คนเรานั้น ก่อนที่จะมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ พวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่ไม่สามารถครอบครองได้ และรู้สึกเศร้าเสียดายกับสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไป 

 

 

ฉันคิดว่านั่นน่ะอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้ลองมองย้อนกลับมาดูตัวเองให้ดีๆ เพราะว่าที่โรงเรียนไม่ได้สอนวิธีในการเพลิดเพลินกับการขอบคุณในข้อดีของเรา ข้อเสียของเรา สิ่งที่เรามี และสิ่งที่เราทำสำเร็จ 

 

 

แม้ว่าฉันจะสูญเสียพ่อแม่ไป แต่ฉันก็ได้รับครอบครัวที่เรียกว่าคุณป้า และก็ยังมีคุณยายผู้มีค่าให้ฉันได้จดจำ แม้ว่าฉันจะไม่ได้ใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างปกติเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ แต่ฉันก็ยังมีทั้งเซจิน อีเซ และซูฮยอนที่เป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมงานที่ล้ำค่า ถึงฉันจะสูญเสียรุ่นพี่ในฐานะเสาหลักของชีวิตไป แต่ฉันก็ได้รับความรักอันล้ำค่าที่ไม่มีวันหาได้จากที่ไหนอีกกลับมา 

 

 

และคราวนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาที่เสียงของฉันจะหายไปทั้งที่เคยคิดว่ามันจะอยู่กับฉันเสมอ แต่ฉันก็จะยังคงจดจำ เสียงของลมที่เคยได้ยิน เสียงร้องของเหล่านก เสียงของน้ำในลำธารที่ไหลมาหลังจากน้ำแข็งละลายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ 

 

 

รวมไปถึงท้องฟ้าอันสดใสในฤดูใบไม้ผลิที่ทำให้หัวใจซึ่งเคยหดเล็กลงเพราะความหนาวตลอดฤดูหนาวกลับมาโปร่งโล่งอีกครั้ง แล้วก็ยังมีกลิ่นดินโคลน กลิ่นดอกไม้ที่ลอยโชยอยู่เต็มอากาศ ไปจนถึงสัมผัสนุ่มๆ ของลมในฤดูใบไม้ผลิที่มาทำให้ปลายจมูกรู้สึกจั๊กจี้ สิ่งเหล่านั้นจะยังคงหลงเหลืออยู่ 

 

 

ไม่ได้ยิน ไม่ได้แปลว่าฤดูใบไม้ผลิจะไม่มาถึงสักหน่อย และการที่ไม่ได้เต้นก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะจบสิ้นเช่นกัน แม้ว่าทุกอย่างจะสลายหายไป แต่ฉันก็ยังสามารถมีความสุขได้ เพื่อนๆ ของฉันก็จะยังคงอยู่เคียงข้างฉัน และมอบความรักให้แก่ฉันอย่างไม่เปลี่ยนแปลง กว่าที่ฉันจะได้ตระหนักรู้ถึงความเชื่อใจที่แท้จริงนั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเพิ่งจะข้ามภูเขาที่สูงชันมากเหลือเกินมา 

 

 

“แล้วฮวีกยอมล่ะ เตรียมตัวพร้อมรึยัง” 

 

 

ขณะที่ฉันกำลังยืนส่องไปทางที่นั่งที่มีผู้ชมอยู่เต็มไปหมดจากทางหลังเวที เสียงของอาจารย์ก็ดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันหน้ากลับไปดู อาจารย์จึงจัดเครื่องประดับศีรษะที่เสียบอยู่บนหัวของฉันให้เรียบร้อย พลางพูดชมว่า สวยจังเลย 

 

 

“ไม่ซ้อมอีกสักรอบก่อนขึ้นไปหน่อยเหรอ” 

 

 

“…ไม่เป็นไรค่ะ” 

 

 

ฉันแอบยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันไปมองทางห้องแต่งหน้าที่อยู่ห่างออกไปตรงสุดทางเดิน ภาพของรุ่นพี่ที่กำลังเช็คเครื่องสำอางบนหน้าปรากฎขึ้นมาลางๆ 

 

 

“เพราะว่ามันจะต้องออกมาดีแน่นอนค่ะ” 

 

 

“แหม มั่นใจมากเลยนะเนี่ย” 

 

 

ฉันยิ้มร่าให้กับอาจารย์ที่ตบไหล่ของฉันเบาๆ ก่อนจะเบนสายตามองไปยังคนดูที่อยู่ข้างหลังผ้าม่านอีกครั้ง การเต้นของฉัน และการแสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่ที่จะแสดงให้กับทุกคนได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว 

 

 

ฉันหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทาบลงตรงหน้าอก ชุดปักเลื่อมส่องแสงเป็นประกายเพราะแสงมากมายตกกระทบลงมา หัวใจที่ไม่ยอมแพ้กำลังเต้นดังตึกตัก แต่ว่ามันเป็นจังหวะการเต้นที่แตกต่างไปจากความกังวลและความกระวนกระวายใจเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ 

 

 

“ตื่นเต้นจัง” 

 

 

ฉันยิ้มออกมานิดๆ พลางละสายตาจากที่นั่งคนดู แล้วหันหลังช้าๆ ทั้งเสียงกรอบแกรบของกระโปรงบัลเลต์ ความรู้สึกของรองเท้าบัลเลต์ที่กระแทกลงกับพื้นเสียงดัง และความกังวลที่ทำให้ชาไปจนถึงปลายนิ้ว วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วนะ 

 

 

“โอ๊ะ มาแล้วเหรอ” 

 

 

รุ่นพี่ที่กำลังจัดชุดให้เรียบร้อยอยู่หน้ากระจกหันมามองฉันพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ฉันหัวเราะพร้อมกับสัมผัสเส้นผมที่ดูยุ่งเหยิงของรุ่นพี่อย่างเบามือ รุ่นพี่ที่แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วดูเหมือนกับเจ้าชายทรงเสน่ห์ไม่มีผิด 

 

 

“เมื่อกี้เพิ่งจะไปดูตรงที่นั่งคนดูมาน่ะค่ะ คนอื่นๆ มากันหมดแล้ว แถมยังได้ที่นั่งชั้นรอยัลตรงกลางด้วย ออกไปปุ๊บเดี๋ยวก็คงเห็นเองแหละค่ะ” 

 

 

“เจ้าพวกนี้ทำให้ตื่นเต้นเลยเนี่ย” 

 

 

รุ่นพี่หัวเราะเสียงดังออกมา ก่อนจะตบไหล่ฉันเบาๆ แล้วจึงเดินด้วยย่างก้าวที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังไปที่เวที เสียงปรบมือจากผู้ชมสำหรับเวทีที่เพิ่งจะจบไปเมื่อสักครู่นี้ดังสนั่นไปทั่ว ฉันเดินมายืนข้างรุ่นพี่แล้วแอบเงยหน้ามองใบหน้าด้านข้างของเขา 

 

 

ในที่สุดช่วงเวลาที่ฉันเคยฝัน และโอบกอดเอาไว้ข้างในจิตใจนับตั้งแต่วันหนึ่งในฤดูร้อนเมื่อนานมาแล้วที่ได้เจอกับรุ่นพี่ และตลอดช่วงเวลาอันยาวนานที่ฉันได้เต้นบัลเลต์เพื่อวิ่งไล่ตามหลังของรุ่นพี่ก็ได้มาอยู่ตรงหน้านี้แล้ว  

 

 

ในตอนนี้หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ จนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะได้แสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่ มากซะยิ่งกว่าที่จะนึกไปถึงว่านี่คือการแสดงครั้งสุดท้ายของฉัน 

 

 

“งั้นไปกันเลยไหม” 

 

 

รุ่นพี่ยิ้มเล็กๆ พร้อมกับยื่นมือมาให้ฉัน มือของรุ่นพี่เปียกเหงื่อนิดๆ ฉันค่อยๆ วางมือลงบนฝ่ามือของรุ่นพี่เบาๆ และแล้วในที่สุด ‘การเต้นครั้งสุดท้าย’ ก็มาถึง 

 

 

“ลำดับถัดไป ผู้จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายคารัม ลีอีกง และนักเรียนชั้นปีที่สองจากโรงเรียนมัธยมปลายคารัม คิมฮวีกยอม ในการแสดงปาเดอเดอจากเรื่อง Swan Lake ในองค์ที่สองครับ” 

 

 

ฉันได้ยินชื่อของรุ่นพี่และของฉันถูกเรียกออกมาตามลำดับอย่างชัดเจน สภาพร่างกายที่ดีที่สุด พร้อมกับอารมณ์ที่ดีที่สุด ฉันออกไปยังเวทีพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งหอประชุม หลังจากตั้งท่าเรียบร้อย ฉันก็รอให้ดนตรีเริ่มอีกครั้ง 

 

 

มือทั้งสองข้างของรุ่นพี่วางลงมาจนเกือบแตะมือของฉันที่ยื่นออกมาอย่างเชื่องช้า ในขณะเดียวกัน ดนตรีที่แม้จะสงบแต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์ก็ได้เริ่มต้นขึ้นมาช้าๆ 

 

 

ฉันลุกขึ้นมาช้าๆ เหมือนกับว่ากำลังโดนมือของรุ่นพี่ดึงขึ้นมา หลังจากนั้นก็เหยียดขาออกไปตรงๆ พร้อมกับค่อยๆ โน้มตัว ขยับแขนอย่างสง่างามให้เหมือนกับกำลังกระพือปีก ขณะที่เทิร์น อาราเบสก์[1] แล้วก็เทิร์น  

 

 

แสงไฟสาดส่องจนชายกระโปรงส่องประกายเป็นสีขาว จากนั้นเสียงที่เฉียดผ่านไปก็ดังแทรกเสียงดนตรีทะลุผ่านเข้ามาในหูของฉัน มือของรุ่นพี่พยุงฉันเอาไว้อย่างมั่นคง 

 

 

ดนตรีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจังหวะที่สนุกสนานขึ้น เมื่อฉันกระโดดลอยตัวกลางอากาศไปทางรุ่นพี่ สัมผัสหวิวๆ ก็แล่นเข้ามาจนถึงปลายหัว ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ทำนองของเครื่องดนตรีก็ค่อยๆ ห่างออกไป เหลือแต่เพียงเสียงลมหายใจของรุ่นพี่กับฉันที่ดังอยู่ในหู 

 

 

เพียงพริบตาเดียวเสียงลมหายใจบางๆ ของรุ่นพี่ก็ลอดออกมาจากริมฝีปากที่เข้ามาประชิดตรงหน้า จนทำให้หน้าผากของฉันรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันกำลังเต้นอย่างไร้สติไปตามลมหายใจของรุ่นพี่ โดยลืมทั้งเสียงดนตรีและความกังวลไปจนหมดสิ้น 

 

 

แม้แต่การเคลื่อนไหวเล็กๆ ของนิ้วมือ หรือเปลือกตาที่กะพริบเบาๆ ฉันรู้สึกว่าทั้งหมดนั่นล้วนแต่เชื่อมต่อกับรุ่นพี่ ฉันจะอธิบายถึงความรู้สึกที่เสียวซ่านจนขนลุกนี้ยังไงดีนะ ภายใต้ความรู้สึกที่มีแต่รุ่นพี่กับฉันเท่านั้นที่สามารถรู้สึกได้ ดวงตาของรุ่นพี่ที่หันมาสบตากับฉันอีกครั้งเหมือนกำลังยิ้มอยู่ในที 

 

 

ความรักที่เป็นดังพรหมลิขิตของโอเด็ตต์และซิกฟรีด และการเต้นเพื่อยืนยันความรักนั้น ดนตรีที่ค่อยๆ ไกลห่างออกไปท่ามกลางความเงียบงัน เวทีสุดท้ายของพวกเราค่อยๆ วิ่งไปถึงตอนจบ ฉันได้แต่รู้สึกเสียดายเวลาในตอนนี้ที่ไหลไปอย่างสิ้นหวัง 

 

 

ฉันมองขึ้นไปยังแสงไฟที่สาดส่องลงมาด้วยดวงตาที่กะพริบอย่างเชื่องช้า และสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อที่ยืดตึงจนถึงขีดสุดกำลังสั่นอยู่ ในตอนที่ฉันหายใจอย่างเหนื่อยหอบ พร้อมกับหันหน้าไปทางผู้ชมอย่างช้าๆ ดนตรีก็ได้จบลงไปเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ฉันได้ยินเสียงของรุ่นพี่ดังออกมาท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังสนั่นราวกับสายฝน ขณะที่อดกลั้นความรู้สึกตื้นตันเอาไว้ ฉันก็มองไปยังรุ่นพี่ รุ่นพี่ประทับรอยจูบลงบนหลังมือของฉันที่จับเอาไว้เบาๆ ก่อนจะยิ้มเหมือนกับปากจะฉีกออกมา แล้วกระซิบอย่างแผ่วเบา 

 

 

“เธอนี่มันสุดยอดจริงๆ” 

 

 

ฉันหันไปทางที่นั่งคนดูอีกครั้งด้วยใบหน้ามึนงง ใบหน้าที่คุ้นเคยเริ่มค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด อ้า ในตอนนั้นเองที่ฉันรู้สึกได้ว่านี่เป็นเรื่องจริง ในที่สุด ในที่สุดมันก็จบลงแล้ว การแสดงปาเดอเดอกับรุ่นพี่ที่เป็นทั้งครั้งแรกและครั้งสุดท้าย บัลเลต์ที่เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน 

 

 

จู่ๆ สัมผัสของรองเท้าบัลเลต์ที่คุ้นเคยอย่างกับเป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังกลับให้ความรู้สึกแปลกไป ใช่แล้ว ต่อไปนี้ฉันไม่จำเป็นจะต้องเต้นราวกับทรมานร่างกายด้วยความเจ็บปวดจนเหมือนกระดูกจะหักอีกต่อไปแล้ว ทำใจให้สบายดีกว่า 

 

 

ฉันจับมือของรุ่นพี่แล้วหันไปทักทายคนดูพร้อมรอยยิ้มแห่งความยินดี ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่น้ำตาอุ่นๆ ไหลลงมาที่แก้มอย่างไม่รู้สาเหตุ 

 

 

เมื่อคนเราได้รู้จักคำว่ายอมแพ้ พวกเขาจะไม่ถูกบังคับให้สร้างพื้นที่ว่างเปล่าขึ้นมา หรือพยายามที่จะอุดรอยรั่วเล็กๆ แต่จนกว่าที่จะได้เรียนรู้ว่าคำว่ายอมแพ้ไม่ได้หมายความว่าพ่ายแพ้ พวกเขาก็ต้องผ่านเวลาอันยาวนานมาอย่างเจ็บปวด  

 

 

เมื่อเสียไปก็คือเสียไป เมื่อเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน มันย่อมต้องมีคุณค่าหรือเหตุผลของตัวมันเอง นั่นคือสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองจากประสบการณ์เท่านั้น  

 

 

แม้ว่ามันจะเป็นฝันที่ไม่อาจกางปีกบินออกไปได้ดังใจนึก และทำได้เพียงแค่ยอมแพ้ แต่ฉันก็ยังได้ทำการแสดงครั้งสุดท้ายร่วมกับรุ่นพี่อย่างดีเยี่ยม และไม่มีอะไรผิดพลาด ฉะนั้นก็ไม่มีอะไรจะต้องมาเสียใจภายหลัง  

 

 

บางทีนักเต้นที่ชื่อว่า ‘คิมฮวีกยอม’ อาจจะถูกลืมไปในเวลาไม่นานนัก แต่ฉันไม่ได้รู้สึกเสียดายหรอก เพราะการถูกลืมนั้นแปลว่าอย่างน้อยๆ เราเคยถูกใครบางคนจดจำเอาไว้แม้จะเพียงครู่นึงก็ตาม 

 

 

รุ่นพี่ที่ทิ้งเสียงปรบมือที่ดังต่อเนื่องและยาวนานเอาไว้ด้านหลังก่อนจะเดินไปทางหลังเวที จับมือฉันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย พวกเราที่เดินเคียงข้างไปพร้อมๆ กัน ในตอนนี้ได้เดินไปบนคนละเส้นทางโดยสมบูรณ์แบบแล้ว 

 

 

แต่ในตอนนี้ฉันก็เข้าใจแล้ว ว่าต่อให้ไม่มีตัวกลางที่เรียกว่าการเต้นนั้น รุ่นพี่และฉันก็จะไม่มีวันปล่อยมือที่จับกันไปไหน ถึงแม้ว่าเวทีสุดท้ายของพวกเราจะจบลงไป แต่คราวนี้ความฝันของฉันก็จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ฉันล้างเครื่องสำอางแล้วกลับมาที่ห้องเปลี่ยนเสื้อ ก่อนจะเหลือบมองไปที่ชุดหงส์ขาวที่แขวนเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ราวแขวนเสื้อ ชุดหงส์สีขาวที่สว่างจนแสบตากำลังส่องประกายอย่างสง่างามเหมือนกับสายรุ้งแม้ว่าจะอยู่ภายใต้แสงไฟนีออน 

 

 

ฉันลูบๆ คลำๆ ชุดนั้นด้วยความรู้สึกโล่งใจปนใจหายอยู่สักพัก ก่อนที่จะถือสัมภาระแล้วเดินออกมาข้างนอกช้าๆ ตรงล็อบบี้มีผู้คนยืนกระจุกตัวกันอยู่อย่างวุ่นวายเป็นจำนวนมาก 

 

 

พอนึกได้ว่าคุณป้าและพวกเพื่อนๆ คงจะรออยู่ข้างนอกตึก ฉันจึงพยายามเร่งฝีเท้า แต่อยู่ดีๆ ก็มีรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งมาขวางหน้าฉันเอาไว้ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกำสายสะพายกระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่ไว้แน่น 

 

 

“ตอนนี้ค่อยสมกับเป็นฮวีกยอมหน่อย พี่ชอบแบบนี้มากกว่าอีก” 

 

 

ใบหน้าของรุ่นพี่ที่กำลังหัวเราะออกมาเสียงดังๆ ดูใสกิ๊ง หน้าสดของรุ่นพี่ที่ล้างเครื่องสำอางออกอย่างสะอาดหมดจด ฉันเองก็พลอยหัวเราะเสียงดังออกมาด้วยเช่นกัน 

 

 

“ฉันก็รู้สึกเหมือนกันค่ะ ว่ารุ่นพี่แบบนี้ดีกว่าอีกนะคะเนี่ย” 

 

 

การตอบโต้อย่างหยอกล้อของฉันทำให้รุ่นพี่หันหน้ามาระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะอุทานออกมาว่า แหม ขณะที่เอานิ้วมือดีดลงตรงหน้าผากของฉัน ฮ่าๆ ฉันจึงหัวเราะพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะจ้องรุ่นพี่นิ่ง  

 

 

เสียงดังโหวกเหวกของผู้คนมากมายเริ่มซาลงไป ฉันเริ่มจะจินตนาการว่าในพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้มีเพียงแค่รุ่นพี่กับฉันสองคน 

 

 

“ขอบคุณนะคะ รุ่นพี่” 

 

 

ฉันยืนตัวตรงก่อนจะโค้งตัวให้กับรุ่นพี่ 

 

 

“ขอบคุณมากจริงๆ นะคะที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับบัลเลต์ ให้ฉันได้ฝัน แล้วก็ยังแสดงเวทีครั้งสุดท้ายกับฉันอีก” 

 

 

ฉันกล่าวขอบคุณรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่ความจริงที่ว่านี่คือตอนจบจริงๆ แล้วนะจะซัดสาดเข้ามาเหมือนเกลียวคลื่น ปลายจมูกก็เจ็บแสบพร้อมกับน้ำตาที่หวนกลับมา ฉันพยายามยิ้มสู้ พลางยืดหลังที่ก้มโค้งอยู่ให้กลับมาตรง  

 

 

แสงสีส้มอมแดงของดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินทอดตัวลงมาทางด้านหลังของรุ่นพี่ เป็นเพราะรุ่นพี่ยืนหันหลังให้กับแสง ฉันจึงมองเห็นใบหน้าที่มีเงาตกกระทบได้ไม่ถนัดนัก จึงเผลอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดออกไป แต่แล้วอยู่ๆ รุ่นพี่ก็เดินตรงมาข้างหน้าฉัน แล้วยืดแขนทั้งสองข้างมากอดฉันไว้อย่างแรงโดยไม่สนใจคนรอบข้างเลยสักนิด 

 

 

“รุ่นพี่คะ…” 

 

 

“เชื่อในตัวพี่ แล้วก็ลองแสดงความกล้าออกมาอีกสักครั้งสิ” 

 

 

มือของรุ่นพี่ที่ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ผละจากแขนของฉัน ก่อนจะมาประสานกับมือของฉัน ระยะห่างที่ว่างเปล่าระหว่างฉันกับรุ่นพี่ที่ค่อยๆ น้อยลง รุ่นพี่เอานิ้วโป้งลูบไล้ช้าๆ ลงบนมือของฉันที่เขาจับเอาไว้อยู่ แล้วจึงพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา 

 

 

“บอกสิว่าจะไม่ยอมแพ้ ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย สัญญากับพี่สิว่าความฝันของเธอจะเริ่มต้นอีกครั้ง” 

 

 

แสงอาทิตย์ที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตรงไหล่ของรุ่นพี่กำลังระยิบระยับแสบตาจนฉันไม่สามารถมองตรงไปยังรุ่นพี่ได้เลย และแล้วในตอนที่เงาของรุ่นพี่ตกลงบนใบหน้าของฉัน ฉันก็หลับตานิ่ง 

 

 

อ้า สุดท้ายน้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว ยัยขี้แย ยัยขี้ขลาด ยัยติ๊งต๊อง ยัยทึ่มเอ๊ย แม้ว่าฉันจะเอาแต่ว่าตัวเองเหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้หัวใจมันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือรู้สึกสมเพชตัวเองอีกต่อไปแล้ว 

 

 

เป็นเพราะมีผู้ชายที่เท่ที่สุดในโลกที่ชื่อว่าลีอีกงอยู่เคียงข้างฉัน กำลังจับมือของฉัน จูบฉัน ดังนั้นต่อให้ฉันไม่ได้ยินอะไร หรือต่อให้ต้องสูญเสียบัลเลต์ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่คนที่ชื่อ คิมฮวีกยอมคนนี้ ก็จะยังคงเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก 

 

 

“พี่รักเธอนะ” 

 

 

น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่ยังคงมีน้ำหนักพอดิบพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป เหมือนทุกครั้งดังออกมาเบาๆ เหมือนกับเสียงกระซิบ ฉันหัวเราะในลำคอ พลางยืดแขนทั้งสองข้างไปโอบรอบคอของรุ่นพี่ช้าๆ 

 

 

รสอันขมขื่นของน้ำตาไหลเอื่อยๆ ลงมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง ผู้คนที่ยืนออกันอยู่ตรงล็อบบี้ต่างก็หันมามองพวกเรา พร้อมกับเสียงดังโหวกเหวกที่ได้ยินไม่ค่อยถนัดหู ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แสงอาทิตย์ที่เข้มยิ่งขึ้นก็ได้ย้อมท้องฟ้าให้ดูมันวาวเหมือนกับท้องฟ้าในฤดูร้อน 

 

 

แล้วฤดูใบไม้ผลิอันแสนงดงามของฉันที่หวังว่าจะไม่จบลงก็จบลงไปแบบนั้น พร้อมกับฤดูร้อนที่กลับมาอีกครั้ง และฉันก็ได้สูญเสียการได้ยินเสียงไปพร้อมกับลางร้ายแห่งฤดูร้อนที่ยังคงตามมาหลอกหลอนฉัน 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

[1] อาราเบสก์ คือท่าที่ขาข้างหนึ่งรองรับน้ำหนักทั้งหมดและขาอีกข้างยกไปทางข้างหลัง โดยขาข้างที่ยกจะเป็นเส้นตรงไม่งอเข่า และพอยท์เท้าเพื่อความสวยงามของท่า