ตอนที่ 433 ดีใจเสียเปล่า

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 433 ดีใจเสียเปล่า โดย Ink Stone_Fantasy

ตั้งแต่เด็กเยี่ยเทียนอาศัยอยู่กับบิดาที่คอยเลี้ยงดู พึ่งพาอาศัยตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน คำว่าแม่สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่ค่อยได้ปรากฏในชีวิตบ่อยนัก คล้ายกับว่าการดำรงอยู่ของแม่นั้นไม่ได้มีผลกับเยี่ยเทียนสักเท่าไหร่

แต่ไม่มีใครรู้ว่า เยี่ยเทียนตอนเด็กเวลามีเรื่องชกต่อยกันก็เพราะถูกเด็กคนอื่นล้อเลียนลบหลู่แม่ของเขา ดังนั้นความรู้สึกของคำว่าแม่ต่อเยี่ยเทียนนั้นช่างแปลกใหม่มาก

แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปตามอายุที่มากขึ้น เค้าโครงของแม่ในความทรงจำของเยี่ยเทียนค่อยๆ เลือนรางลง จนนึกไม่ออกแล้ว

เยี่ยเทียนเชื่อมาตลอดเวลาเขาหากได้เผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้ เขาคงไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่เมื่อได้ยินเยี่ยตงผิงพูดถึงแม่ของเขา ในใจกลับหวั่นไหวเหมือนถูกคลื่นใหญ่ถาโถมไม่อาจสงบลงได้โดยง่าย

เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามระงับความรู้สึกตัวเอง ถามผู้เป็นพ่อว่า “พ่อ เธออยู่ที่ไหน ผม…ผมอยากไปพบเธอหน่อย!”

เยี่ยเทียนไม่เคยเรียกคำว่า “แม่” ออกมาจากปากเลยตั้งแต่เกิดมา ตอนนี้จะให้เรียก สีหน้ากลับบ่งบอกว่าราวกับกล่าวถึงบุคคลที่สามที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด

เยี่ยตงผิงเหลือบมองลูกชาย สั่นหัวแล้วพูดต่อ “กลับไปแล้ว กลับไปอเมริกาเมื่อสามวันก่อน”

“อะไรนะ? ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?!” ความรู้สึกที่เก็บกดอยู่ภายในแปรเปลี่ยนเป็นโทสะ “พ่อ ทำไมพ่อไม่โทรบอกผมเล่า? ทำไม?!”

เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนเพิ่งนั่งรถดิ่งลงมาจากเขา เพิ่งจะได้ข่าวมารดาเป็นครั้งแรก ในครู่เดียวทุกอย่างกลับว่างเปล่า เขาจึงรู้สึกโหวงเหวงใจมากทีเดียว

เสียงตะโกนของเยี่ยเทียนทำให้คนอื่นที่ดื่มสุรากันอยู่หันมามอง โก่วซินเจียตะโกนถามมาว่า “ศิษย์น้องเล็ก ต้องหัดควบคุมความโกรธนะ!”

“จีจี…จีจี!”

เจ้าเหมาโถวอย่างกับสัมผัสได้ว่าเยี่ยเทียนกำลังโกรธวิ่งขึ้นมาจากสระน้ำปีนขึ้นไปพันบนไหล่เยี่ยเทียน ทำเอาหัวไหล่ของเขาเปียกโชก แต่หยกสีดำที่มันกอดไว้หล่นหายไป

หยดน้ำเย็นที่กระเซ็นโดนใบหน้าทำให้เยี่ยเทียนใจเย็นลง ตะโกนตอบกลับไปว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ผมรู้แล้ว”

“พ่อ ผมอยากได้คำอธิบาย” เยี่ยเทียนหันกลับไปเผชิญหน้ากับบิดา ความรุ่มร้อนในใจผ่อนคลายลง

ข่าวการมาปักกิ่งของแม่ทำให้เยี่ยเทียนทั้งตื่นเต้นทั้งเครียดกดดัน เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะเผชิญหน้ากับแม่ที่ไม่เคยรู้จักของตัวเองอย่างไรดี เขารู้สึกตกประหม่ามากกว่าดีใจ

แต่พอพ่อบอกว่าแม่กลับไปแล้ว เยี่ยเทียนโกรธมาก แต่ผ่อนคลายลงเช่นกัน เขาเองก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่

“เจ้าเด็กบ้า ทำไมแกถึงสอบสวนฉันอย่างนี้?”

เยี่ยตงผิงได้ยินคำว่าต้องการคำอธิบายจากบุตรชายแล้วโกรธขึ้นมา ดุด่าต่อว่า “ฉันโทรหาแกแล้ว โทรศัพท์แกโทรไม่ติด โทรหาชิงหย่า เขาก็บอกว่าแกอยู่ที่เขาฉางไป๋ซาน ติดต่อแกไม่ได้เหมือนกัน แล้วจะให้ฉันทำยังไง?”

เพราะการเดินทางกลับมาของซ่งเวยหลันครั้งนี้ค่อนข้างฉุกละหุก ได้บอกเยี่ยตงผิงล่วงหน้าเพียงวันเดียว ตอนนั้นเขาก็ตามหาตัวเยี่ยเทียนแทบพลิกแผ่นดิน แต่ไม่สามารถติดต่อเยี่ยเทียนได้เลย

ตอนหลังโทรศัพท์ติดต่ออวี๋ชิงหย่าจึงได้ทราบว่าเยี่ยเทียนอยู่ในป่าหุบเขาลึก เยี่ยตงผิงไม่ได้บอกให้ชิงหย่ารับรู้ เพราะถึงอย่างไรเธอยังไม่ได้แต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้

“ผม…เฮ้อ ผมผิดเอง”

เยี่ยเทียนคำนวณดู วันที่แม่กลับมาน่าจะตรงกับวันที่เขาขึ้นเขาฉางไป๋ซานพอดี ช่วงนั้นเขาอาศัยอยู่ในป่าลึก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เข้าถึง

แม่อยู่ในประเทศจีนแค่สัปดาห์เดียว เขาเองก็อยู่บนเขาตลอดช่วงเวลานั้นเช่นกัน เพราะความผิดพลาด ทำให้เสียโอกาสที่เขาจะได้พบแม่

เยี่ยเทียนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วถามต่อว่า “พ่อ เขา…เขากลับมาทำอะไรเหรอ? แล้วจะมาอีกเมื่อไหร่?”

“มาพบกับซ่งเฮ่าเทียน ส่วนรายละเอียดน่ะฉันไม่รู้ ฉันได้เจอเขาแค่แป๊บเดียวเอง….”

เยี่ยตงผิงไม่ได้รู้สึกดีกับพ่อตานัก ปกติจึงเรียกแต่ชื่อจริง ตอนที่กล่าวถึงแม่ของเยี่ยเทียนนั้น สีหน้ากลับฉายแววอ่อนโยนที่หาได้ยาก

สภาพจิตใจของเยี่ยตงผิงก่อนที่จะได้พบกับซ่งเวยหลันนั้นไม่ต่างจากบุตรชายนัก ยังไงเวลาจะช่วยเยียวยาชะล้างหลายสิ่ง ยี่สิบกว่าปีที่ไม่ได้พบกัน เยี่ยตงผิงไม่รู้เลยว่าหญิงที่เคยเป็นภรรยาของเขานั้นยังจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งได้หรือไม่?

แต่เมื่อพบซ่งเวยหลันแล้ว เยี่ยตงผิงก็เข้าใจ ชีวิตนี้ทั้งชีวิตของเขาอยู่ต่อไปได้ก็เพราะผู้หญิงคนนี้ นอกจากเธอแล้ว จะไม่มีหญิงอื่นที่สามารถเข้ามาในชีวิตของเขาได้อีก

กาลเวลาไม่อาจลบล้างความรักของคนทั้งสองให้น้อยลง แม้สถานะทางสังคม ฐานะทางการเงินที่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ตัดขาดความผูกพันของทั้งคู่

คืนนั้นเยี่ยตงผิงพูดคุยกับภรรยาถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องของลูกชาย เหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอมาในหลายปีนี้ ระยะห่างของกาลเวลาไม่อาจทำให้ความสนิทสนมรักใคร่น้อยลงเลย

เพียงแต่เยี่ยตงผิงยังผูกใจเจ็บกับบ้านตระกูลซ่ง เขาไม่ได้ซักไซ้ซ่งเวยหลันถึงธุระที่กลับมาประเทศจีน เธอขอให้เขาไปพบกับซ่งเฮ่าเทียนเขายังปฏิเสธเลย

เยี่ยตงผิงเล่าถึงการพบซ่งเวยหลันให้บุตรชายฟังจบ ก็ลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยออกมา “เยี่ยเทียน แม่แกก่อนจะกลับน่ะได้บอกไว้ว่า อยาก…อยากให้แกไปพบซ่งเฮ่าเทียนสักครั้ง ฉันไม่รู้ว่าแกจะคิดยังไง”

แม้จะไม่ถูกชะตากับพ่อตาอย่างรุนแรง แต่ตอนนี้ลูกชายของเขาโตเป็นหนุ่มแล้ว เยี่ยตงผิงไม่อยากให้ความแค้นที่มีมาตลอดชีวิตถูกถ่ายทอดไปสู่เยี่ยเทียนอีกคน อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็เป็นตาของเยี่ยเทียน

“พ่อ ผมไม่อยากไปเจอตาแก่นั่น จะให้ผมไป?” เยี่ยเทียนฟังพ่อพูดจบก็ถลึงตาใส่ พ่อของเขาไม่ได้ถูกชะตากับบ้านซ่ง แล้วเขาต้องเห็นบ้านซ่งอยู่ในสายตาด้วยหรือ?”

ยังไม่นับคนที่ชื่อซ่งเซี่ยวหลงที่หวังปองร้ายเอาชีวิตเขาหลายครั้ง ทั้งทำให้เยี่ยเทียนไม่ได้รับความอบอุ่นจากแม่นานถึงยี่สิบกว่าปี เยี่ยเทียนจะยอมยกโทษให้ซ่งเฮ่าเทียนได้อย่างไร

แม้ว่าการทำลายฮวงจุ้ยเป็นกฎข้อห้ามของสำนัก แต่ถ้าไม่นึกถึงความรู้สึกของแม่เขาล่ะก็ ป่านนี้เยี่ยเทียนคงแอบไปที่เซี่ยงไฮ้ทำลายสุสานบรรพชนตระกูลซ่งหมดแล้ว

เยี่ยตงผิงส่ายหัว ตอบว่า “ฉันก็ไม่ได้บอกให้แกไปนี่ เรื่องนี้แกตัดสินใจเอาเอง ฉันแค่บอกตามคำของแม่แกเท่านั้น”

“ไม่พบ คนแบบนั้นไม่มีความเป็นคนเลย ผมไม่เคยคิดว่าซ่งเฮ่าเทียนเป็นตา เขาเองก็ไม่ได้เห็นผมเป็นลูกหลานเหมือนกัน อย่างนี้แล้วไม่พบเลยเสียยังจะดีกว่า!”

เยี่ยเทียนเป็นคนมีความคิดอ่านเป็นของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก อย่าว่าแต่เขาไม่รู้จักแม่ของตัวเองเลย แม้แต่ผู้เป็นบิดายังเปลี่ยนความคิดของเขาไม่ได้ เยี่ยเทียนแสดงออกชัดเจนว่าจะไม่ไป

เสียงของเยี่ยเทียนยังไม่ทันขาดคำ โก่วซินเจียอยู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมาว่า “พูดได้ดี ไม่พบเลยยังจะดีเสียกว่า เยี่ยเทียน ถ้าวันหนึ่งแกเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ศิษย์พี่จะพาแกไปพบซ่งเฮ่าเทียนเอง!”

แม้ว่าเยี่ยตงผิงพ่อลูกจะพูดคุยกันด้วยเสียงไม่ดังนัก แต่ด้วยระยะใกล้แค่นี้ ด้วยการฝึกวิชาขั้นสูงของโก่วซินเจีย แม้แต่เสียงลมพัดกลีบดอกไม้ร่วงยังหนีไม่พ้นความไวของหูเขาได้ ถึงไม่อยากฟัง แต่ก็ไม่สามารถอุดหูไว้ได้

แต่นอกจากโก่วซินเจียแล้ว หูหงเต๋อและโจวเสี้ยวเทียนกลับไม่ได้ยินสิ่งที่พ่อลูกคุยกัน พอนักพรตเฒ่าอยู่ ๆ ก็พูดออกมาทันใด ทั้งคู่จึงได้แต่งุนงง

โก่วซินเจียเห็นท่าทางสงสัยของหูหงจวินและโจวเสี้ยวเทียนแล้วก็โบกมือ “พอได้ยินชื่อสหายเก่า ก็เลยพูดออกมาแค่นั้นเอง เราคุยกันต่อเถอะ เต๋อหวาจึ นายตอนนั้น….”

กำลังพูดถึงเรื่องอื่นแต่ในใจของโก่วซินเจียกลับนึกถึงชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว สำหรับโก่วซินเจียแล้วซ่งเฮ่าเทียนไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่อย่างใด เขาทั้งสองได้รู้จักกันมานานแล้ว

เมื่อได้ยินว่าซ่งเฮ่าเทียนเป็นตาของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียตกตะลึงจนอยากจะพบกับเขาด้วยตัวเอง อย่างน้อยมิตรสหายที่ยังเหลืออยู่บนโลกนี้ของเขาก็เหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว

“ศิษย์พี่ หูของท่านช่างไวดีจริง? ได้ งั้นเราไปคุยกันต่อที่เรือนด้านหลัง ผมเองก็มีของที่จะฝากไปให้พวกอาหญิงด้วย”

พอถูกโก่วซิจนเจียขัดเข้า เยี่ยเทียนหัวเราะร่าออกมา ตะโกนสั่งเสียงดัง “เซี่ยวเทียน ไปเป็นเพื่อนเหล่าหูหน่อย วันนี้เขาดื่มจนเมาแล้ว!”

โจวเซี่ยวเทียนหัวเราะตอบ “อาจารย์ วางใจเถอะ ผมเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ ศิษย์พี่หูจะสู้ผมได้เหรอ?”

“เด็กบ้า ฉันเหล่าหูแห่งเขาฉางไป๋คอแข็งไร้เทียมทาน นายจะดื่มแข่งกับฉัน ยังถือว่าอ่อนไป!” หูหงจวินไม่ได้ถือตัวมาก ดื่มเหล้าไปได้ครึ่งหนึ่งก็เรียกโจวเซี่ยวเทียนเป็นพี่น้องแล้ว

“พ่อ เราไปที่เรือนด้านหลังกันเถอะ” เยี่ยเทียนยิ้มแล้วอุ้มเจ้าเหมาโถวขึ้นมา กล่าวต่อว่า “ไปเล่นเองเถอะ ของสิ่งนั้นอย่าทำหายเสียล่ะ!”

วางหยกดำไว้ให้เหมาโถวแล้วเยี่ยเทียนไม่ได้กังวลใจนัก ในโลกนี้ถ้าจะมีใครมาแย่งของจากเจ้าเหมาโถวได้นั้นคงจะไม่มี แม้แต่ตัวเขาเองยังทำไม่ได้เลย

“จีจี!”

เหมาโถวร้องรับเสียงแหลม ใช้กรงเล็บชี้ไปที่สระน้ำ เยี่ยเทียนก้มลงมองตามแล้วก็อึ้งไป เจ้าตัวแสบโยนหยกดำลงไปในสระเสียแล้ว

จากสระน้ำบ่อตื้นที่น้ำใสสะอาด ตอนนี้กลับเปลี่ยนสีไป แม้ถึงจะไม่ดำเป็นน้ำคลำ แต่ก็เหมือนกับน้ำล้างสีพู่กันไม่ปาน แม้แต่ปลาที่ว่ายไปมาในสระก็มองเห็นไม่ถนัดแล้ว

อีกทั้งสระน้ำนั้นยังให้ความชุ่มช่ำแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ ผสมปนเปกับพลังจักรวาลมงคลแล้วยังความสมบูรณ์ให้เกิดขึ้น ทำให้ในตัวเรือนนั้นมีพลังจิตวิญญาณมงคลยิ่งเพิ่มพูล

“ทีหลังกลับไปต้องถามมังกรดำในน้ำว่าที่ก้นสระมีก้อนหินแบบนี้อีกเท่าไหร่?”

เยี่ยเทียนเห็นสีดำดังเกล็ดมังกรของสระน้ำแล้วคิดตรึกตรองขึ้นมา ถ้าหากหาหินสีดำแบบนี้มาอีกสี่ห้าก้อน ต่อไปหากพลังมังกรจากพระราชวังต้องห้ามถูกดูดกลืนจนหมดสิ้นแล้ว เขายังสามารถใช้สระน้ำนี้เป็นเนตรค่ายกลเพื่อตั้งค่ายกลใหม่ได้อีก

“เยี่ยเทียน นี่…นี่คืออะไร?”

เยี่ยตงผิงเดินเข้ามาที่เรือนด้านหลังแล้วถามเยี่ยเทียนถึงหนังเสือที่ถูกขึงแขวนอยู่หน้าประตู ทำเอาเยี่ยตกผิงตกอกตกใจ

“พ่อ นั่นเป็นหนังเสือ เดี๋ยวพอฟอกเสร็จแล้วผมค่อยเอามายึดตรึงกับเก้าอี้ วางไว้ในห้องรับแขก เรือนสี่ประสานของผมก็กลายเป็นห้องประชุมได้แล้ว!”

เยี่ยเทียนพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย พลางลากพ่อของเขาที่ดูอกสั่นขวัญหายเข้าไปในห้อง แม้ตอนแรกจะดีใจที่แม่ของเขามาถึงที่ปักกิ่งนี่ แต่เขายังอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้