บทที่ 864 เด็กๆ ที่เงียบงันบทที่ 861 เด็กๆ ที่เงียบงัน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 861 เด็กๆ ที่เงียบงัน

เด็กๆ ต่างก็ไม่ได้สังเกตว่ามีคนจ้องมองพวกเขาอยู่ พ่อบ้านปิดประตูลงด้วยความขุ่นเคืองและหันกลับพาซูมู่หรงไปข้างนอก เมื่อออกมานอกประตูพ่อบ้านก็เดินกลับออกไปทันที แต่ซูมู่หรงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

เขารู้มาก่อนว่าฉีเฟยอวิ๋นมีลูกอยู่ห้าคน แต่ก็ไม่เคยได้เจอสักครั้ง

วันนี้มาเจอแล้วกลับรู้สึกว่าพระเจ้าได้ตักเตือนเขาเข้าแล้ว

ผู้หญิงคนหนึ่ง ตราบใดที่เธอมีจิตใจที่ดี เธอจะไม่ทิ้งลูกเอาไว้โดยไม่สนใจไยดี อีกทั้งผู้หญิงคนนี้คือฉีเฟยอวิ๋น

จากที่เขารู้เกี่ยวกับฉีเฟยอวิ๋นนั้น บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ เธอจะทิ้งลูกของเธอและติดตามเขากลับไปได้อย่างไร

หากเธอทิ้งลูกเอาไว้จริง คิดว่าเขาก็คงไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้เช่นกัน

เช่นนั้นเธอก็คงไม่ใช่ฉีเฟยอวิ๋นที่รู้จักอีกต่อไป

เธอเคยพูดเอาไว้ว่า ชีวิตของคนอื่นทุกชีวิตล้วนสำคัญกว่าชีวิตของเธอเอง และทุกอย่างมีไว้เพื่อจุดประสงค์ของชีวิตและคุณค่าของการมีชีวิตอยู่

เขาลืมไปได้อย่างไร?

ซูมู่หรงเดินออกจากเรือนจวินจื่อและหยุดชะงักลงชั่วขณะ และมองไปรอบๆ เรือนจวินจื่อ สายตาของเขาไปหยุดตรงที่ป่าไผ่ที่อยู่ข้างหลังของเรือน ป่าไผ่ถูกลมพัดพลิ้วไหวและมีกลิ่นอายของใบไผ่เข้ามาจางๆ เป็นกลิ่นอายที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย

เขาใช้เวลาครึ่งชีวิตยุ่งกับความรับผิดชอบในชีวิตหน้าที่เมื่อชาติที่แล้ว และใช้เวลาครึ่งชีวิตหลังค้นคว้าว่าจะหาใครสักคนได้อย่างไร แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละมิติ

เขาค้นหาอยู่หลายที่ หาจนผมหงอกเต็มศีรษะ

เขาไม่เคยคิดมองคนข้างกายเลยสักนิด เขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำถึงรสชาติของโลกมนุษย์และความงามของชีวิต

ชีวิตนี้ทั้งชีวิตได้แต่พยายามมาโดยตลอด พยายามที่จะเอาชนะคนของหนานกงเย่ พยายามที่จะเอาอำนาจมาไว้ในมือ

ซูมู่หรงรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยแล้วและมองทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ มองไปที่ภายในห้องของเด็กๆ และเปิดประตูเดินเข้าไป

ครั้งนี้เด็กๆ หันไปมองคนที่กำลังเข้ามาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อเห็นซูมู่หรงก็ตกตะลึง ดวงตากลมโตของพวกเขาเบิกกว้าง และมองสุภาพบุรุษรูปงามที่เดินเข้ามาด้วยความแปลกใจ ชายผู้นั้นมองไปที่พวกเขาและยิ้มให้ เด็กๆ ต่างพากันลุกขึ้นยืนทันที

หวังฮวายอันลุกขึ้นยืนและถามไถ่ “เจ้าคือซูมู่หรง?”

“ใช่”

ซูมู่หรงถาม “เจ้าคือ?”

“ข้าคือหวังฮวายอัน!”

“ช่างคุ้นนัก เจ้าคือเสี่ยวกั๋วจิ้วใช่หรือไม่?”

“องค์ชายสามมาที่นี่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือ?” หวังฮวายอันพูดคุยอย่างมีมารยาท เด็กๆ ต่างก็ยืนด้วยความเรียบร้อยและมีมารยาท

“วันนี้ที่ข้ามาเพราะพ่อบ้านนำทางข้ามาที่นี่” ซูมู่หรงพูดและเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นมองไปที่เด็กๆ

“ข้าเป็นคนที่มาจากสถานที่อีกแห่งหนึ่ง พวกเจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร อยากรู้เรื่องของข้าหรือไม่?”

แม้ว่าซูมู่หรงจะซักถาม แต่เขาได้เดินเข้าไปนั่งแล้ว เด็กๆ ต่างมองดูคนแปลกหน้าคนนี้ที่เดินเข้ามาด้วยความประหลาดใจ แม้จะไม่ได้แปลกหน้าเช่นนั้น

เด็กๆ มองไปที่หวังฮวายอันที่อยู่ข้างหลัง หวังฮวายอันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมา “ข้าไปจากที่นี่ไม่ได้ องค์ชายสามจะรังเกียจหรือไม่?”

“ไม่รังเกียจ เชิญกั๋วจิ้วอยู่ที่นี่ได้ตามสบาย”

ซูมู่หรงมองไปที่เด็กๆ และสังเกตอย่างละเอียด แม้จะเป็นฝาแฝด แต่หน้าตาของเด็กๆ กลับไม่เหมือนกัน แต่หน้าตาของเด็กเหล่านี้นับว่าดูดีใช้ได้ แม้ว่าจะยังอายุน้อยอยู่ก็ตาม แต่จะเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานหรือไม่นั้น คิ้วของพวกเขาก็สวยงามและดูน่าดึงดูดอย่างมาก

ซูมู่หรงนึกถึงเรื่องราวในอดีตของฉีเฟยอวิ๋น เขามาอย่างกะทันหันและรู้สึกปล่อยวางลงเล็กน้อย

การกลับชาติมาเกิดของสวรรค์ หากพระเจ้าต้องการให้เธอมาที่นี่ เช่นนั้นเขาก็ยอมแพ้แล้ว!

ซูมู่หรงมองไปที่เด็กๆ และกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าเป็นครูฝึกของท่านแม่ของเจ้า ซึ่งก็คือศิษย์พี่ของนาง และมาจากที่เดียวกันกับนาง!”

เด็กๆ ต่างพากันตกตะลึงและมองหวังฮวายอันด้วยความประหลาดอยู่พักหนึ่ง หวังฮวายอันก็รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ซูมู่หรงพูดออกมา เพราะถึงอย่างไรซูมู่หรงก็มาจากปีกใต้ ต่อให้ตัวตนและสถานะของฉีเฟยอวิ๋นจะมีความเกี่ยวข้องกับปีกใต้ แต่ก็ยังมีเรื่องน่าแปลกอยู่บ้าง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก่อนหน้านี้ซูมู่หรงและฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยเจอกันมาก่อน

“ในเมื่อพวกเจ้ารู้สึกแปลกใจ เช่นนั้นก็นั่งลงฟังเถอะ” อันที่จริงหวังฮวายอันก็อยากรู้ จากนั้นจึงให้เด็กๆ พากันนั่งลง เขานั่งอยู่ข้างหลัง เด็กๆ ต่างนั่งกันอยู่ตรงหน้าของซูมู่หรง ซูมู่หรงรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งว่าไม่มีคนไหนเลยที่เป็นของเขา

การผิดพลาดเพียงครั้งเดียวนับว่าเป็นความผิดตลอดชีวิต

ชีวิตของคนเราก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่ควรจะหวงแหนและรักษาไว้กลับทำ เมื่อมาถึงตอนนี้กลับต้องการหวงแหนรักษา แต่ก็สายไปเสียแล้ว!

เขาจ้องมองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นซูมู่หรงจึงพูดขึ้นมา “สถานที่แห่งนั้นห่างไกลจากที่นี่อย่างน้อยหนึ่งพันปี แต่ไม่ได้อยู่ก่อนหน้าพวกเจ้า แต่เป็นข้างหลัง”

เด็กๆ ต่างตกตะลึง ซูมู่หรงกล่าวว่า “ข้าเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง มันอยู่ที่ที่ข้าพักอาศัยอยู่ เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับอนาคต และมีเรื่องที่เกี่ยวกับการมาที่นี่บ้างเล็กน้อย และอธิบายถึงข้าและท่านแม่ของพวกเจ้า และความสัมพันธ์ของที่นี่

นอกจากนี้ยังมีสิ่งประดิษฐ์ด้านอาวุธและยารักษาโรค ตลอดจนการวางแผนและการใช้งานจริงของบ้านเรือน นาข้าว ความเป็นอยู่ของผู้คน และการวางแผนในธุรกิจสำรองและการใช้งานได้จริง รอให้พวกเจ้ามีโอกาส พวกเจ้าก็ไปที่นั่น ไม่ว่าพวกเจ้าใครคนใดคนหนึ่งจะได้รับมัน ต้องแบ่งปันให้พี่ๆ น้องๆ ของพวกเจ้าดูด้วย และต้องปกครองดูแลที่นี่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม!”

เด็กๆ ต่างก็ยังงุนงงอยู่เล็กน้อย เจ้ารองถามขึ้นมา “ท่านเป็นใครกันแน่ สถานที่ที่ท่านพูดถึงนั้นเป็นอย่างไร? เป็นสถานที่ที่มีปืนใช่หรือไม่?”

เจ้ารองพูดขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาก็รู้ และยังหยิบของเล่นที่ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่นำมาจากโลกอนาคตออกมาให้ซูมู่หรงดู

เมื่อซูมู่หรงเห็นปืนก็หัวเราะออกมาและหยิบขึ้นมาด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว จากนั้นถอดอะไหล่ของปืนออกทั้งหมด

ทันใดนั้นเด็กๆ ต่างพากันตกตะลึง ขนาดหวังฮวายอันก็ตกใจไม่น้อย

ของเล่นเหล่านี้เขาเคยถามหนานกงเย่ว่ามาได้อย่างไร แต่หนานกงเย่กลับไม่ตอบ แต่บอกเพียงแต่ฉีเฟยอวิ๋นเป็นคนนำมา เขาเห็นตอนที่เด็กๆ เล่นมีลูกกระสุนออกมา เขาตรวจสอบดูแล้วและพบว่ามีความรุนแรงอยู่บ้าง เมื่อยิงไปที่กำแพงก็สามารถยิงทะลุกระดาษภาพวาดไปได้ หากยิงไปที่ร่างกายของคนจะต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน

เขาก็กำลังสั่งให้คนตรวจสอบ แต่พื้นผิวของปืนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเขาถามหนานกงเย่ เขาก็บอกว่าเป็นพลาสติก

สิ่งนั้นคืออะไรเขาก็ไม่รู้เช่นกัน

ไม่คิดเลยว่าซูมู่หรงจะถอดอะไหล่ออกมาได้ทั้งหมด

ขณะนี้เด็กๆ ต่างพากันจ้องมองซูมู่หรงอย่างใจจดใจจ่อ ดูเหมือนพวกเขาต่างก็รู้สึกอิจฉา

ซูมู่หรงกล่าวว่า “ถูกต้องนี่คือปืนของเล่นชนิดหนึ่ง แต่ที่ข้านำมาด้วยนั้นนับว่าดีที่สุด ทุกครั้งที่ท่านแม่ของเจ้ากลับไปหาข้า ข้ามักจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนาง ปืนของเล่นเหล่านี้ทำเลียนแบบของจริง และมีพิสัยการยิงไม่ถึงสิบเมตร ซึ่งเป็นระยะการเดินสิบห้าก้าวของข้า

แต่ระยะความรุนแรงนั้นสูงถึงหกเมตร นั่นก็คือระยะประมาณเก้าก้าวเดิน”

เจ้าสี่ยื่นมือออกไปจับปืนและต้องการจะประกอบ

ซูมู่หรงมองออกไป เด็กคนนี้ฉลาดมาก ท่าทางการเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วและรวดเร็ว อีกอย่างตอนที่เขาทำนั้นค่อนข้างกะทันหัน ไม่คิดเลยว่าเด็กคนนี้กลับจำได้ และรู้ว่าประกอบอย่างไร

“ท่านแม่ของเจ้าเคยสอนเจ้าหรือ?”

เจ้าสี่ส่ายหน้า เรื่องของท่านแม่เขาไม่รู้ เขาเงยหน้าขึ้นมองซูมู่หรงด้วยความงุนงงเล็กน้อย ถึงอย่างไรเสียก็เป็นเด็ก ต่อให้ฉลาดมากแค่ไหน บางเรื่องหากไม่มีกระบวนการ เขาก็ยังไม่เข้าใจ

ซูมู่หรงกล่าวว่า “ท่านแม่ของเจ้าเก่งมาก นางเป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียวของข้า!”

หวังฮวายอันขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เขายิ่งรู้สึกสับสน!

ซูมู่หรงหยิบปืนมาและค่อยๆ ประกอบเข้าด้วยกัน เขาประกอบพลางและอธิบายไปพลาง เด็กๆ ต่างจดจ่ออยู่กับการตั้งใจฟัง ซูมู่หรงพูดว่า “นี่เป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่แข็งมาก เป็นชนิดซึ่งถูกบีบอัดและอัดขึ้นรูปตามปืนจริงโดยผ่านความร้อนสูง

ท่านแม่ของพวกเจ้าเป็นทหารเสนารักษ์คนหนึ่ง การที่นางได้มาเป็นนักเรียนของข้าได้นั้น เพราะนางต้องการติดตามไปช่วยชีวิตผู้คนกับทีมพิเศษ เวลาพวกข้าไปปฏิบัติภารกิจ มักอาจต้องพบเจออันตราย ในฐานะนักวิจัย นางเป็นทหารเสนารักษ์ที่ดีที่สุด คำสั่งจากผู้บัญชาการขอให้นางเข้าร่วมกับพวกข้า แต่ในตอนแรกข้าไม่เห็นด้วยเพราะข้าไม่ชอบให้ผู้หญิงมาคอยฉุดรั้งการทำงาน

คนของข้าจำเป็นต้องเป็นคนที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญ หากพวกเขายอมที่จะบาดเจ็บ และไม่กลัวต่อความตาย แต่ก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ การเข้าร่วมปฏิบัติการของนาง นับว่าเป็นส่วนเกิน!”

ท่าทางของซูมู่หรงดูแข็งแกร่งน่าเกรงขาม เด็กๆ ต่างจ้องมองเขาอย่างจดจ่อ และใบหน้าที่เงียบงัน!