ตอนที่ 821 จดหมายของฟู่เสี่ยวกวน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 821 จดหมายของฟู่เสี่ยวกวน

ไอร้อนระอุของฤดูร้อนที่เมืองจินหลิงนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกมิสบายตัว

นี่เพิ่งจะวันที่ห้า เดือนหก ทว่าสุริยาก็ทำหน้าที่ประดุจเตาถ่าน คอยแผดเผาเมืองจินหลิงให้ลุกเป็นไฟเสียแล้ว

เมื่อการประชุมราชสำนักยามเช้าสิ้นสุดลง ฮ่องเต้ก็ได้เสด็จกลับวังเตี๋ยอี๋ทันที เนื่องจากฮองเฮาซั่งเสด็จมาถึงแล้ว อีกทั้งองค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินก็ได้มาเยือนด้วยเช่นกัน

ฮองเฮาซั่งสวมใส่ฉลองพระองค์สีขาว นางรับสั่งนางกำนัลว่าให้นำอ่างน้ำแข็งจำนวน 2 อ่างมาวางไว้ในห้องบรรทม

หยูเวิ่นหวินนั่งทำซวนเหมยทาง1อย่างเงียบเชียบหน้าโต๊ะน้ำชา เพื่อรอพระมารดาออกมาจากห้องบรรทม

“เหตุใดมิพาอี้อันกลับมาด้วยเล่า ? ”

หยูเวิ่นหวินยกยิ้มเบาบางแล้วทูลว่า “อากาศร้อนเกินไปเพคะ เขาอยู่ได้แค่ในห้องเย็น ๆ เท่านั้น หากออกนอกห้องเมื่อใดก็จะร้องไห้งอแงตลอด”

ฮองเฮาซั่งประทับลงฝั่งตรงข้ามหยูเวิ่นหวิน “เขาโดนเจ้าตามใจจนเสียนิสัย มิได้รับความแข็งแกร่งเยี่ยงบิดาเอาเสียเลย… เสี่ยวกวนตอบจดหมายมาบ้างหรือไม่ ? ”

“เขาตอบมาแล้วเพคะ บอกว่ากำลังวุ่นอยู่กับเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน ที่ลูกมาในวันนี้ก็เพื่อมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่และนำจดหมายที่เขาเขียนมาถวายให้แก่เสด็จพ่อด้วยเพคะ”

“อ่า…” ระหว่างพระขนงของฮองเฮาซั่งขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

หยูเวิ่นหวินรินซวนเหมยทางให้พระองค์ จากนั้นก็ทูลถามว่า “เสด็จแม่ลำบากมาตลอดพระชนม์ชีพ อีกมินานตัวลูกก็ต้องจากเมืองจินหลิงแห่งนี้ไปแล้ว ต่อแต่นี้อาจจะมิมีโอกาสได้แสดงความกตัญญูต่อเสด็จแม่อีกแล้วเพคะ ”

ฮองเฮาซั่งถอนพระทัยยาวออกมา “แม่ยังมีพี่ชายของเจ้าอยู่ข้างกาย เจ้าไปอยู่ที่ราชวงศ์อู๋ก็มีต่งชูหลานและคนอื่น ๆ อยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา แม่มิรู้ว่าเมื่อเขาครองบัลลังก์แล้ว ผู้ใดจะถูกแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดินี แต่ที่แม่ต้องการจะบอกเจ้าก็คือ สิ่งใดที่ควรช่วงชิงในวังหลังก็จงเข้าไปช่วงชิงมาเสีย แต่สิ่งใดที่มิควรช่วงชิงก็อย่าริอ่านเข้าไปช่วงชิงมาเป็นอันขาด”

“เสี่ยวกวนเข้าใจกฎเกณฑ์เรื่องนี้ดี และการที่เจ้าสามารถอบรมสั่งสอนอี้อันให้ดีได้ย่อมเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

“สตรีจะดูสูงส่งได้เพราะบุตรชาย มิว่าจะกี่ยุคกี่สมัยคำเอ่ยนี้ก็ยังคงใช้ได้เสมอ…”

เมื่อสิ้นสุดเสียงของฮองเฮาซั่ง องค์ฮ่องเต้ก็ได้เสด็จเข้ามา

หยูเวิ่นหวินลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพ เมื่อฝ่าบาทประทับลงแล้ว นางจึงรินชาถวายแด่พระองค์

“ได้กำหนดการเดินทางแล้วใช่หรือไม่ ? ” ฮ่องเต้ตรัสถาม น้ำเสียงของพระองค์เปี่ยมไปด้วยความเมตตา

“กำหนดแล้วเพคะ พวกเราจะออกเดินทางในวันที่แปดเดือนหกเพคะ”

พระหัตถ์ข้างที่ถือถ้วยซวนเหมยทางสั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากนั้นฝ่าบาทก็ยกเสวยเข้าไป “เร่งรีบถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”

“ทูลเสด็จพ่อ เดิมทีวางแผนว่ารอเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงเพื่อให้อากาศเย็นสบายอีกหน่อยค่อยออกเดินทางเพคะ ทว่าท่านพี่ส่งจดหมายมาบอกว่ามิอาจให้พวกโจวถงถงพำนักอยู่ในเมืองหลวงได้นานเกินไปเพคะ หากพวกเรามิออกเดินทาง โจงถงถงก็มิอาจไปจากเมืองหลวงได้ เมื่อครุ่นคิดแล้วเยี่ยงไรก็ต้องไปอยู่ดี เช่นนั้นก็รีบออกเดินทางเสียดีกว่าเพคะ”

หยูเวิ่นหวินนำจดหมายออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อ จากนั้นก็ถวายให้แด่ฮ่องเต้ “นี่คือหนึ่งในจดหมายที่ส่งมาเมื่อวานนี้เพคะ จดหมายฉบับนี้ท่านพี่ได้กำชับลูกว่าให้นำมาถวายเสด็จพ่อ”

ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนง รับจดหมายไปทอดพระเนตร

‘เรียนท่านพ่อตา ! ’

การที่เขาเรียกพ่อตาแทนฝ่าบาท…เพราะนี่เป็นจดหมายภายในครอบครัว ซึ่งหมายความว่าทั้งสองมิได้มีสถานะเป็นองค์เหนือหัวและขุนนางอีกต่อไป !

‘ทุกวันนี้บุตรเขยสามารถควบคุมเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนได้พอสมควรแล้ว อีกทั้งยังลงนามข้อตกลงเป็นพันธมิตรทางการค้ากับแคว้นอี๋แล้วเช่นกัน

บุตรเขยได้สร้างเมืองซินโจวขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับในอดีต ข้าจะทำให้เมืองซินโจวและเมืองเปียนเฉิงกลายเป็นเขตการค้าอิสระเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู๋

เขตปกครองตนเองมีการติดต่อค้าขายวัว แกะ และม้าจำนวนมหาศาลกับเมืองซินโจว ข้าจำต้องขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อตาอนุญาตให้บรรดาผู้ค้าขายชาวหยูเข้ามาก่อสร้างห้างร้านถาวรในซินโจวด้วยเถิด เนื่องจากเขตปกครองตนเองต้องการสินค้าจากราชวงศ์หยูเป็นจำนวนมาก

อาทิเช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ใบชา ข้าวสาร และข้าวสาลีเป็นต้น

บุตรเขยได้ครุ่นคิดแผนการนี้อยู่เนิ่นนาน และเล็งเห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นผลดีต่อราษฎรทั้งสองราชอาณาจักร อีกทั้งยังเป็นการปูเส้นทางการค้าขนาดใหญ่ระหว่างสองราชอาณาจักรอีกด้วย

บุตรเขยจะระลึกถึงช่วงชีวิตตลอดสามปีที่จินหลิงไว้ในใจมิลืมเลือน ข้ารู้สึกซาบซึ้งในความรักและความห่วงหาอาทรที่ท่านพ่อตากับท่านแม่ยายมีต่อข้าและครอบครัวมาโดยตลอด

เดิมทีบุตรเขยต้องการเป็นเพียงแค่นายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงเท่านั้น ทว่าลิขิตของฟ้าทำให้ข้าจำต้องจากลาในที่สุด

กลุ่มช่างฝีมือที่ท่านเคยส่งมาให้บุตรเขย บัดนี้พวกเขามีความช่ำชองด้านการหลอมเหล็กและมีทักษะในการประดิษฐ์ปืนใหญ่หงอีและปืนคาบศิลาแล้ว ผู้คนเหล่านี้รวมทั้งสำนักอาวุธปืนและกองสรรพาวุธทั้งหลาย บุตรเขยจะทิ้งไว้ในราชวงศ์หยู ขอท่านพ่อตามอบหมายคนไปรับหน้าที่ดูแลด้วยเถิด

หมู่บ้านเสี้ยชุนเป็นที่ดินที่ท่านพ่อตาประทานให้บุตรเขย ข้าได้ถามไถ่ความเห็นของผู้คนทั้งซีซานแล้ว พวกเขาส่วนมากยินยอมติดตามข้าไปยังราชวงศ์อู๋ จึงขอท่านพ่อตาได้โปรดเมตตาด้วย

ส่วนเหมืองทองที่ภูเขาหมิน บุตรเขยได้มอบให้อยู่ในการดูแลของท่านแม่ทัพเฟ่ยแล้ว ขอท่านพ่อตาได้โปรดส่งคนไปรับช่วงต่อด้วยเถิด แต่ข้ายังแนะนำให้ธนาคารซื่อทงผลิตตั๋วเงินต่อไปและยกเลิกตั๋วเงินที่ผลิตโดยธนาคารเป่าหลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากตั๋วเงินของธนาคารซื่อทงนั้นปลอมแปลงได้ยากกว่า

เวิ่นหวินใกล้จะเดินทางไกลเต็มทีแล้ว ขอท่านพ่อตาได้โปรดวางใจว่าชีวิตของพวกนางจะสงบสุขและมิเผชิญกับสิ่งที่ทำให้น้อยเนื้อต่ำใจ หากพวกนางต้องการกลับบ้านเกิดเมื่อใดก็สามารถเดินทางกลับได้ทุกเมื่อ

เวิ่นหวินเคยให้คำมั่นสัญญากับบุตรเขยว่าจะช่วยดูแลรักษาจวนฟู่เป็นอย่างดี เพราะท่านเป็นผู้ประทานจวนหลังนั้นให้ข้า จึงถือเป็นบ้านของข้า ณ เมืองหลวงแห่งนี้’

ทุกถ้อยประโยคได้ใจความชัดเจน มองดูแล้วเหมือนมีจิตใจที่กว้างขวาง เอาจริงเอาจังและไร้ซึ่งพิษภัย

ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องที่เมืองซินโจวและเมืองเปียนเฉิงถูกแบ่งเป็นอาณาเขตของราชวงศ์อู๋เนิ่นนานแล้ว เพียงมิได้มีประกาศแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันเท่านั้น

ทว่าบัดนี้คงถึงเวลาที่จะประกาศได้แล้ว

“เสี่ยวกวนจะกลับไปยังราชวงศ์อู๋เมื่อใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ทูลเสด็จพ่อ เขามิได้เอ่ยถึงเพคะ เขาเอ่ยเพียงว่ากำลังยุ่งอยู่ที่เขตปกครองตนเอง”

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ จากนั้นก็พับเก็บจดหมายฉบับนี้ บนดวงพักตร์มิได้เผยความรู้สึกใดออกมา

“หนทางครานี้แสนยาวไกล จงรักษาสุขภาพด้วย”

“ขอบพระทัยเพคะ ผู้ติดตามที่โจวถงถงพามาด้วยนั้น มีหมอรวมอยู่ด้วย หนานกงตงเซวี๋ยก็เป็นถึงศิษย์ของปรมาจารย์ฉีหวง คาดว่าคงไร้ปัญหาใด เพียงแต่ว่า…”

ดวงตาของหยูเวิ่นหวินแดงก่ำขึ้นมา จากนั้นนางก็ก้มหน้าลงเพื่อสะอื้นไห้ “เมื่อลูกจากไปแล้ว ขอทั้งสองพระองค์รักษาพระพลานามัยด้วยนะเพคะ”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง ด้านนอกยังคงมีแสงสุริยาแผดเผาอยู่ ในพระทัยของฮ่องเต้รู้สึกโทมนัสมากยิ่งนัก

“พ่ออายุมากแล้ว ปีหน้า ปีหน้าที่จะถึง พ่อจะสละราชสมบัติให้พี่ชายของเจ้าแล้วส่งมอบราชวงศ์หยูให้เขาเป็นผู้ดูแล จากนั้นพ่อและแม่ของเจ้าก็คงจะใช้ชีวิตอยู่ในสวนแห่งนี้ เพื่อชื่นชมบุปผาและจะมิเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอกอีก”

อาจจะเป็นเพราะเคยวางแผนร้ายทำลายฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน จึงทำให้วันนี้ฮ่องเต้รู้สึกหมดสิ้นทั้งแรงกายและแรงใจ พระพักตร์เผยให้เห็นความเหนื่อยหน่ายและหดหู่ ราวกับว่าไร้สิ้นความสนใจในทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

เมื่อหยูเวิ่นหวินจ้องมองไปที่บิดา ตอนนั้นเองนางจึงค้นพบว่าบิดามีผมขาวแซมขึ้นมาให้เห็นบ้างแล้ว

แต่นางก็มิได้เอ่ยอันใดออกมา นอกจากถอนหายใจเท่านั้น ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มที่เกิดจากการฝืนใจเผยออกมา พลางสนทนาเรื่องภายในครอบครัวโดยมิเอ่ยถึงฟู่เสี่ยวกวนอีก

นางได้นำพาความกังวลและความเศร้าโศกออกจากวังเตี๋ยอี๋ในยามที่สุริยากำลังจะลาลับขอบฟ้า

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอาทิตย์อัสดงอยู่เนิ่นนาน “หลายวันมานี้ข้าครุ่นคิดมาโดยตลอดว่า หากตอนนั้นข้ามิรับเขามาเป็นขุนนางในราชสำนัก เขาจะมีโอกาสเดินมาไกลถึงเพียงนี้หรือไม่ ? ”

“เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่ามันเป็นดาบสองคม ! ”

“ข้ามิได้จับดาบเล่มนี้ไว้ให้มั่น ดังนั้นมันจึงย้อนมาทำร้ายข้า…วันพรุ่งนี้ข้าจะประกาศเรื่องที่เมืองเปียนเฉิงและเมืองซินโจวตกเป็นของราชวงศ์อู๋ให้ทราบโดยทั่วกัน”

“อีกประการ…เดิมทีข้าเคยรับปากว่าจะแต่งตั้งให้เขาเป็นเซิ่งกั๋วกง แม้ว่าเขาจะมิได้แบ่งผืนปฐพีของแคว้นฮวงให้กับราชวงศ์หยู แต่ถึงเยี่ยงไรเขาก็มอบว่อเฟิงเต้ามาให้ และความก้าวหน้าของว่อเฟิงเต้าก็ล้วนเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของเขาทั้งสิ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็มิอาจกลับคำได้”

“…จักรพรรดิอู๋สบายดีหรือไม่ ? ”

ฮองเฮาซั่งเงียบไปชั่วอึดใจ จากนั้นก็ตรัสว่า “เขาสบายดีเพคะ เพียงแต่อ้วนท้วนสมบูรณ์กว่าเดิมไปมากโขเพคะ”

“เพราะเขาอยู่อย่างสุขสบายไร้กังวลเยี่ยงไรเล่า”

1ซวนเหมยทาง หรือ ชาลูกพลัมเป็นเครื่องดื่มของชาวจีนที่นิยมดื่มในช่วงฤดูร้อน