้งวงหนึ่ง

พอรูปปั้นภิกษุสีทองสิบแปดองค์ถูกรัศมีแสงเจ็ดสีฉายผ่าน ก็ทยอยกันเบิกเนตร ยกมือยกเท้า มีชีวิตขึ้นมา

เมื่อร่างแยกของเซวี่ยกวงเห็นดังนี้ สีหน้าก็เคร่งขรึมลง ยกมือขึ้นลูบหลังศีรษะโดยไม่พูดจาใดๆ

เสียงเสียดแก้วหูดังมา โครงกระดูกยักษ์เต็มตัวสีแดงสดโผล่ออกมาอย่างน่าพิศวง

มันมีขนาดราวห้าถึงหกจั้ง เป็นโครงกระดูกใสสีแดงสดทั้งตัว และมีไอสีเทาขาวลอยรอบตัวตลอด หลังจากปรากฏตัว ปากก็พ่นแสงโลหิตออกมาไม่หยุดขณะร้องคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง ปราณชั่วร้ายกลุ่มหนึ่งพุ่งสู่ท้องฟ้า

ชายชราผมสีเงินไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกพัดขนนกเจ็ดสีในมือสุดแรงเกิดให้พัดออกไปไกล จากนั้นก็สั่นข้อมือ ขว้างห่วงรวมศูนย์สีเงินยวงทั้งห้าออกไป

พัดขนนกเจ็ดสีเป็นสมบัติวิญญาณที่หานลี่เคยทำเลียนแบบตอนอยู่โลกมนุษย์…พัดเจ็ดเปลว

ช่วงนั้นสมบัติวิญญาณลอกเลียนแบบชิ้นนี้ได้ช่วยเขากำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งไปไม่รู้เท่าไหร่ ตอนนี้ถึงคราวของแท้สำแดงเดชแล้ว อานุภาพย่อมไร้เทียมท่านยิ่งกว่า

พอเห็นพัดขนนกส่งเสียงคำราม อักขระยันต์สีแดงเข้มนับไม่ถ้วนก็โผล่พรวดๆ ออกมา นกไฟสีแดงเข้มตัวหนึ่งพุ่งขึ้น ทีแรกมีขนาดไม่เกินหนึ่งศอก แต่พอกะพริบแสงไม่กี่ครั้ง ก็กลายเป็นนกยักษ์สูงราวสิบจั้ง

นกไฟเพียงกระพือปีกทั้งสองข้างเบาๆ ขนทั่วทั้งร่างก็ปล่อยเปลวแสงเจ็ดสีออกมาทันที ทั่วท้องฟ้าเต็มไปด้วยลมหายใจอันร้อนระอุ รัศมีแสงเจ็ดสีวงแล้ววงเล่าพุ่งเข้าปกคลุมร่างแยกของเซวี่ยกวง

ส่วนห่วงเงินทั้งห้า พริบตาที่ถูกขว้างออกไป ก็กลายเป็นห่วงยักษ์ห้าห่วงเรียงรายกัน ท้องฟ้าคล้ายเกิดดวงจันทร์เต็มดวงสีเงินห้าดวง ส่งเสียงแปลกๆ ดังหึ่งๆ ก่อนพุ่งสู่ด้านล่าง

ภิกษุจินเย่ว์ลงมืออย่างรวดเร็ว ไม่ช้าไปกว่าชายชราผมสีเงินแม้แต่น้อย ปากท่องคาถา แล้วรูปปั้นภิกษุสีทองสิบแปดองค์ที่ล้อมรอบตัวเขา ก็หายวับไปอย่างน่าพิศวง

ถัดมา พอแสงสีทองรอบๆ หนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตสว่าง รูปปั้นภิกษุสิบกว่าองค์ก็วาบขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง แม้มือเท้าไม่ขยับ แต่คลื่นพลังมหาศาลที่มองไม่เห็นลูกแล้วลูกเล่าได้พุ่งผ่านอากาศกดดันไปยังจุดกึ่งกลาง

ร่างแยกของเซวี่ยกวงหน้าเครียด แต่หลังจากแค่นเสียงเย็นชา เมฆมารสีแดงโลหิตก็โผล่ออกจากผิวกาย

เป็นกลุ่มๆ พอสะบัดแขนเสื้อ กลุ่มแสงโลหิตนับไม่ถ้วนก็สาดออกรอบทิศ ขณะเดียวกัน โครงกระดูกสีแดงโลหิตที่อยู่ด้านหลังก็พร่ามัว กลายเป็นเงาร่างสายหนึ่งเผชิญหน้ากับนกไฟเจ็ดสีตัวนั้นทันที

ชั่วขณะนั้น เกิดเสียงดังกระหึ่มใกล้ๆ กับเมฆโลหิต ผู้เฒ่าทั้งสองอาศัยการใช้ประโยชน์จากสมบัติวิเศษกับค่ายกลต้องห้าม โรมรันกับร่างอวตารบรรพชนศักดิ์สิทธิ์

…..

‘ครืน’ เสียงอู้อี้คล้ายเสียงฟ้าร้อง!

หานลี่รู้สึกแต่เพียงมือทั้งสองข้างร้อน ยอดเขาสูงสิบกว่าจั้งสองลูกหลุดออกจากมือ ปลิวไปทันที ร่างจึงสะดุ้ง และกระเด็นออกไปไกลสิบกว่าจั้ง พอพลิกตัวกลับมา ค่อยยืนให้มั่นกลางอากาศใหม่ ไม่ขยับเขยื้อนแล้ว แต่สีแดงคล้ำที่ไม่ค่อยปกติชั้นหนึ่งวาบขึ้นบนใบหน้าและหายไป

ส่วนชายฉกรรจ์เผ่ามารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ร่างยักษ์ก็สะดุ้งและถอยออกไปไกลสิบกว่าจั้ง ภาพมายาของกระบองยักษ์สีเขียวคล้ำในมือก่อนหน้านี้ก็หลุดมือและปลิวออกไปเช่นเดียวกัน

ส่วนอีกด้าน ร่างทองสามเศียรหกกร กลับต่อสู้กับร่างดำสนิทดุจหมึกทั้งร่าง ประหนึ่งสัตว์ประหลาดผีภูเขาสู้กันอย่างสนุกสนาน

ท่ามกลางการเตะต่อยของทั้งสอง ฝ่ายหนึ่งแสงสีทองกะพริบถี่ ส่งเสียงปริแตกไม่หยุด อีกฝ่ายปราณมารเดือดพล่าน ดวงตาสีดำอันดุดันสาดส่องไปทั่ว ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน

แต่ไม่ว่าจะเป็นร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ หรือสัตว์ประหลาดรูปร่างมนุษย์ฝ่ายตรงข้าม ขณะใช้แรงมหาศาลเตะต่อยคู่ต่อสู้ ล้วนคล้ายกำลังตบแมลงวันอย่างไรอย่างนั้น ไม่สนใจไยดีแต่อย่างใด อย่างมากหลังจากร่างสั่นไหวไม่กี่ครั้ง ก็ทะยานเข้าจู่โจมกันอีก ราวกับร่างเป็นเหล็กกล้าที่ไม่บุบสลายก็มิปาน

“ไม่เลวๆ อาศัยเพียงร่างที่มีเลือดเนื้อก็สู้กับข้าได้อย่างยากตัดสินแพ้ชนะ ข้ากลับพบเจอเป็นครั้งแรกจริงๆ แต่ถ้ามีพลังเพียงเท่านี้ สู้กันต่อก็ไม่มีความหมายแล้ว”

ชายฉกรรจ์เผ่ามารสะบัดข้อมือที่ร้อนดุจไฟเผาอยู่บ้าง สีหน้าที่คลุ้มคลั่งจางหาย ขณะพูดอย่างเย็นชา

“เจ้าไม่รู้สึกว่าพูดจาไร้สาระมากเกินไปหรอกหรือ!”

พอหานลี่ได้ยิน ก็ตอกกลับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลังวิญญาณมหาศาลในร่างโคจรสักพัก ความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยในร่างกายก็กลับเป็นปกติทันที

“เฮอะ ยากนักที่ผู้แซ่ซยงจะใจดี อยากให้เจ้าอยู่ต่ออีกหน่อย ในเมื่อไม่รับน้ำใจ ส่งเจ้าลงนรกก็แล้วกัน!”

ชายฉกรรจ์เผ่ามารหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง เงามารที่ด้านหลังกะพริบเป็นระยะ พอหยุดก็กลายเป็นร่างเสมือนจริง ซึ่งก็คือสิงโตยักษ์สามเศียร

หลังจากร่างสิงโตมารแจ่มชัด พลังปราณขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านี้ลิบลิ่วกลุ่มหนึ่งก็กระจายออกจากร่างของชายฉกรรจ์ เกราะบนร่างส่งเสียงดัง ‘พรึ่บ’ เปลวแสงสีโลหิตชั้นหนึ่งปกคลุมทั้งร่างทันที

ชายฉกรรจ์หัวเราะอย่างชั่วร้าย จากนั้นก็ค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้น กางนิ้วทั้งห้าเล็งไปที่ที่หานลี่ยืนอยู่ แล้วค่อยๆ หลับตาลง

ดวงตาทั้งหกของสิงโตมารสามเศียรที่เดิมทีหลับอยู่ค่อยๆ ลืมขึ้น และจ้องวานรยักษ์ไม่วางตา ม่านตาสีเขียวดุจน้ำ ไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย

เมื่อหานลี่เห็นดังนี้ ก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตะโกนเสียงดังออกมาด้วยความตกใจทันที ก่อนใช้มือเดียวทำท่าร่ายอาคม ร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังต่อสู้พัวพันกับสัตว์ประหลาดสีดำในระยะไกลหายวับไปในอากาศ ขณะที่ร่างของเขากำลังขยายตัว พริบตาเดียวก็ลายเป็นวานรยักษ์ขนทองสูงสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง

พอแสงสีทองด้านหลังของวานรยักษ์กะพริบ เงาร่างสีทองสามเศียรหกกรก็ปรากฏ ก่อนพุ่งไปรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับวานรยักษ์

พลังปราณในร่างของวานรขนทองจึงเพิ่มขึ้นไม่น้อย พอมือทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ก็ปรากฏยอดเขาสองลูกลอยอยู่กลางฝ่ามือแต่ละข้าง หนึ่งเขียวหนึ่งดำ

ขณะนั้น แสงโลหิตบนฝ่ามือทั้งสองข้างของชายฉกรรจ์ที่ฝั่งตรงข้ามกะพริบ ก่อนพ่นลำแสงโลหิตเหนียวหนึบที่ราวกับเป็นของร่างจริงออกมาสองลำ สิงโตมารสามเศียรที่อยู่ด้านหลังก็อ้าปากว้าง และพ่นลำแสงสีเขียว ขาว ดำ ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงออกมาเช่นกัน

เพียงวาบครั้งเดียว พอลำแสงห้าลำวาบ ก็หลอมรวมเป็นหนึ่งระหว่างทาง กลายเป็นลำแสงสี่สีที่หนาเพิ่มมากขึ้นลำหนึ่ง

ลำแสงนี้พุ่งมาเงียบๆ แต่พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ในนั้นทำให้หานลี่ซึ่งเพิ่งแปลงร่างเป็นวานรยักษ์สะดุ้งตกใจขึ้นมาเหมือนกัน แสงสีเขียวขุ่นจึงถูกปล่อยออกจากฝ่ามือทั้งสองข้างทันทีโดยไม่ต้องคิด ถ่ายพลังภายในเข้าไปในยอดเขาทั้งสองลูกอย่างรวดเร็วดุจกระแสน้ำ

เสียง ‘ครืน’ ดังขึ้นสองครั้ง ยอดเขาสีเขียวและสีดำสั่นคลอน ยกตัวขึ้นจากพื้นดิน กลายเป็นแสงกะพริบสูงหลายร้อยจั้ง ปกปักรักษาวานรยักษ์ไว้อย่างแน่นหนา

หลังจากลำแสงสี่สีวาบ ก็ชนเข้ากับยอดเขาทั้งสองอย่างแรง

สิ้นเสียงดังลั่นแบบฟ้าถล่มดินทลาย รัศมีแสงแต่ละสีก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ายอดเขา เปลวแสงเดือดพล่านที่แปลงมาเพียงม้วนตัว กลับกลายเป็นสูงกว่าพันจั้ง ยอดเขาสองลูกอีกวานรยักษ์ที่อยู่ด้านหลังจึงจมลงไปในนั้น

ขณะเปลวแสงวาบ ผิวของสองสุดยอดภูเขาก็บิดตัวสั่นคลอน หดตัวคืนกลับที่เดิมอย่างรวดเร็ว ก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ

เมื่อปราศจากสองสุดยอดภูเขากั้นขวาง พลังอันน่าสะพรึงกลัวทั้งหมดก็กลิ้งไปทางวานรยักษ์

วานรยักษ์ขนทองคำรามอย่างเดือดดาล ท่ามกลางไอดำที่ลอยวนอยู่บนเกราะอาคมสีดำ อักขระสีดำนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมา ก่อตัวเป็นม่านแสงขนาดมหึมาหนึ่งชั้น ยืนหยัดกั้นขวางเปลวแสงที่ดูเหมือนทำลายได้ทุกสิ่งอยู่ด้านนอก

ขณะเปลวแสงกับอักขระสีดำปะทะกัน ก็ส่งเสียงคำรามอันน่าตื่นตระหนกออกมา

พอม่านแสงที่แปลงมาจากอักขระสีดำบิดและเลือนรางทีหนึ่ง ค่อยส่งเสียงที่กินแรงและแสบแก้วหูดัง

‘กรอบแกรบ’ ขึ้น ราวกับสามารถแตกและพังทลายลงได้ทุกขณะ

วานรยักษ์ขนทองทั้งตกใจทั้งโมโหจึงคำรามเสียงดัง หลังจากแสงสีทองหนึ่งชั้นบนผิวกายไหลวน

ร่างก็ขยายใหญ่มากกว่าสิบเท่าทันที ขณะเดียวกัน หลังจากแสงวิญญาณของศีรษะทั้งสองข้างกับลำตัวด้านล่างสว่างวาบ พลันมีหัวสองหัวกับแขนสีทองสี่ข้างเพิ่มขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลายสภาพเป็นวานรยักษ์สามเศียรหกกรที่สูงคับฟ้า รวมทั้งพอแปลงร่างเสร็จ แขนทั้งหกก็เอื้อมมือไปจับท้องฟ้า แสงสีทองเจิดจ้าหกกลุ่มปรากฏขึ้นพร้อมกัน ก่อนไปรวมตัวกันตรงหน้า แล้วกระแสน้ำวนสีทองวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ พอสั่นหนึ่งครั้งก็เปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่ราวหนึ่งหมู่

กระแสน้ำวนสีทองหมุนเพียงเล็กน้อย พลังมหาศาลก็ม้วนตัวออกไปชนเปลวแสงหลากสีอย่างแรง

หลังจากเกิดเสียงดังจนหูแทบแตกอีกครั้ง คลื่นอากาศลูกแล้วลูกเล่าก็พัดออกไปทุกทิศทางดุจพายุไต้ฝุ่นทำให้ที่ว่างใกล้เคียงมัวซัวบิดเบี้ยว ส่งเสียงระเบิดดังเสียดแก้วหู ราวกับที่ว่างทั้งหมดกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างไรอย่างนั้น

พอชายฉกรรจ์เผ่ามารที่อยู่ไกลออกไปเห็นภาพอันน่าตื่นตระหนกนี้ หน้าก็เปลี่ยนสีโดยไม่รู้ตัว ขณะเปลี่ยนความคิด นิ้วทั้งห้าของมือทั้งสองข้างก็ประกบเข้าหากัน เก็บลำแสงสีทองที่พ่นออก แล้วหายวับไปทันที

ทว่าชายฉกรรจ์ในตอนนี้ สีหน้ามีแววอ่อนล้าเล็กน้อย เหมือนการจู่โจมเมื่อครู่กินพลังปราณแท้ไปไม่น้อยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน สิงโตมารสามเศียรที่อยู่ด้านหลังเขาก็หยุดจู่โจมด้วยการปิดปากที่ใหญ่โตลง แสงจากจิตสัมผัสของดวงตาทั้งหกสลัวลงไม่น้อย

ทว่าในที่สุด หลังจากภาพประหลาดอันน่าตื่นตระหนกจากระยะไกลหายไป ภาพจริงปรากฏขึ้นอีกครั้ง พอชายฉกรรจ์เผ่ามารเห็นกับตาตัวเอง หลังจากมุมปากกระตุก ใบหน้าก็หลุดอาการตกใจออกมาเป็นครั้งแรก

เห็นเพียงวานรยักษ์ยืนตรงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ในที่ที่ห่างออกไป แต่แขนแต่ละข้างทั้งหกกลับทำท่าร่ายอาคมไม่หยุด กระแสน้ำวนสีทองพื้นที่ราวหนึ่งหมู่ซึ่งเดิมทีอยู่ตรงหน้า ไม่เพียงไม่หายไป กลับพองตัวเพิ่มขึ้นอีกกว่าสิบเท่า เสียงดัง ‘วิ้งว้าง’ ยุบๆ พองๆ ไม่หยุด แถมยังปรากฏคลื่นสีทองอ่อนเป็นวงๆ ออกมาจากจุดกึ่งกลางอีก ดูพิลึกกึกกือยิ่ง

“การจู่โจมของข้าเมื่อครู่ ถ้าพูดถึงฤทธิ์เดช ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าการจู่โจมง่ายๆ จากมือระดับมหายานมากมาย แต่เจ้ากลับไม่เป็นไรเลย เห็นทีข้าดูเบาเจ้าไปบ้างจริงๆ”

แววตาชายฉกรรจ์เผ่ามารฉายความทึ่งออกมาวาบหนึ่งขณะพูด

“ดีมาดีตอบ ร้ายมาร้ายตบ เจ้ารับการจู่โจมจากข้าก่อน ค่อยพูดประโยคนี้ก็ยังไม่สาย”

ดวงตาทั้งหกของวานรยักษ์ฉายแววเย็นวาบ ขณะพ่นคำพูดเย็นชาออกมา จากนั้นแขนทั้งหกก็สั่น พลางเอื้อมมือไปจับที่ว่างตรงหน้าอย่างดุดัน

เสียงดัง ‘พรึ่บ’

หลังจากกระแสน้ำวนขนาดใหญ่หมุนวนอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ กลับถูกพลังไร้รูปมหาศาลกลุ่มหนึ่งบีบอัดกะทันหัน จนกลายเป็นดวงแสงสีทองขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่ง

จากนั้นขาของวานรยักษ์ก็ก้าวไปข้างหน้า หลังจากร่างกายขนาดใหญ่และดวงแสงที่อยู่ตรงหน้าพร่ามัว ก็สั่นไหวและหายวับไปในเวลาเดียวกัน

ถัดมา ชายฉกรรจ์เผ่ามารหรี่ตาลง และเงยหน้าขึ้นทันที

บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีทอง ร่างวานรยักษ์ยืนอยู่บนที่สูงอย่างไร้สุ้มเสียง กำลังจะขว้างดวงแสงสีทองในมือลงไปแรงๆ