บทที่ 447.2 ลมหิมะสอดผสาน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เวลานี้เฉินผิงอันยืนอยู่กลางระเบียง ห้องโถงหลักด้านหลังตั้งบูชาองค์เทพหลิงกวานใบหน้าเป็นสีแดง หนวดเครายาวเฟิ้ม สวมชุดคลุมสีเหลือง ห่มเกราะสีทอง ในมือถือแส้เหล็ก ยืนอยู่ในท่าไก่ทองขาเดียว (ท่ายืนขาเดียว อีกขาหนึ่งยกงอตั้งฉาก) เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี

เล่าลือกันว่าคือหนึ่งในหลิงกวานดั้งเดิมจำนวนสองร้อยกว่าองค์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของลัทธิเต๋า

และยิ่งมีข่าวลือที่ลึกลับยิ่งกว่านั้น ซึ่งเพิ่งจะมาแพร่หลายในใต้หล้าไพศาลช่วงเกือบร้อยปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตบนและเซียนดินอย่างหลิวจื้อเม่าเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติได้ยินเรื่องนี้

นั่นก็คือเต๋าเหล่าเอ้อร์ที่มีชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ว่าผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมที่แท้จริง หนึ่งในเจ้าลัทธิสามท่านของลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิงของรุ่นก่อน ได้เสนอให้มีรายชื่อเทพหลิงกวานลัทธิเต๋าห้าร้อยองค์ ทุกคนที่อยู่ในสามใต้หล้า ต่อให้เป็นเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ หรือแม้แต่คนที่เดิมทีไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิเต๋า ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของอีกสองลัทธิหรือเมธีร้อยสำนักก็ล้วนมีโอกาส หากสะสมผลบุญและโชควาสนาได้มากพอก็สามารถได้รับตำแหน่ง สุดท้ายได้ถูกนำมาตั้งบูชาอยู่ในตำหนักหลิงกวาน ดื่มด่ำควันธูปอย่างไร้ขีดจำกัดอยู่ในหนึ่งในห้านครใหญ่ของป๋ายอวี้จิง

ถ้าเช่นนั้นหากตัดองค์เทพหลิงกวานที่ ‘อยู่ในลำดับเซียน’ สองร้อยกว่าองค์ทิ้งไป นี่ก็หมายความว่ายังมีตำแหน่งเทพว่างอีกถึงครึ่งหนึ่ง โชคชะตาสวรรค์กำหนด เหลือตำแหน่งว่างไว้รอคอย

เฉินผิงอันเดินลงจากขั้นบันได ปั้นหิมะเป็นก้อนกลม มือทั้งสองบีบกระชับลูกหิมะในมือให้แน่น เขาไม่ได้เดินไปที่ตำหนักหน้า เพียงแค่เดินสาวเท้าวนเวียนไปมาอยู่ในลานระหว่างตำหนักทั้งสอง

นี่คงจะเป็นความหมายประมาณว่าน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองกระมัง

เฉินผิงอันคิดถึงเรื่องในใจบางอย่าง

ทักษินาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีป ทวีปทั้งสามที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดมีสมบัติสำคัญเผยกายบนโลก เหล่าผู้กล้าพากันไปช่วงชิง ตู้เม่าบินทะยานล้มเหลว เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสกระจัดกระจายไปสี่ทิศ โชควาสนาใหญ่ครั้งนี้ เล่าลือกันว่าชักนำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนหลายคนในแจกันสมบัติทวีปกรูกันมาแย่งชิง

จากนั้นก็มีข่าวลือเกี่ยวกับตำแหน่งเทพหลิงกวานห้าร้อยองค์นี่อีก

นี่ก็คือสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าที่แท้จริง

หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์วุ่นวายในใบถงทวีปที่เฉินผิงอันประสบพบเจอมากับตัว และก็ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย โชคดีที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ถูก ‘นักพรตหนุ่ม’ ที่มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งของศาลบรรพจารย์ให้เล่นงานเสียจนอ่วม

จงขุยก็ยิ่งต้องกลายเป็นผี สูญเสียสถานะวิญญูชนของสำนักศึกษาด้วยสาเหตุนี้

บนมหามรรคาเต็มไปด้วยอันตรายใหญ่หลวง แต่ก็ลี้ลับเกินจะหยั่ง นี่ก็เพราะอันตรายและโอกาสล้วนดำรงอยู่คู่กัน จะจับปลาในน้ำขุ่นจนได้ผลประโยชน์ ถึงขั้นได้เป็นเศรษฐีร่ำรวยภายในค่ำคืนเดียว เหนือกว่าการเก็บหอมรอมริบสะสมมานานเป็นร้อยปี หรือมหามรรคาจะเกิดความเสียหาย ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังต้องดูว่าความสามารถของผู้ฝึกตนสูงหรือไม่ เมื่อสถานการณ์ใหญ่ม้วนหอบเข้ามา จงขุยแห่งภูเขาไท่ผิงเป็นเช่นนี้ ตู้เม่าแห่งใบถงทวีปก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกว่าดีหรือเลว

เรื่องเหล่านี้รู้แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์ แต่เมื่อเทียบกับการถูกปิดหูปิดตาตั้งแต่ต้นจนจบ การที่พอจะรู้เส้นสายในเรื่องราวบ้างก็ย่อมดีกว่า

เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ต้องผ่านมณฑลและเมืองทั้งเหนือและใต้ของแคว้นสือหาว ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทำความเข้าใจราชสำนัก ยุทธภพและขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้านของแคว้นสือหาวมาตั้งแต่ตอนอยู่บนเกาะชิงเสีย

แคว้นสือหาวเลื่อมใสในลัทธิเต๋า ยกย่องเจินเหรินเซียนอิสระของลัทธิเต๋าท่านหนึ่งเป็นราชครู คำว่าเซียนอิสระนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นนักพรตเต๋านอกเหนือจากสี่สายใหญ่ของลัทธิเต๋า ซึ่งสามสายที่อยู่ใต้บัญชาการณ์ของมรรคาจารย์เต๋า รูปแบบชุดเต๋าที่สวมใส่ก็แตกต่างกันออกไป แต่กวานเต๋าที่สวมไว้บนศีรษะสามารถแยกได้ง่ายที่สุด เพราะแบ่งเป็นกวานพุดตาน กวานหางปลาและกวานดอกบัว ระดับขั้นของนักพรตเต๋าในลัทธิสูงหรือต่ำ กวานเต๋าก็มีรายละเอียดที่ต้องพิถีพิถันอยู่มากเช่นกัน นอกจากนี้ก็คือสายของภูเขามังกรพยัคฆ์ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ที่ถือเป็นกองกำลังลัทธิเต๋าท้องถิ่นของใต้หล้าไพศาล

ว่ากันว่าสิ่งที่ทำให้การกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กคนเถื่อนต้าหลีจากทางเหนือต้องหยุดชะงัก ก็เพราะเจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นคอยเรียกลมเรียกฝน โปรยเมล็ดถั่วเป็นทหารอยู่เบื้องหน้า ปกป้องให้เมืองหลวงไม่ถูกตีแตก คุณความชอบใหญ่หลวงยิ่ง

นอกจากข่าวบนหน้ากระดาษรายงานตระกูลเซียนที่มาจากเกาะปุยหลิวเหล่านี้แล้ว เฉินผิงอันยังตั้งใจจัดงานเลี้ยงสุราที่นครน้ำบ่อ หาโอกาสเหมาะๆ เชิญพี่น้องสองคนของกู้ช่านมา ซึ่งก็คือหันจิ้งหลิงองค์ชายแคว้นสือหาวที่หนีภัยพิบัติมาอยู่ที่นี่เป็นเวลาเกือบหนึ่งปี รวมไปถึงหวงเฮ้อบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ชายแดนแคว้นสือหาว

เฉินผิงอันถามหลายอย่าง แต่พูดคุยกันด้วยเรื่องที่ไม่ลึกซึ้งนัก วางตัวอย่างมีมารยาทเกรงอกเกรงใจ

แม้ว่าหันจิ้งหลิงจะเป็นองค์ชายแคว้นสือหาว เป็นหนึ่งในทายาทสายตรงของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน คือเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ตัวจริงเสียงจริง ออกจากเมืองหลวงมาอยู่พื้นที่ศักดินาหลายปี แต่ยังไม่เคยทำสงครามก็หาข้ออ้างออกจากเขตการปกครองของตน เดินทางลงใต้หนีภัยพิบัติมาอย่างรวดเร็ว นิสัยของเขาจะเป็นเช่นไรคงคาดเดาได้ไม่ยาก แต่เรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ กองทัพม้าเหล็กต้าหลีเดินทางลงใต้ ทุกที่ที่ผ่าน แถบทางเหนือของแคว้นสือหาวที่พยศดื้อดึงล้วนถูกพังราบเป็นหน้ากลอง ไม่เหลือพืชหญ้าสักต้น ไฟสงครามลามปะทุดุเดือด กลับกลายเป็นว่าเขตการปกครองของหันจิ้งหลิงที่เนื่องจากเป็นฝูงมังกรไร้หัว ถึงได้รอดผ่านหายนะครั้งนี้มาได้ ไม่ถูกกองทัพเหยียบย่ำ ในเขตการปกครองนั้น หันจิ้งหลิงจึงได้รับชื่อเสียงดีงามว่า ‘ท่านอ๋องผู้มีคุณธรรม’ มาอย่างน่าประหลาดใจ แต่เฉินผิงอันก็รู้ดีว่า นี่มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นแผนการที่เหล่ากุนซือผู้ประคับประคองมังกรข้างกายหันจิ้งหลิงช่วยวางแผนให้

เมื่อหันจิ้งหลิงเผชิญหน้ากับนักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ แน่นอนว่าต้องพูดทุกอย่างที่รู้ เขาแทบจะควักหัวใจ ควักตับไตออกมาให้ท่านเฉินที่สร้างชื่อกระฉ่อนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนหลายต่อหลายครั้งดูด้วยซ้ำ ส่วนหวงเฮ้อทายาทแม่ทัพใหญ่แคว้นสือหาว ก่อนหน้านี้ได้ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนไปพบบิดาที่สวามิภักดิ์ต่อกองทัพม้าเหล็กต้าหลี ร่วมกันวางแผนสนับสนุนให้หันจิ้งหลิงขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นสือหาว ว่ากันว่าเขาเคยได้พบหน้าซูเกาซานมาแล้วด้วย ดังนั้นการเดินทางกลับนครน้ำบ่อแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ก็เพื่อนำข่าวดีมาบอกกล่าวแก่หันจิ้งหลิง

เฉินผิงอันไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้อง แน่นอนว่าทั้งหันจิ้งหลิงและหวงเฮ้อเองก็ไม่มีความกล้านี้เช่นกัน ทว่านิสัยของคนทั้งสองมีความต่างกันอยู่เล็กน้อย ฝ่ายแรกเป็นเพราะตกอับ ความทะเยอทะยานจึงไม่มาก ส่วนในข้อที่ว่าหากเขาได้กลายเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นสือหาวได้สำเร็จ จะมีชีวิตอย่างไร จะเสียใจภายหลังที่ตอนนั้นเคยทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ในงานเลี้ยงสุรานครน้ำบ่อหรือไม่ หันจิ้งหลิงน่าจะยังไม่คิดไปถึงก้าวนั้น เฉินผิงอันเองก็ไม่สนใจ ส่วนฝ่ายหลังยามที่เผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน ภายใต้สีหน้าที่มองดูเหมือนนอบน้อมถ่อมตนยิ่งกว่าหันจิ้งหลิง หวงเฮ้อกลับซุกซ่อนความคิดที่เหมือนกับสายธนูซึ่งค่อยๆ ถูกขึงจนตึงแน่นเอาไว้ เพราะแม่ทัพใหญ่ซูเกาซานคือภูเขาลูกใหญ่ตระหง่านง้ำที่เป็นดั่งยาสงบใจเม็ดใหญ่สำหรับสกุลหวงกองทัพชายแดน วันใดที่พึ่งพาภูเขาลูกใหญ่นี้ได้จริงๆ ก็อย่าว่าแต่มารน้อยกู้ช่านที่ไม่เหลือความพยศอยู่อีกเลย ต่อให้เป็นเฉินผิงอัน เกรงว่าในอนาคตหากต้องมาเจอกันอีกครั้งก็ต้องปฏิบัติต่อเขาหวงเฮ้ออย่างมีมารยาท

ความกระเหี้ยนกระหือรือที่เล็กน้อยและละเอียดอ่อนเช่นนี้ในจิตใจคน เฉินผิงอันเพียงแค่มองดูอยู่เงียบๆ

ส่วนรายงานของเกาะปุยหลิวที่บอกว่า ฮ่องเต้แคว้นสือหาวออกพระราชโองการ ป่าวประกาศแก่คนในราชสำนัก โดยมีประโยคหนึ่งกล่าวว่า ‘กำเริบเสิบสานไม่สมกับเป็นขุนนาง ใช้อำนาจทางการทหารทำร้ายประชาชน’ ซึ่งเป็นการให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่บิดาของหวงเฮ้อผู้ที่เคยได้รับการแต่งตั้งว่าเป็น ‘โหวผู้จงรักภักดี’ จากฮ่องเต้องค์ก่อนนั้น

หวงเฮ้อที่เพียงแต่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเฉินผิงอันกับหันจิ้งหลิงโดยที่แทบไม่เอ่ยอะไร ก็มีเพียงตอนที่พูดถึงเรื่องนี้เท่านั้นที่แสดงความลับบางส่วนออกมาทางสีหน้า เขาแย้มยิ้มพูดว่าหลังจากบิดาได้ฟังพระราชโองการฉบับนี้แล้วก็ไม่โกรธแม้แต่น้อย กล่าวเพียงว่า ‘ลนลานไปมีแต่จะทำให้เรื่องเลวร้าย’

ตอนนั้นเฉินผิงอันมองใบหน้าของคนหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมพลางยกจอกเหล้าขึ้นดื่มเพียงลำพัง หันจิ้งหลิงที่เห็นว่าเขาดื่มก็รีบเรียกให้หวงเฮ้อยกจอกเหล้าขึ้นดื่มพร้อมกัน

มีความหมายคล้ายเป็นการเฉลิมฉลองร่วมกัน

นี่ทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

งานเลี้ยงบนโต๊ะสุราเช่นนี้ ต้องใช้ความรู้ที่มีจนหมด มารดามันเถอะ ต่อให้เป็นสุราเลิศรสแค่ไหนก็ไม่เหลือความอร่อยอยู่ดี

หลังจากงานเลี้ยงที่มองดูเหมือนทั้งเจ้าภาพและแขกต่างก็เบิกบานใจ พูดคุยกันอย่างถูกคอนั้นจบลง เฉินผิงอันก็ย้อนกลับไปที่เกาะชิงเสียเพียงลำพัง สำหรับซูเกาซานที่เป็นแม่ทัพบู๊ต้าหลีนั้น เฉินผิงอันต้องมองเขาสูงขึ้นอีกครั้งต่อจากคราวก่อนที่เขาสามารถทำให้ถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ตกอยู่ในสภาวะยากลำบากไม่รู้ว่าควรเดินหน้าหรือถอยหลัง

เฉินผิงอันพลันคืนสติ

ที่แท้ตรงตำหนักหน้าก็มีวัตถุหยินร่างสูงใหญ่สวมเกราะตนหนึ่งปรากฏตัว ตอนที่มีชีวิตอยู่อาจจะเคยรับตำแหน่งขุนนางเสี้ยวเว่ย (ชื่อตำแหน่งทางการทหาร) ในสนามรบ

วัตถุหยินตนนี้เดินออกมาจากตำหนักหน้า เท้าซ้ายก้าวข้ามผ่านธรณีประตูมาแล้วกุมหมัดเอ่ยว่า “เซียนซือท่านนี้ ก่อนหน้านี้พวกข้าและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากระทำการล่วงเกินจนเกือบจะรบกวนองค์เทพหลิงกวานในตำหนักหลัก เพราะได้เซียนซือช่วยเอ่ยเตือน จึงช่วยลดความยุ่งยากให้ข้าไปไม่น้อย”

กล่าวมาถึงตรงนี้ วัตถุหยินเสี้ยวเว่ยที่มีใบหน้าขาวเผือดก็ยิ้มอย่างซีดเซียว เอามือสองข้างวางลงบนด้ามดาบยาวที่ห้อยไว้ตรงเอวด้วยความเคยชิน

เสื้อเกราะก็ดี ดาบประจำกายก็ช่าง ล้วนเหมือนกับร่างของวัตถุหยินตนนี้ที่ต่างก็เป็นภาพจำแลงมาจากความยึดมั่นถือมั่นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

มองชาวบู๊แคว้นสือหาวที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลท่านนั้น โดยเฉพาะตรงหน้าอกและลำคอที่ถูกฟันจนเกิดรอยแผลฉกรรจ์ แม้เฉินผิงอันจะไม่เคยผ่านประสบการณ์การเข่นฆ่าในสนามรบที่สองกองทัพต้องประจัญบานกันอย่างแท้จริงมาก่อน แต่กลับรู้ว่าคนผู้นี้ที่รบตายในสนามรบ คู่ควรกับสี่คำว่าห้าวหาญองอาจแล้ว

วัตถุหยินหันกลับไปมองตำหนักหน้าแวบหนึ่ง แล้วจึงหันหน้ามาเอ่ยต่อว่า “เซียนซือคือคนบนภูเขา น่าจะเข้าใจดีว่าภูตผีที่ฟ้าดินรังเกียจอย่างพวกเรา ยิ่งตายไปแล้วก็ยิ่งมีความยึดมั่นถือมั่นต่อการมีชีวิตอยู่รุนแรงยิ่งกว่าคนเป็น ขอแค่สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ก็พร้อมทำทุกวิถีทาง ดังนั้นหลังจากรบตายไป จิตหยินของข้ากับทหารผู้ใต้บังคับบัญชาจึงยังไม่สลายหายไปไหน กลางวันหยุดพักกลางคืนปรากฏกาย ออกเดินทางมุ่งหน้ามาทางใต้ จนกระทั่งมาถึงที่นี่ มีพี่น้องบางคนเริ่มทนไม่ไหว จิตวิญญาณจึงแหลกสลายไปกลางทาง บางคนก็ไปถึงบ้านเกิด ได้พบหน้าพ่อแม่ลูกเมียแล้วก็เลือกที่จะอยู่ในศาล หรือไม่ก็ในสุสานบรรพบุรุษ ถือว่าจากไปอย่างหมดห่วงแล้ว แต่ก็มีพี่น้องอีกหลายคนที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งธาตุมารเข้าแทรก ขอแค่ยามค่ำคืนได้พบกับคนเป็นก็คิดแต่จะกลืนกินพลังหยางของพวกเขา หรือไม่เมื่อเดินทางผ่านสถานที่อย่างอารามหลิงกวานในท้องถิ่นที่ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เฝ้าพิทักษ์ก็ไม่สนใจสิ่งใด คิดแต่จะกินให้อิ่มสักมื้อ ยิ่งควบคุมตัวเองได้ยากมากขึ้นทุกที…”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ก่อนถามว่า “ไม่ทราบว่าหากในกลุ่มเพื่อนร่วมงานของท่านมีคนคิดทำเช่นนี้ ยกตัวอย่างทำร้ายชาวบ้านกลางทาง ท่านแม่ทัพจะห้ามปรามหรือไม่ แล้วท่านมีวิธีจัดการตัวเองอย่างไร?”

นี่เป็นคำถามที่ทำลายบรรยากาศอย่างยิ่ง

แม่ทัพบู๊วัตถุหยินผลักดาบออกจากฝักเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่กลับไร้ซึ่งความลังเล “นี่ก็ต้องถามดาบของข้าว่าจะยินยอมหรือไม่! ตอนมีชีวิตอยู่พวกเราคือชาวบู๊ที่พิทักษ์ปกป้องบ้านเมือง ในเมื่อรบตายไปแล้ว ก็ถือว่าได้ตอบแทนชาติบ้านเมืองเต็มที่แล้ว แต่หากจะบอกว่าตายไปแล้วต้องไปทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ก็ต้องผ่านด่านของข้าไปให้ได้ก่อน”

วัตถุหยินแม่ทัพบู๊สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วแสยะยิ้ม “พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าเซียนซือจะหัวเราะเยาะ ตลอดทางที่เดินทางลงใต้มานี้ พี่น้องแต่ละคนทยอยกันแยกย้ายจากไป จากทหารหยินหกร้อยกว่านายในสายตาชาวบ้านอย่างพวกเรา ตอนนี้เหลือไม่ถึงสิบตน พวกเราไม่เพียงแต่ไม่เคยทำร้ายชาวบ้านในโลกมนุษย์แม้แต่คนเดียว กลับกันยังช่วยกำราบพวกผีและวิญญาณเร่ร่อนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยลมปราณชั่วร้ายตามสถานที่อย่างสุสานไร้ญาติด้วย เสียดายก็แค่ตอนนั้นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของพวกเราแต่ละคนหนีกันไปได้เร็วนัก ข้ายังไม่ทันได้ถามก็ตายไปเสียก่อน ไม่รู้ว่าการกระทำที่ช่วยกำจัดภัยผดุงคุณธรรมให้ชาวบ้านของพวกเรานี้ จะช่วยสั่งสมบุญในปรโลกให้แก่เหล่าพี่น้อง ให้ชาติหน้าพวกเขาไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะอีกฝ่ายก่อน จากนั้นจึงลดมือลง พูดด้วยเสียงทุ้มหนักแน่นอย่างไม่เหลือพื้นที่ให้สงสัย “ฟ้าดินไร้ความเห็นแก่ตัว แต่ศีลธรรมระหว่างผู้คนนั้นเชื่อมโยงถึงกัน เชื่อว่าท่านแม่ทัพและสหายร่วมรบล้วนต้องได้รับการปกป้องจากผลบุญในปรโลก ทั้งสามารถปกป้องตัวเอง แล้วก็สร้างบุญกุศลให้แก่ลูกหลานในตระกูลได้ด้วย!”

พอแม่ทัพบู๊ได้ยินถ้อยคำน่าเชื่อถือที่เซียนซือกล่าวจากปากตัวเอง นักสู้กระดูกเหล็กในสนามรบอย่างเขากลับถึงขั้นหลั่งน้ำตา หันหน้าไปด้านหลัง “ได้ยินหรือยัง ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้า!”

ทางประตูหลังของตำหนักหน้า เหล่าทหารพากันปรากฏกาย แต่ละคนกุมหมัดคารวะ ไม่รู้ว่าขอบคุณแม่ทัพบู๊ที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา หรือซาบซึ้งใจในถ้อยคำที่เป็นดั่ง ‘คำสรุปตอกปิดฝาโลง’ ที่คนหนุ่มชุดผ้าฝ้ายสีเขียวมอบให้กันแน่

ในช่วงเวลาที่ฟ้าดินเหน็บหนาวถึงขีดสุด ช่วงเวลาที่แผ่นดินกำลังจะล่มสลาย การปรากฎตัวของพวกเขาก่อให้เกิดเสียงเกราะเหล็กกระทบดังกังวาน

ท่ามกลางม่านราตรีมืดมน เฉินผิงอันหยิบกระดาษและพู่กันออกมาจดชื่อแซ่ ภูมิลำเนาของวัตถุหยินทั้งหกร้อยตนซึ่งรวมถึงแม่ทัพบู๊จนครบทุกคน บอกว่าวันหน้าหากสหายจะจัดงานพิธีกรรมทางศาสนาครั้งใหญ่ของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าขึ้น เขาจะลองดูว่าจะช่วยนำชื่อของพวกเขาเข้าร่วมพิธีกรรมด้วยได้หรือไม่ ระหว่างนี้เจิงเย่ที่ฝึกตนเสร็จสิ้นแล้วก็เปิดประตูใหญ่ของตำหนักหลักออกมา ช่วยเหลือเฉินผิงอันและทหารหยินสิบกว่าตนนั้นได้ไม่น้อย แน่นอนว่าเฉินผิงอันพูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปได้อย่างคล่องปาก และถึงแม้ภาษาทางการของราชวงศ์จูอิ๋งที่ผู้ฝึกตนและชาวบ้านในแถบของทะเลสาบซูเจี่ยนใช้กันจะไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา แต่เมื่อเจอเข้ากับสำเนียงในแต่ละพื้นที่ของแคว้นสือหาวจากปากของแม่ทัพบู๊และเหล่าทหารแล้ว เขาก็รู้สึกปวดหัวอย่างมาก ยังดีที่เจิงเย่สามารถเป็น ‘ตัวเชื่อมสะพาน’ ให้ได้พอดี

ยุ่งวุ่นวายกันจนเกือบจะได้เวลาไก่ขัน เฉินผิงอันถึงจดบันทึกชื่อของทหารทั้งหมดมาได้อย่างไม่ง่ายดายนัก

สำหรับวัตถุหยินแล้ว เมื่อไก่ส่งเสียงขันก็ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงเสมอไป เพราะภูตผีบางตนที่มีปราณหยินแข็งแกร่ง ขอแค่ไม่ถูกแสงแดดช่วงเที่ยงวันสาดส่อง การเดินท่องอยู่ในโลกคนเป็นตอนกลางวันก็ยังราบรื่นได้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าไก่ขันวัตถุหยินหยุดพัก นี่แทบจะเป็นสัญชาตญาณที่คล้ายคลึงกับคนเป็นลุกขึ้นมาใช้ชีวิตเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น

—–