บทที่ 589 ฉินซีโดนเย้ยหยัน

The king of War

นี่คือการประนีประนอมของหยางเฉิน สำหรับเขานั้น ขอเพียงเข้าใจกระจ่างถึงความลับของมารดาตนเอง ต่อให้ปล่อยอวี๋เหวินเกาหยางให้รอดสักครั้ง แล้วจะเป็นอย่างไรกัน?

อวี๋เหวินเกาหยางเกิดอารมณ์หวั่นไหวแล้ว เพียงแต่หน้าตาเต็มไปด้วยความลังเล

เขายิ่งลังเล หยางเฉินยิ่งอยากจะรู้ความลับอันนี้

เพียงแค่ ไม่นานนัก ความลังเลบนหน้าของอวี๋เหวินเกาหยางก็หายไปฉับพลัน เขามองหยางเฉินด้วยท่าทางซับซ้อนส่ายหน้าตอบว่า “ฉันบอกแล้ว แม่ของแกไม่มีความลับใดๆ!”

พูดจบ รถค่อยๆ ขับออกไป

หยางเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่งรถของอวี๋เหวินเกาหยางหายลับไปจากเส้นสายตาของเขาจนถึงที่สุด เขาถึงพูดแบบตาแดงก่ำ “ฉันจะต้องรู้ความความลับอันนี้ให้ได้!”

ก่อนหน้านี้ตอนที่อวี๋เหวินปิงเกือบโดนเขาฆ่า เพื่อให้มีชีวิตรอด บอกหยางเฉินว่า เขารู้ความลับเกี่ยวกับมารดาของหยางเฉิน

เดิมที หยางเฉินยังสงสัยอยู่

แต่ว่าปฏิกิริยาของอวี๋เหวินเกาหยางเมื่อสักครู่นี้ ทำให้เขาแน่ใจว่า มารดาของตนเอง มีความลับใหญ่มากอยู่เรื่องหนึ่งจริง โดยเฉพาะความลับนี้ คนที่รู้ก็ไม่มากอีกต่างหาก

“บางที เขาอาจไม่รู้จริงๆ ว่าอวี๋เหวินปิงอยู่ที่ไหน!”

หยางเฉินพูดปลอบใจตนเอง

อวี๋เหวินเกาหยางไม่ใช่อวี๋เหวินปิง เขาสามารถฆ่าอวี๋เหวินปิงได้ แต่ไม่สามารถมีจิตอาฆาตแค้นใดๆ ต่ออวี๋เหวินเกาหยางได้ เขาสาบานเอาไว้ ชาตินี้จะไม่ไปแก้แค้นอวี๋เหวินเกาหยาง

“ที่รัก คุณไม่เป็นอะไรนะ?”

หยางเฉินเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู เสียงของฉินซีก็ดังขึ้นมาแล้ว

เห็นได้ชัดว่า เธอรออยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์มาโดยตลอด ไม่วางใจหยางเฉินอย่างชัดเจน

หยางเฉินไม่อยากให้ฉินซีมองอารมณ์ที่หม่นหมองของตนเองออก ส่ายหน้าหัวเราะนิดหน่อย “สามีของคุณจะมีเรื่องอะไรกันได้ล่ะ?”

เขาเดินเข้ามาสองสามก้าว จับมือของฉินซีไว้เดินเข้าในบ้าน

มีเพียงตอนที่จับมือผู้หญิงคนนี้เอาไว้ เขาถึงสงบใจลงมาได้

ไม่พูดจาอะไรทั้งคืน เช้าตรู่วันต่อมา ฉินซีก็ออกไปคุยเรื่องการร่วมงานแล้ว

ส่วนหยางเฉิน ก็ออกจากบ้าน ไปที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ป

“ท่านประธาน!”

ชั้นบนสุดของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสำนักงานใหญ่ ห้องทำงานผู้จัดการใหญ่ ลั่วปิงชงชาหลงจิ่งแห่งซีหูชั้นดีด้วยตนเองแก้วหนึ่ง ยื่นให้หยางเฉินแล้ว

“หลุดพ้นจากการควบคุมของตระกูลอวี๋เหวินแล้ว เยี่ยนเฉินกรุ๊ปน่าจะไม่มีอะไรยุ่งยากแล้วมั้ง?”

หยางเฉินรับแก้วชาเข้ามา จิบเบาๆ อึกหนึ่ง มองลั่วปิงแล้วถามขึ้น

ลั่วปิงรีบบอกทันที “เรื่องยุ่งยากใหญ่ๆ ก็ไม่มีแล้วครับ ตอนนี้มีแค่เรื่องยุ่งยากเล็กน้อยบางส่วน ล้วนเป็นด้านการแข่งขัน ผมรับมือได้อยู่ครับ”

“เล่าให้ฟังสิ! ดูว่าฉันจะออกแรงช่วยหน่อยได้หรือไม่” หยางเฉินบอกไป

ไม่ว่าอย่างไร เยี่ยนเฉินกรุ๊ปก็เป็นสิ่งเตือนใจเพียงหนึ่งเดียวที่มารดาเหลือไว้ให้ตนเองบนโลกนี้ ในเมื่อเขามาแล้ว สามารถช่วยเยี่ยนเฉินกรุ๊ปจัดการความยุ่งยากบางส่วนได้ ถือว่าดีที่สุดแล้ว

“ผมสนใจที่ดินผืนนั้นของเขตชานเมืองทิศใต้ที่เมืองเยี่ยนตูครับ คิดจะเอาที่นั่นมาสร้างศูนย์กลางเมืองที่รวมสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานเอาไว้แห่งหนึ่ง ต่อไปยังจะดึงดูดสินค้าหรูหราชื่อดังทั่วโลกเข้ามาอีกด้วยครับ”

“จากนั้นจะใช้ศูนย์กลางเมืองเป็นใจกลางหลัก วันหลังที่เก้าเขตใหญ่ ล้วนจะสร้างศูนย์กลางเมืองที่เหมือนกันโดยสิ้นเชิงแห่งหนึ่งครับ”

“พวกนี้เป็นเพียงการคาดคิดขั้นแรกของผม แม้แต่ชื่อผมก็ตั้งเรียบร้อยแล้วด้วย ชื่อว่าเมืองจิ่วโจวครับ”

“ผมคิดว่าใช้เวลาห้าปี สร้างเมืองจิ่วโจวเก้าแห่งภายในประเทศ และต่อจากนั้น ผมจะให้เมืองจิ่วโจว กระจายไปทั่วทั้งโลกครับ”

“ถึงตอนนั้น เมืองจิ่วโจวแต่ละแห่ง จะสร้างอาคารใหญ่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นหลังหนึ่ง เยี่ยนเฉินกรุ๊ปก็จะตั้งอยู่ชั้นบนสุดของอาคารใหญ่หลังนี้ครับ”

“ต่อไป ผมจะทำให้ทั้งโลกนี้ รู้จักเยี่ยนเฉินกรุ๊ป!”

ลั่วปิงท่าทางดีอกดีใจ ยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม แหล่งที่มาความคิดของเขาก็แจ่มชัดอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผ่านการพิจารณามาอย่างจริงจัง ถึงมีความคิดพวกนี้ได้

“ท่านประธานครับ ผมคิดเพ้อเจ้อเกินไปหรือเปล่าครับ?”

ตั้งนาน ลั่วปิงถึงได้สติกลับมา ตนเองเหมือนยิ่งพูดยิ่งออกนอกลู่นอกทางแล้ว

ใครจะรู้ว่าหยางเฉินกลับฟังจนรู้สึกตามมาก หัวเราะแล้วบอกว่า “จะคิดเพ้อเจ้อได้ยังไงกันล่ะ? ความคิดของนายดีมาก ฉันพอใจมากด้วย นายพูดต่อสิ!”

พอได้ยิน ชั่วขณะนั้นลั่วปิงดีใจยกใหญ่ และเริ่มสาธยายต่อหยางเฉินขึ้นมาอีก

สองชั่วโมงเต็มๆ แม้กระทั่งลั่วปิงยังเปิดโพรเจกเตอร์ด้วย รายงานรูปแบบโพรเจกต์ของตนเองให้หยางเฉินฟังรอบหนึ่ง

“ความคิดอันนี้ของนายดีมากๆ ทำธุรกิจส่วนนี้ ฉันสู้นายไม่ได้เลย นายเพียงต้องบอกฉันมา ตอนนี้นอกจากที่ดินผืนนั้นแล้ว ยังมีปัญหาใหญ่อะไรอีก?” หยางเฉินสอบถาม

ลั่วปิงลูบศีรษะอย่างเกรงใจอยู่บ้าง จากนั้นบอกว่า “เงินครับ! ว่าตามแผนการของผม เวลาห้าปี อยากจะสร้างเมืองจิ่วโจวเก้าแห่งภายในประเทศ เงินทุนที่ต้องการ เป็นจำนวนเงินมหาศาลมากครับ”

“ด้วยกำลังทรัพย์ของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป อยากจะทำให้เมืองจิ่วโจวในประเทศสำเร็จได้ เกรงว่ายากมากครับ”

เขาเพิ่งพูดจบ หยางเฉินถือโอกาสหยิบบัตรธนาคารสีดำใบหนึ่งออกมา โยนไปให้ลั่วปิงแล้ว เอ่ยปากบอก “นี่คือบัตรทองดำสูงสุดที่ธนาคารสากลจัดทำ ด้านในมีเงินห้าหมื่นล้าน นอกจากนี้แล้ว ยังมีโควตาอีกห้าหมื่นล้าน นายใช้ไปก่อน ไม่พอค่อยมาบอกฉัน”

พอได้ยิน ลั่วปิงหน้าอึ้งทึ่งเต็มที่ เดิมทีเขาคิดว่า เยี่ยนเฉินกรุ๊ปก็คือทรัพย์สินเพียงหนึ่งเดียวของหยางเฉิน

ตอนนี้ หยางเฉินเอาบัตรทองดำสูงสุดที่ธนาคารสากลจัดทำใบหนึ่งออกมาแบบง่ายๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ในบัตรยังมีห้าหมื่นล้าน

ประเด็นคือ ห้าหมื่นล้านใช้หมด ยังมีโควตาอีกห้าหมื่นล้าน

ก็คือหมายความว่า หยางเฉินเอาเงินหนึ่งแสนล้านให้เขา มาสร้างเมืองจิ่วโจวให้สำเร็จ

“ยังไม่พอ?”

เห็นลั่วปิงไม่พูดจา หยางเฉินขมวดคิ้วแล้ว เปิดกระเป๋าสตางค์ออก หยิบบัตรธนาคารปึกใหญ่ออกมาจากด้านใน สารพัดหลากหลายแบบมีทั้งหมด

“พอแล้ว! พอแล้ว! พอแล้วครับ!”

ลั่วปิงตกใจยกใหญ่แล้ว พูดอย่างตื่นเต้น “มีเงินก้อนนี้ บวกกับทรัพย์สินของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปด้วย ให้เวลาผมสามปี ผมรับประกันว่าจะสร้างเมืองจิ่วโจวเก้าแห่งในประเทศขึ้นมาได้ครับ”

ตอนนี้ ลั่วปิงรู้สึกเคารพเลื่อมใสต่อหยางเฉินอย่างยิ่ง ไม่พูดถึงว่าได้ครอบครองบริษัทชั้นนำที่มีมูลค่าแสนล้าน ยังสามารถเอาโควตาห้าหมื่นล้านออกมาได้อย่างสบายๆ ในบัญชียังมีบัตรทองดำห้าหมื่นล้านอีกด้วย

ความร่ำรวยส่วนตัวของหยางเฉิน เกรงว่าจะแซงหน้าเศรษฐีลำดับต้นๆ ที่นิตยสารฟอร์บส์จัดอันดับไว้เสียอีก

มาถึงลำดับขั้นของลั่วปิงนี้ เขาย่อมชัดเจนดี บนโลกนี้ยังมีเศรษฐีชั้นนำที่แท้จริงอีกมากมาย และไม่อยู่ในการจัดลำดับของนิตยสารฟอร์บส์ หยางเฉินก็คือคนประเภทนี้

“ท่านประธานครับ ตอนบ่ายก็คือการประมูลของที่ดินผืนนั้นของเขตชานเมืองทิศใต้ ท่านอยากไปเข้าร่วมหรือเปล่าครับ?” ลั่วปิงถามด้วยความระมัดระวัง

ถึงแม้หยางเฉินจะให้เงินก้อนใหญ่กับเขาแล้ว แต่อยากจะเอาที่ดินของเขตชานเมืองทิศใต้มา มีความยากไม่น้อย ถ้าหยางเฉินสามารถออกหน้าได้ ย่อมเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว

“ได้ งั้นฉันจะไปด้วยกันกับนายด้วย” หยางเฉินตอบตกลงไป

ในเมื่อลั่วปิงบอกแล้วว่าผู้แข่งขันของที่ดินผืนนั้นมากมาย สำหรับลั่วปิงนั้น อยากจะเอาที่ดินผืนนั้นมา บางทีอาจจะเปลืองกำลังมาก

ถ้าเขาออกหน้าด้วยตนเอง น่าจะสามารถเลี่ยงความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นบางส่วนได้

ตอนเที่ยง หยางเฉินไปทานข้าวด้วยกันกับลั่วปิง

หลังทานอาหารกลางวัน หยางเฉินก็ตามลั่วปิงไปที่โรงแรมเยี่ยนตูแล้ว การประมูลแข่งขันจัดขึ้นที่นี่

การประมูลเริ่มเวลาบ่ายสามโมง หยางเฉินและลั่วปิงมาถึงเวลาบ่ายสองสี่สิบ

“ท่านประธานครับ นั่นไม่ใช่พี่สะใภ้เหรอครับ?”

ทั้งสองเพิ่งมาถึงหน้าประตูโรงแรม ทันใดนั้นลั่วปิงชี้ไปยังหน้าประตูโรงแรม ถามอย่างตกใจ

หยางเฉินหันหน้ามองไป ก็มองเห็นฉินซีอยู่พอดี ด้านข้างยังมีคู่รักคู่หนึ่ง

เพียงแต่ ผู้หญิงกลับดูสาวมาก อายุพอกันกับฉินซี แต่ว่าหล่อนกลับควงแขนของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง ตอนที่มองทางฉินซี ในสายตาเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม