บทที่ 1381 เหนือความคาดหมาย

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1381 เหนือความคาดหมาย Ink Stone_Fantasy

“เอ่อ…” ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จ้านหรูอี้คือคนที่ประมุขชิงเลือกไว้ว่าจะให้เข้าวัง ตอนนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาทตอบตกลงแล้วหรือขอรับ?”

ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ แล้วบอว่า “พวกเขาก็แค่ชอบกำลังแฝงของหนิวโหย่วเต๋อก็เท่านั้น อยากจะใช้วิธีแต่งงานเพื่อดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อมา ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฐานะไม่เหมาะสมกัน เกรงว่าตระกูลอิ๋งคงไม่แม้แต่จะพิจารณาด้วยซ้ำ อ๋องสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานเอ่ยปากเพื่อเรื่องแบบนี้ ข้าไม่มีทางตอบตกลงหรอก แต่ก็มาสะดวกจะปฏิเสธ ผลักเรื่องนี้ไปให้โพ่จวิน ตราบใดที่อิ๋งจิ่วกวงสามารถโน้มน้าวให้โพ่จวินปล่อยคนมาจากหน่วยองครักษ์ซ้ายได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะไปห้ามเหมือนกัน”

ซือหม่าเวิ่นเทียนเข้าใจแล้ว แบบนี้เท่ากับเปลี่ยนวิธีการปฏิเสธแล้ว ฝ่าบาทแอบบอกแบบนี้ โพ่จวินจะตอบตกลงได้ก็แปลกแล้ว จึงถามอีกว่า “หลังจากจ้านหรูอี้หายดีแล้ว เกรงว่าจะไม่มีหน้ากลับไปที่หน่วยองครักษ์ซ้ายอีกแล้ว”

ประมุขชิงเดินลงบันได “อิ๋งจิ่วกวงเอ่ยปากแล้ว เอ่ยเรื่องย้ายจ้านหรูอี้ออกมาแล้ว หน่วยองครักษ์ซ้ายไม่ใช่ที่ที่จะเข้าออกได้ตามอำเภอใจเช่นกัน ก็อย่างที่บอกไว้ รอให้เขาโน้มน้ามโพ่จวินได้แล้วค่อยว่ากัน”

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายเดือน ในจวนท่านโหวจ้านผิง ประตูห้องสมาธิเปิดออกแล้ว

จ้านผิงที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ในศาลาด้านนอกหันขวับ เห็นเพียงอิ๋งลั่วหวนกับแม่นมชราเดินออกมาด้วยกัน ทั้งสองยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก

จ้านหรูอี้หายกลับมาเป็นปกติเหมือนตอนแรกแล้ว ก้มหน้าตามหลังทั้งสองเดินออกมา สวมชุดสีขาวเรียบร้อย

จ้านผิงถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้ว่าลูกสาวรักษาตัวหายดีแล้ว

ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน คนหลายคนผัดกันลงมือกำจัดพิษ ถึงได้กำจัด ‘อารมณ์โศกเศร้า’ ออกจากร่างกายจ้านหรูอี้จนหมด และโชคดีที่เป็น ‘อารมณ์โศกเศร้า’ ล้วนๆ ถ้ามีทั้งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา มันก็จะอาศัยร่างกายเพื่อบำรุงเลี้ยงกันและกันไม่หยุด มันจะลุกลามไม่หยุด แบบนั้นเวลาจะกำจัดก็ยุ่งยากมากจริงๆ

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ จ้านหรูอี้ก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนที่วรยุทธ์สูงเพียงพอคอยช่วย เหมียวอี้ปล่อยพิษในร่างกายนางมากขนาดนั้นในรวดเร็ว ก็เพียงพอที่จะทำให้จ้านหรูอี้เศร้าโศกจนตรอมใจตายได้ ไม่มีทางประคับประคองได้นานเลย

อิ๋งลั่วหวนกับแม่นมชราเหนื่อยแล้ว จำเป็นต้องพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย อิ๋งลั่วหวนหันกลับมามองลูกสาวที่มีท่าทางหงอยเหงาเศร้าสร้อยแวบหนึ่ง แล้วก็หันมาส่งสายตาให้จ้านผิง บอกใบ้ให้อบรมสั่งสอนนิดหน่อย กลัวว่าลูกสาวจะทนรับความอัปยศนี้ไม่ไหวแล้วก้าวข้ามความรู้สึกผิดไม่ได้

จ้านผิงพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว

อิ๋งลั่วหวนกับแม่นมชราดึงร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปพักผ่อนฟื้นฟูแล้ว

จ้านผิงเดินมาข้างกายจ้านหรูอี้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หรูอี้ ไปเดินเล่นกับพ่อหน่อย เราว่าคุยกันหน่อยเถอะ”

จ้านหรูอี้ก้มหน้าไม่พูดอะไร เดินตามอยู่ข้างกายเขาเงียบๆ หลังจากโดนเหมียวอี้จับเป็นไป ถึงแม้นางจะโดนขังอยู่ในอารมณ์เศร้าโศก แต่นางก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้น ได้รับความอัปยศใหญ่หลวงขนาดนี้ เรียกได้ว่ากระทบกระเทือนทางจิตใจไม่น้อย ร้ายแรงยิ่งกว่าตอนที่เหมียวอี้โจมตีนางทวนเดียวจนสาหัสเป็นร้อยเป็นพันเท่า

ไปหาเรื่องด้วยความมั่นใจเต็มที่ แต่กลับโดนเหมียวอี้จัดการราวกับเล่นกับเด็กคนหนึ่ง หลังจากออกไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบในครั้งนี้ นางก็ได้สติแล้วเช่นกัน ถ้าจะบอกว่าในปีนั้นเหมียวอี้ฆ่านางไม่ได้เพราะลูกน้องมาช่วยและพาหนีได้ทันเวลา เช่นนั้นครั้งนี้ก็ล้วนเป็นเพราะภูมิหลังวงศ์ตระกูลของนางล้วนๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่เหมียวอี้จะไม่ฆ่านาง

พ่อกับลูกสาวเดินเล่นช้าๆ อยู่ในสวน จ้านผิงมองดูลูกสาวที่เงียบสงบผิดปกตอ จึงถามเบาๆ ว่า “ต่อไปนี้คิดจะทำอะไรต่อล่ะ?”

จ้านหรูอี้ส่ายหน้าช้าๆ

จ้านผิงหยุดฝีเท้า ยกมือกดไหล่สองข้างของนาง ยืนตรงข้ามกับนางแล้วบอกว่า “เงยหน้ามองพ่อหน่อย”

จ้านหรูอี้ยังคงส่ายหน้า

จู่ๆ จ้านผิงก็ตะคอกว่า “เงยหน้าขึ้นมา!”

เสียงดุดันกะทันหันทำให้จ้านหรูอี้ตกใจ นางเงยหน้ามองบิดาอย่างตะลึงงัน เบิกตากว้างมองเขา ตั้งแต่เด็กจนโตบิดาแทบจะไม่เคยใช้น้ำเสียงหนักๆ แบบนี้พูดกับนางเลย

“ยังอยากจะกลับไปที่หน่วยองครักษ์ซ้ายอีกมั้ย?” จ้านผิงถาม

ในที่สุดจ้านหรูอี้ก็พูดแล้ว แต่ดวงตาก็แดงแล้วเช่นกัน “ลูกคงจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งใต้หล้าแล้ว ยังจะมีหน้ากลับไปอีกเหรอ?”

จ้านผิงจึงบอกว่า “มีคนว่าพ่อตอนที่บอกแต่งงานกับแม่เจ้า บอกว่าเป็นแค่การพึ่งพาผู้มีอิทธิพล ทำไปเพื่อนาคตที่ดี ทิ้งศักดิ์ศรีลูกผู้ชายลดตัวไปเกาะชายกระโปรงผู้หญิง จากที่เจ้าพูดมา พ่อยังจะมีหน้าไปเจอใครอีกมั้ย หลายปีมานี้พ่อไม่ใช่พวกเอาชีวิตรอดไปวันโดยไร้ความหมายหรอกเหรอ?”

จ้านหรูอี้ประหลาดใจ มองบิดาอย่างทำใจเชื่อได้ยาก นึกไม่ถึงว่าบิดาจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา นางตกตะลึงนิดหน่อย

พอจ้านผิงเห็นนางมีอารมณ์อย่างอื่นแทรกเข้ามา ก็ใช้ฝ่ามือลูบใบหน้ารูปไข่ของนาง “หรูอี้ ความโชคดีโชคร้าย ความมีเกียรติและเสื่อมเกียรติน่ะ ที่จริงเป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งในชีวิตอันแสนยาวนานของพ่อเท่านั้น ในอดีตท่านตาของเจ้าก็เคยก้ามข้ามออกมาจากความอัปยศ พ่อเองก็เคยเอาตัวรอดไปวันๆ หนิวโหย่วเต๋อนั่นก็เคยได้รับความอัปยศต่างๆ นาๆ จนต้องหดหัว ครั้งนี้ที่เจ้าโดนแขวนไว้บนเสาธง ก็นับเป็นเรื่องอัปยศเรื่องหนึ่งเช่นกัน แต่ความอัปยศพวกนี้สำคัญจริงเหรอ? มันร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิดจริงเหรอ? ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนที่เจริญรุ่งเรืองสายหนึ่ง บางคนไม่มีกางเกงใส่ เปลือยท่อนล่างเดินผ่านถนน เจ้าเดาสิว่าคนอื่นจะมองเขายังไง?”

จ้านหรูอี้ตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าบิดาที่สุภาพเรียบร้อยอ่อนโยนมาตลอดจะพูดแบบนี้ออกมาได้ นางตอบว่า “ก็ย่อมถูกคนหัวเราะเยาะอยู่แล้ว”

จ้านผิงพยักหน้า “นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว! แต่ก็แค่หัวเราะเยาะนิดหน่อยเท่านั้นเอง รอจนเขาเดินผ่านไปแล้ว อย่างมากคนอื่นๆ ที่อยู่บนถนนก็นำมาเป็นเรื่องให้พูดคุยเพียงรอบเดียวเท่านั้น จากนั้นต่างคนก็ต่างยุ่งกับงานของตัวเอง ทุกคนล้วนมีชีวิตของตัวเอง คนเปลือยร่างที่เดินผ่านไปคนนั้นที่จริงไม่ได้สำคัญอะไรกับคนอื่นเลย ความสำคัญเทียบกับชีวิตของตัวเองไม่ติด และสำหรับคนที่เปลือยกายคนนั้น ถ้าเขาไม่มองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ ก็ย่อมไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ถ้าเขารู้สึกว่าออกไปข้างนอกแล้วเสียหน้าเพราะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าให้ดี นั่นก็เป็นเพียงความมีเกียรติและความเสื่อมเสียที่เขารู้สึกไปเองเท่านั้น ในความเป็นจริงเขาสำคัญในสายตาคนอื่นเหรอ? ถ้าเขาทนรับกับสายตาคนอื่นไม่ได้ นั่นก็เพียงเพราะว่าคนอื่นกำลังมองเขา ที่จริงเขาไม่ได้สำคัญในสายตาคนอื่นเลยจริงๆ แค่มองเฉยๆ เท่านั้น หรูอี้ ตัดภูมิหลังชาติกำเนิดของเจ้าทิ้งไป เจ้าก็มีอารมณ์สุขสันต์โศกเศร้าไม่ต่างกับคนทั่วไป ที่เจ้ารู้สึกว่าตัวเองมีเกียรติหรือเสื่อมเกียรติ นั่นก็เป็นเพราะเจ้ามองว่าตัวเองสำคัญเกินไป ที่จริงในสายตาคนอื่น เจ้าไม่ได้สำคัญมากขนาดที่ตัวเองจินตนาการไว้เลย สำหรับคนที่เปลือยกายเดินถนนคนนั้น บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าเป็นแค่เรื่องน่าอับอายเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง หรูอี้ ถ้าตอนนั้นเจ้าบังเอิญเห็นฉากนี้บนถนนพอดี  ในใจของคนที่ดูอยู่ข้างๆ อย่างเจ้าจะรู้สึกอับอายอย่างลึกซึ้งเหมือนเจ้าตัวจริงๆ เหรอ? หรูอี้ เจ้าตั้งใจตอบคำถามนี้ในใจตัวเองให้ดีเถอะ”

จ้านหรูอี้ตั้งใจตอบในใจจริงๆ แน่นอนว่าคำตอบก็คือไม่ ถึงขั้นว่าผ่านไปอีกประเดี๋ยวหลังจากนางทำธุระของตัวเองแล้ว นางก็ไม่คิดถึงคนคนนั้นอีกแล้วด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นว่านางเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว จ้านผิงก็พูดต่อว่า “ความมีเกียรติและเสื่อมเกียรติอยู่เพียงในใจคนเท่านั้น ความมีเกียรติและเสื่อมเกียรติของเจ้าไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตของคนอื่น ถึงขั้นอยากจะยึดครองเวลาของคนอื่นหนึ่งวัน จะให้คนอื่นนึกถึงเรื่องนี้ทั้งวันก็ยังเป็นไปได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้น่ากลัวน่ากังวลและสำคัญอย่างที่เจ้าจินตนาการไว้เลย”

จ้านหรูอี้เป็นฝ่ายถามหยั่งเชิงก่อนว่า “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่า อยากจะให้ข้ากลับไปที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินอีกครั้งเหรอ?”

“ข้าแค่อยากจะถามเจ้า ครั้งนี้เจ้าหาเรื่องสร้างความอับอายให้ตัวเอง เจ้าผิดไปแล้วหรือเปล่า?” จ้านผิงถาม

“ลูกผิดไปแล้ว” จ้านหรูอี้พยักหน้า

จ้านผิงจึงบอกว่า “รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว รู้ว่าผิดก็ต้องถ่อมตัวและยอมรับฟังข้อคิดเห็นของคนอื่น รู้ว่าผิดก็ต้องแก้ไขให้ดีขึ้น ต้องรู้จักเข็ดหลาบ เรียนรู้จากความผิดพลาด ความพ่ายแพ้หนักๆ สักครั้งก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ นี่เป็นเพียงประสบการณ์ในชีวิตของเจ้า และเป็นราคาที่ทุกคนต้องแลกสำหรับการเติบโต ไม่ใช่แค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครที่ไม่เคยผ่านความพ่ายแพ้หรอก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะสงบจิตสงบใจ เผชิญหน้ากับทุกเรื่องโดยโยนภูมิหลังชาติกำเนิดของตัวเองทิ้งไป ล้มตรงไหนก็ลุกขึ้นมาจากตรงนั้น หรูอี้ จำไว้นะ ภูมิหลังชาติกำเนิดเป็นเพียงต้นทุนไว้ให้เจ้าใช้ประโยชน์เท่านั้น เป็นแค่ข้อดีที่เจ้ามีมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น เป็นแค่ความได้เปรียบของเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของเจ้าแน่นอน ไม่อย่างนั้นเมื่อเจ้าไปอยู่ในจุดที่ไม่ต้องใช้ภูมิหลังวงศ์ตระกูล มันก็จะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ต้องเรียนรู้ว่าอย่าตาบอดอวดดี! ถ้าเจ้าไม่มีทางลืมความอัปยศที่เจ้าได้รับครั้งนี้จริงๆจริงๆ ก็จดจำเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อเผชิญเรื่องอะไรก็เตือนสติตัวเองไว้ทุกครั้ง…พอแล้ว พ่อพูดไปมากขนาดนี้แล้ว ถ้าเกลี้ยกล่อมเจ้าได้แล้ว เดี๋ยวเจ้าก็จะคิดได้เอง แต่ถ้าเกลี้ยกล่อมเจ้าไม่ได้ ต่อให้พูดมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ เจ้าไปตั้งใจคิดดูให้ดีๆ”

พูดจบก็หันตัวเดินออกไป แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เงาร่างก็หยุดชะงัก หันหลังพูดว่า “หรูอี้ เคารพในสิ่งที่ตัวเองเลือก ถ้าสิ่งที่ตัวเองเลือกผิดพลาด การต้องจ่ายค่าตอบแทนก็คือสิ่งที่สมควร แต่ถ้าเจ้าต้องต่ายค่าตอบแทนเพราะสิ่งที่คนอื่นช่วยเลือกให้ แบบนั้นไม่คุ้มค่า!”

จ้านหรูอี้งุนงง ไม่เข้าใจว่าบิดาพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร รู้สึกงุนงงนิดหน่อย

ทว่าสุดท้ายจ้านหรูอี้ก็ยังไปแล้ว นางกลับไปที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินอีกครั้งในวันถัดมา

หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง กองมังกรดำก็เรียกจ้านหรูอี้ไปสอบถาม บอกว่าเบื้องบนฝากมาถาม ว่านางยินดีจะออกจากหน่วยองครักษ์ซ้ายหรือไม่ ถ้ายินดีจะออกไป ก็จะปล่อยนางออกไป แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะตัดสินใจแน่วแน่ว่าไม่ไป

จากนั้นอิ๋งจิ่วกวงก็เรียกจ้านผิงกับภรรยาไป หลังจากตำหนิไปยกหนึ่ง ก็ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะโน้มน้าวโพ่จวินได้ ให้โพ่จวินยอมผ่อนปรน แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะไม่ยอมออกไปเอง ครั้งนี้โพ่จวินก็ยิ่งมีเหตุผลที่จะเพิกเฉยต่ออ๋องสวรรค์อิ๋งแล้ว

อิ๋งลั่วหวนร้อนใจแล้ว ไปเกลี้ยกล่อมที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินด้วยตัวเอง แต่ผลปรากฏว่าจะเป็นจะตายจ้านหรูอี้ก็ไม่ยอมไป สุดท้ายพอลูกสาวหลบ นางกลับถูกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินเชิญให้ออกไป

อิ๋งลั่วหวนจัดการไม่ไหวแล้ว ปลุกปั่นให้จ้านผิงให้ไปเกลี้ยกล่อมอีก แต่จ้านผิงเพียงบอกปัดอย่างขอไปที เขารู้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงโน้มน้าวลูกสาวไปแบบนั้น นั่นก็คือให้โอกาสลูกสาวเลือกเอง ไม่อยากให้ลูกสาวกลายเป็นเครื่องมือในการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ โพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายถึงแม้บางครั้งจะทำให้คนรำคาญ แต่จะไม่พูดก็ไม่ได้ ว่าเป็นเพราะระดับความแข็งกร้าวของโพ่จวิน ในบางระดับหน่วยองครักษ์ซ้ายก็เป็นที่สำหรับหลบเลี่ยงเรื่องราวต่างๆ ได้จริง

และทางหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ให้ความสนใจสถานการณ์ของจ้านหรูอี้ตอนอยู่ที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินถึงขีดสุด

สถานการณ์เหนือความคาดหมายของคนจำนวนมาก

ในตำหนักใหญ่ของกองมังกรดำ โป๋เยวรายงานเนี่ยอู๋เซี่ยวว่า “จากการเฝ้าสังเกตในระยะนี้ ถึงแม้ธงพยัคฆ์น้ำเงินจะแอบไม่พอใจจ้านหรูอี้มาก แต่จ้านหรูอี้เหมือนจะไม่มองว่าเรื่องที่ได้รับความอับอายเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร กลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ถ่อมตัวลง ไม่หยิ่งยโสเหมือนก่อนหน้านี้อีก สื่อสารกับพี่น้องกำลังพลเบื้องล่างบ่อยๆ ฟังความเห็นของกำลังพลเบื้องล่างอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็กล่าวขออภัยต่อหน้าฝูงชน ขออภัยต่อหน้าฝูงชนบ่อยมาก แสดงให้เห็นว่านางผิดไปแล้ว ทำให้ธงพยัคฆ์น้ำเงินเสียหน้าอับอายแล้ว ไม่ว่านางจะไปที่ไหนก็ล้วนขอร้องให้กำลังพลเบื้องล่างให้อภัย พวกลูกน้องจึงให้โอกาสนางอีกครั้ง อาศัยภูมิหลังฐานะของนางแล้วลดศักดิ์ศรีแบบนี้ได้ ก็ทำให้นางได้เปรียบมาก ได้รับความรู้สึกดีจากคนส่วนใหญ่ ไม่นานข่าวลือทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินก็สงบลงแล้ว ธงพยัคฆ์น้ำเงินเหมือนจะมีแรงสามัคคียิ่งกว่าเมื่อก่อน…”

“…” หลังจากเนี่ยอู๋เซี่ยวฟังจบแล้ว ก็อ้าปากค้างพูดไม่ออก หลังจากพูดไม่ออกอยู่นาน ก็กล่าวอย่างตกตะลึง “คนทั่วไปคงจะทำอย่างนางไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่านาง…สงสัยจะดูถูกความสามารถแฝงของลูกหลานผู้มีอำนาจไม่ได้แล้ว หัวจิตหัวใจแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบติด ไม่แปลกใจที่ตระกูลอิ๋งสามารถอยู่ในตำแหน่งสูงได้!” เขากันกลับมาถามอีกว่า “นางเตรียมจะไปหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋ออีกหรือเปล่า?”

โป๋เยวส่ายหน้าบอกว่า “ตอนนี้ยังมองไม่เห็นเค้าล้างในด้านนี้เลย ตอนนี้เหมือนนางจะทุ่มเทกำลังความคิดทั้งหมดไปที่งานของธงพยัคฆ์น้ำเงิน”

ตำหนักดาราจักร ขุนนางกำลังรายงานเหตุการณ์แบบตัวต่อตัว

หลังจากผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายรายงานแล้ว ก็บอกเรื่องของจ้านหรูอี้ให้ฟังเล็กน้อย สุดท้ายก็เหมือนจะกล่าวชมว่า “นางหนูตระกูลจ้านนี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน”

ก่อนหน้านี้เวลาพูดถึงจ้านหรูอี้ เขาก็จะเรียกว่านางหนูตระกูลอิ๋ง แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเรียกว่านางหนูตระกูลจ้านแล้ว

ประมุขชิงวางมือข้างหนึ่งบนโต๊ะยาว ใช้นิ้วเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ กำลังหรี่ตาครุ่นคิดถึงคำพูดของโพ่จวิน บนใบหน้าค่อยๆ เผยความรู้สึกสนใจขึ้นมาทีละนิด สุดท้ายแววตาก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ แล้วพึมพำว่า “เป็นนางหนูที่น่าสนใจ ข้าชอบ ดูเหมือนครั้งนี้เฉิงอวี่จะมีคู่แข่งจริงๆ แล้ว”

โพ่จวินเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพึมพำ จึงถามว่า “ฝ่าบาทพูดว่าอะไรนะขอรับ?”

ประมุขชิงได้สติกลับมา รู้จักนิสัยเจ้าอารมณ์ของตาแก่คนนี้ ถ้ามีอะไรไม่ถูกก็จะว่าเขาให้หาทางลงไม่ได้ มีหรือที่จะบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่าย จึงโบกมือบอกว่า “ไม่มีอะไร เอาล่ะ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

“ขอรับ!” โพ่จวินกุมหมัดกล่าวอำลา แต่พอเดินมาถึงประตูตำหนักก็พลันหันกลับไป ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย เขาได้ยินสิ่งที่ประมุขชิงพึมพำบ้างนิดหน่อย เพียงแต่ไม่กล้าแน่ใจว่าเป็นความหมายอย่างที่ตัวเองได้ยินหรือเปล่า

…………………………