ตอนที่ 1854 สาวน้อยผู้พลาดโอกาส

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1854 สาวน้อยผู้พลาดโอกาส

ที่อีกฟากหนึ่งของรอยแยกแห่งมิติคือฉนวนในอาณาจักรใต้ดิน ทั้งกลุ่มก้าวข้ามฉนวน กลับคืนสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนนำหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาอีกครั้งเพื่อเปิดรอยแยกแห่งมิติอีกรอยหนึ่ง

ราว 10 นาทีต่อมา พวกเขาก็อยู่บนน่านฟ้าเหนืออาณาจักเทียนเซวียน

เมืองหลวงของอาณาจักรเทียนเซวียนดูสงบสุขมาก ผู้คนที่เดินไปมาอยู่ตามถนนไม่อาจรู้เลยว่าผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้กลุ่มหนึ่งกำลังลอยตัวอยู่เหนือพวกเขา

เมื่อร่อนลงจากท้องฟ้า จางเซวียนกับพรรคพวกเดินเข้าสู่เมืองหลวงของอาณาจักรเทียนเซวียนก่อนจะเข้าไปที่โรงเรียนหงเทียนเพียง 1 ปีกว่าที่พวกเขาจากมา แต่ที่นี่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นไม่น้อยที่ผ่านมา มันรองรับนักเรียนได้อย่างมากก็สี่หมื่นคน แต่ด้วยขนาดของโรงเรียนหงเทียนในตอนนี้ ต่อให้รับนักเรียนสี่แสนคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

“เร็วเข้า! วันนี้อาจารย์ลู่ฉวินจะเปิดการบรรยาย ถ้ามัวชักช้าอยู่แบบนี้น่ะจะไปไม่ทันนะ!”

“ผมคิดว่าเขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวและยังต้องใช้เวลาขัดเกลาวรยุทธอยู่เสียอีก”

“ต่อให้เขาจะคิดอะไรอยู่ก็เถอะ แต่โอกาสที่พวกเราจะได้เข้าชั้นเรียนของปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวก็ถือว่ายากเต็มทีนะ แน่นอนว่าการบรรยายของเขาจะต้องมีประโยชน์กับวรยุทธของพวกเรามาก สมัยก่อน ผมเคยเข้าฟังการสอนของปรมาจารย์จาง แม้จะเป็นระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยัง ส่งผลดีต่อผมจนถึงวันนี้”

“เดี๋ยวก่อน คุณเคยเข้าเรียนในชั้นเรียนของปรมาจารย์จางด้วยหรือ?”

“แน่นอน! หลี่น้อย คุณเพิ่งเข้ามาที่นี่ในปีนี้ คงไม่เคยได้ยินชื่อของเขา ปรมาจารย์จางน่ะเป็นอาจารย์ที่โด่งดังที่สุดในโรงเรียนหงเทียนของเราเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา ในครั้งนั้น ชื่อเสียงของเขากระฉ่อนยิ่งกว่าอาจารย์ลู่ฉวินเสียอีก!”

…..

ขณะที่จางเซวียน จ้าวหย่า กับคนอื่นๆกำลังเดินชมรอบๆโรงเรียนนักเรียนกลุ่มหนึ่งก็รีบร้อนเดินผ่านไป

ทั้งกลุ่มได้ปลอมตัวเล็กน้อยก่อนจะเข้าเมืองหลวง จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครจดจำพวกเขาได้ อีกอย่าง ทุกคนก็จากโรงเรียนหงเทียนไปกว่า 1 ปีแล้ว จึงไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้พบพวกเขาที่นั่น

ได้ยินชื่อที่คุ้นหู จางเซวียนยิ้มพร้อมกับตั้งข้อสังเกต “ลู่ฉวินเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวแล้วหรือ? เร็วไม่เบา…”

ลู่ฉวินเคยเป็นอาจารย์ที่ได้รับความเคารพยกย่องสูงสุดในโรงเรียนหงเทียนเมื่อตอนที่จางเซวียนทะลุมิติมายังโลกใบนี้เป็นครั้งแรก แม้แต่หวังหยิ่งกับจ้าวหย่าก็อยากเข้าชั้นเรียนของเขา แต่ลงท้ายก็ถูกจางเซวียนตัดหน้า

ในตอนนั้น ลู่ฉวินเป็นแค่อาจารย์ธรรมดาสามัญ ยังห่างไกลนักจากการได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว แต่ในชั่วพริบตา เขาก็เป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวแล้ว

บางที ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆก็ว่องไวอย่างน่าประหลาด

“ท่านอาจารย์ พวกเราควรไปฟังเสียหน่อยไหม?” จ้าวหย่าถามยิ้มๆ

จางเซวียนพยักหน้า

ในเมื่อนี่เป็นชื่อคุ้นหูชื่อแรกที่พวกเขาได้ยินนับตั้งแต่กลับมา ก็แน่นอนว่าควรจะไปพบปะอีกฝ่ายเสียหน่อย แม้ในอดีตทั้งสองจะเคยขัดแย้งกัน แต่ลงท้ายก็คลี่คลายไปได้ สำหรับจางเซวียน ในเวลานี้เรื่องนั้นเป็นแค่ความทรงจำที่น่าสนใจเมื่อนึกย้อนกลับไป

ทุกคนเดินตามฝูงชนไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องประชุม ที่นั่น พวกเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่บนเวทีสูงด้วยท่วงท่าสง่างาม

ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลู่ฉวิน

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ลู่ฉวินได้ฝึกฝนวรยุทธจนมีรังสีที่เป็นเอกลักษณ์ เขาสวมเสื้อคลุมปรมาจารย์ที่มีดาว 2 ดวงกลัดติดอยู่บนหน้าอก บ่งบอกชัดเจนว่าเขาคือปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว

ถ้าเป็นสมัยก่อน ไม่มีทางเลยที่จะพบปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวในอาณาจักรเทียนเซวียน

“พวกคุณ…”

ขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังจะเข้าใกล้เวทีมากขึ้นอีกหน่อย สาวน้อยคนหนึ่งก็ปรากฏตัวตรงหน้าและเข้าขวางทาง

รูปร่างหน้าตาของเธอบ่งบอกว่าเธอยังเป็นวัยรุ่น สาวน้อยแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีเขียว มีความถือดี อยู่ในสีหน้าของเธอ ดูคล้ายคลึงกับจ้าวหย่าในอดีต

ทั้งกลุ่มมองหน้ากันด้วยความงุนงงกับทีท่าของสาวน้อย ก่อนที่หวังหยิ่งจะก้าวออกไปทักทายพร้อมกับยิ้มให้

“พวกเรารู้มาว่าอาจารย์ลู่ฉวินจะเปิดการบรรยาย จึงอยากมาเข้าฟัง…”

“ถ้าพวกคุณอยากเข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ลู่ จะต้องแสดงตราสัญลักษณ์นักเรียนหรือไม่ก็จ่ายเหรียญทองมาคนละ 2 เหรียญนี่ไม่ใช่ค่าผ่านประตู แต่เป็นสิ่งตอบแทนที่ปรมาจารย์คนหนึ่งสมควรได้รับสำหรับการให้ความรู้ของเขา” สาวน้อยพูดขณะยื่นมือออกมาเพื่อเรียกร้องค่าตอบแทน

“เหรียญทอง?” จางเซวียนกับคนอื่นๆชะงัก

ถึงเหล่าปรมาจารย์จะสูงส่งแค่ไหน แต่พวกเขาก็ต้องหาเลี้ยงปากท้องเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะเรียกร้องค่าตอบแทนสำหรับการเปิดการบรรยาย

จางเซวียนกับพรรคพวกออกจากโรงเรียนหงเทียนไปนานแล้ว จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะยังคงมีตราสัญลักษณ์นักเรียนอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่อยากจ่ายค่าธรรมเนียม แต่มันออกจะยากเย็นอยู่สักหน่อยที่จะทำแบบนั้น

เพราะแม้แต่ข้าวของที่มีมูลค่าน้อยที่สุดในแหวนเก็บสมบัติของจางเซวียนก็ยังเป็นหินวิเศษขั้นสูงสุด สิ่งอื่นที่มีมูลค่าด้อยกว่านั้นไม่ควรค่าแก่การที่เขาจะใส่ใจ นับประสาอะไรกับเหรียญทองที่ใช้กันทั่วไปในอาณาจักรไร้ขั้น

“พวกเราไม่มีตราสัญลักษณ์นักเรียนหรือเหรียญทองอยู่กับตัว…แต่ผมพอมียาเม็ดอยู่บ้าง คุณพอจะยกเว้นให้พวกเราได้ไหม?”

หลังจากควานหาในแหวนเก็บสมบัติอยู่นาน ในที่สุดจางเซวียนก็นำยาเม็ดเกรดต่ำสุดที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติของเขาออกมาส่งให้

“ยาเม็ดหรือ?” สาวน้อยตาโตด้วยความประหลาดใจ

แม้แต่ทรัพยากรที่ท่านอาจารย์มักมอบให้เธออยู่เสมอก็เป็นแค่ยาลูกกลอนทั่วไปเท่านั้น ยาเม็ดถือเป็นทรัพยากรชั้นยอดสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ พวกมันมีชื่อเรียกเฉพาะ และแต่ละชนิดก็ล้วนแต่ล้ำค่า ทั้งกลุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่มีปัญญาจ่ายเหรียญทอง แต่มียาเม็ดอยู่ในครอบครองหรือ?

สาวน้อยนำยาเม็ดไปจากมือของจางเซวียนและพิจารณามันอย่างถี่ถ้วน รอยย่นค่อยๆปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเธอ

ในสายตาของเธอ ยาเม็ดนั้นดูเรียบง่ายและธรรมดาสามัญมากหน้าตาของมันตรงกันข้ามกับยาเม็ดที่มีพลังงานแผดกล้าที่เธอเคยเห็นมา ดูเหมือนว่ายาเม็ดที่อยู่ในมือของเธอคงเป็นแค่สมุนไพรจำนวนหนึ่งที่นำมาหลอมรวมกันเท่านั้น

“พวกคุณคิดว่ากำลังปั่นหัวใคร? สิ่งนี้เรียกว่าเป็นยาเม็ดได้ด้วยหรือ? คุณเห็นฉันเป็นไอ้บ้านนอกคอกนาใช่ไหม?” สาวน้อยคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว

เธออาจอายุยังน้อย แต่ก็เคยเห็นยาเม็ดมาแล้ว ในครั้งนั้น นักปรุงยาคนหนึ่งได้ตั้งใจนำยาเม็ดมามอบให้ท่านอาจารย์ของเธอเป็นพิเศษเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี ซึ่งเธอบังเอิญได้อยู่ด้วยตอนที่นักปรุงยาผู้นั้นนำยามามอบให้ ทันทีที่ฝาขวดหยกถูกเปิดออกกระแสพลังจิตวิญญาณก็พวยพุ่งออกมาทันที ทำให้ผู้ที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกถึงความสดชื่นกระชุ่มกระชวยอย่างน่าทึ่ง

แต่ยาเม็ดที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ได้ถูกเก็บรักษาไว้ในขวดหยก ไม่เพียงเท่านั้น ยังไม่มีกระแสพลังจิตวิญญาณแม้แต่น้อยแผ่ซ่านออกจากตัวมัน

พวกคุณเรียกสิ่งนี้ว่ายาเม็ดจริงๆหรือ? ล้อเล่นแล้วล่ะ!

ถ้าคุณคิดว่าจะใช้การปลอมแปลงยาเม็ดแบบงี่เง่านี่หลอกลวงฉันเพื่อแลกกับเหรียญทอง 14 เหรียญได้ล่ะก็ เข้าใจผิดอย่างสาหัสแล้วล่ะ!

เห็นสีหน้าโกรธขึ้งของสาวน้อย หวังหยิ่งรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นมูลค่าของยาเม็ด จึงรีบอธิบาย “นี่คือยาเม็ดจริงๆนะ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังช่วยเยียวยาวรยุทธของคุณได้ด้วย มูลค่าของมันน่ะสูงกว่าเหรียญทองอย่างแน่นอน…”

“ฉันต้องการเหรียญทองเท่านั้น ไม่ต้องการยาเม็ดพวกนี้!” สาวน้อยคำรามอย่างหงุดหงิดขณะโยนยาเม็ดคืนให้จางเซวียน

“คือ…” จางเซวียนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ด้วยความมั่งคั่งของเขาในเวลานี้ แม้แต่ยาเม็ดที่เขาหยิบออกมาจากแหวนเก็บสมบัติอย่างส่งๆก็สามารถขายได้ในราคาสูงลิ่วที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ เขามอบมันให้สาวน้อยเพื่อทดแทนเหรียญทอง 14 เหรียญที่เป็นค่าธรรมเนียม แต่อีกฝ่ายกลับคิดว่าเขาเป็นพวกต้มตุ๋น

เห็นท่านอาจารย์ของเธอถูกเรียกว่าพวกต้มตุ๋น หวังหยิ่งนำสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งออกมาแล้วส่งให้ “ในเมื่อคุณไม่ต้องการยาเม็ด แล้วสมุนไพรนี่ล่ะ? มันมีค่าไม่น้อยนะ ฉันเชื่อว่าน่าจะเพียงพอชดเชยกับค่าธรรมเนียมได้”

มันคือหญ้าดวงดาวเย็นเยือก อายุ 500 ปี!

แน่นอนว่าในฐานะประธานสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ ไม่มีทางที่เธอจะมีเหรียญทองอยู่กับตัว

“คุณจะจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยต้นหญ้าต้นนี้หรือ? อย่าคิดว่าฉันเป็นเด็กน้อยโง่เง่าเพียงเพราะฉันอายุยังน้อยนะ! จะบอกให้คุณรู้ไว้ว่าท่านอาจารย์ของฉันคือปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว, ลู่ฉวิน! วันนี้น่ะ ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรหรือนำสิ่งใดออกมา ถ้ายังไม่จ่ายค่าธรรมเนียมเป็นเหรียญทอง 14 เหรียญล่ะก็ ฉันคงต้องขอให้พวกคุณกลับไป!”

การที่อีกฝ่ายจะล่อลวงเธอด้วยยาเม็ดปลอมก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขายังพยายาม จะตบตาเธอด้วยต้นหญ้าหน้าตาประหลาดที่เธอเองก็ไม่รู้จัก สาวน้อยหน้าตาเคร่งเครียดเมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนดูถูก

“ฉัน…” หวังหยิ่งพูดไม่ออก

เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร

ด้วยสถานภาพของเธอในตอนนี้ ทุกอย่างที่พอจะควานเจอในแหวนเก็บสมบัติก็ล้วนแต่ล้ำค่าและพิเศษทั้งนั้น กว่าที่เธอจะค้นหาบางสิ่งที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับเหรียญทอง 14 เหรียญ และเป็นสิ่งที่สาวน้อยคนนี้รู้จักออกมาได้ก็ออกจะยากอยู่ไม่น้อย

“พวกคุณจะไม่จ่ายค่าธรรมเนียมใช่ไหม? เท่าที่เห็น ดูเหมือนพวกคุณก็แค่มาสร้างปัญหา!” เห็นสีหน้าอึกอักยึกยักของทั้งกลุ่ม สาวน้อยแน่ใจว่าทุกคนคือนักต้มตุ๋นหลอกลวง

เมื่อไม่อาจข่มความโมโหไว้ได้อีกต่อไป เธอหันหลังกลับและร้องเรียก “ศิษย์พี่ คนกลุ่มนี้ไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับการเข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ลู่ ช่วยส่งพวกเขากลับไปแทนฉันที!”

ฟึ่บ!

ครู่ต่อมา ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถือหอกไว้ในมือก็เดินออกมาจากห้องใกล้ๆ

เห็นร่างของชายหนุ่มคนนั้น เจิ้งหยางตัวแข็งขึ้นมาทันทีขณะที่นัยน์ตาแดงก่ำ

“โม่วเซียว นั่นคุณใช่ไหม?”