บทที่ 330 นับแต่นี้ต่อไปเราคือเพื่อนร่วมรบกัน

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

บทที่ 330 นับแต่นี้ต่อไปเราคือเพื่อนร่วมรบกัน โดย Ink Stone_Fantasy

กวางมูสกลุ่มนี้มีประมาณยี่สิบกว่าตัว ความยาวของกวางมูสตัวที่นำหน้ามาก็ยาวประมาณสองเมตรครึ่ง ส่วนความสูงก็สูงถึงสองเมตรกว่า ขนเป็นสีน้ำตาลทั้งตัว เขาบนหัวของมันมีประมาณสิบกว่าคราดบวกกับรูปร่างที่ดูแข็งแรงกำยำจนดูเหมือนกับรถถังเล็กๆ ก็ไม่ปาน

ปอหลัวเพิ่งจะออกมาจากป่าได้ไม่นาน กวางมูสด้านหลังก็ตามออกมาติดๆ มันไม่วิ่งหนีต่อแต่สะบัดหัวไปมาและพ่นลมออกทางจมูกจากนั้นมันก็ก้มหัวลงแล้วเสยเขาขึ้นมาตั้งให้ตรง กีบเท้าไสไปกับพื้นดินและตั้งท่าเตรียมโจมตี

แต่เมื่อไปยืนเผชิญหน้ากับหัวหน้ากวางมูส ปอหลัวที่ตัวใหญ่ไม่ถึงหนึ่งเมตรก็ดูเหมือนกับไก่น้อยไม่มีผิด

มันยังคงสามารถยืนหยัดมุ่งมั่นในการต่อสู้แล้วเผชิญหน้ากับกวางตัวใหญ่นี้ นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คนนับถือได้แล้ว และถ้าพูดถึงบาดแผลบนตัวของกวางมูสที่มันเป็นคนสร้างขึ้นมา ก็พูดได้เลยว่าปอหลัวเกิดมาเพื่อเป็นนักรบ

พอเห็นกลุ่มกวางเข้ามาล้อมปอหลัวเป็นครึ่งวงกลม ฉินสือโอวก็รีบหยิบธนูยิงปลาเข้ามาไว้ในมือก่อนเลย เบิร์ดดึงเขาไว้ เขาส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ บอส ถ้าเราใช้อาวุธฆ่าพวกเดียวกันของมันต่อหน้าปอหลัวแล้วล่ะก็ อย่าเลย เพราะมันจะไม่มาเป็นส่วนหนึ่งของฟาร์มปลาของพวกเราอีกต่อไป”

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหนก็ตาม การล่าและฆ่าพวกเดียวกันของมัน มันก็จะถือว่าคนคนนั้นเป็นศัตรู เหมือนกับที่บ้านของคนฆ่าหมาจะเลี้ยงหมาไว้ไม่ได้ และไม่ว่าจะดีกับหมาขนาดไหน ในอนาคตถ้าหมาพวกนั้นมีโอกาสก็จะหลบหนีไป ดีไม่ดีมันอาจจะมาแว้งกัดเจ้าของมันด้วย

แล้ววินนี้ก็พูดขึ้นอย่างร้อนใจ “ถ้าพวกเราไม่ลงมือ งั้นจะทำยังไงล่ะ?”

นีลเซ็นเลยหัวเราะแล้วตอบกลับ “ง่ายมาก พวกเราก็แค่ยิงปืนขู่ให้พวกมันตกใจ…”

และในขณะที่เขายังพูดไม่จบ ทันใดนั้นฉงต้าที่นั่งอยู่บนพื้นกลับมีท่าทีขึ้นมาก่อนหน้านี้มันเอาแต่กลอกตาดวงโตๆ ไปมาและคอยดูสถานการณ์ รอตอนที่กลุ่มกวางเข้ามาล้อมปอหลัว มันถึงค่อยลุกขึ้น

หลังจากที่ฉงต้าลุกขึ้นยืนลำตัวตั้งตรงจากนั้นมันก็รีบก้มตัวลง และเล็บที่แหลมคมจากขาหน้าของมันก็ดีดออกมาทั้งหมด ขาอ้วนๆ ของมันตบลงไปบนพื้นจนเกิดเป็นเสียงที่ดูฮึกเหิม ‘ปั้งปั้ง’ บวกกับลำคอที่ยืดและคำรามขึ้น “โฮ้วโฮ้ว…”

คำรามไปสองครั้ง แขนขาทั้งสี่ของฉงต้าที่ค้ำพื้นอยู่ ทันใดนั้นเองร่างที่อ้วนและแข็งแรงก็ลุกขึ้นด้วยความว่องไวแล้วพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนหู่จือกับเป้าจือที่สะบัดขนสีเหลืองบนตัวมันก็แยกเขี้ยวและขึ้นไปขนาบข้างกับฉงต้า

ส่วนบุชที่กระพือปีกอยู่กับพื้นก็ส่งเสียงร้อง ‘แคว่กแคว่ก’ ออกมาเหมือนกัน ดูท่าแล้วมันก็เหมือนอยากจะเข้าไปร่วมสู้ด้วย ฉินสือโอวเลยดันมันไปข้างหน้า แต่มันก็ดันตูดของตัวเองกลับเข้ามาอีก

วินนี่ดึงแขนของเขา เธอพูดขึ้นด้วยความโกรธพร้อมกับน้ำตาที่ปริ่มออกมา “คุณดูพวกเด็กๆ สิ ดูสิ!”

ฉงต้าพุ่งเข้าไปด้านหน้าด้วยความรวดเร็วและกล้าหาญด้วยศักดิ์ของจ้าวแห่งป่า แถมยังเอาตัวเองยืนบังตัวของปอหลัวไว้ด้วย มันถลึงตากลมๆ เล็กๆ ที่เรียวแหลม และอ้าปากเผยให้เห็นฟันอันแหลมคม ขนสั้นๆ ที่สั่นกระเพื่อมไปด้วยความโกรธทั้งตัวยิ่งทำให้ท่าทางของมันดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น!

พูดถึงหมีสีน้ำตาลตัวนี้ ในความทรงจำของฉินสือโอวฉงต้าคือหมีตัวอ้วนตุ๊ต๊ะที่ใครๆ ก็สามารถไปบีบหูเล็กๆ ของมันก็ได้ แต่ตอนนี้ฉงต้าที่ยืนเผชิญหน้ากับกวางมูสด้วยความโกรธ เขาจึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนพื้นเมืองอเมริกาเหนือถึงเรียกหมีสีน้ำตาลว่าจ้าวแห่งหุบเขา

เจ้าพวกนี้ช่างรุนแรง ป่าเถื่อน อวดเก่งและบ้าระห่ำอะไรเช่นนี้!

กวางมูสที่ถือว่าอยู่ในตะกูลกวางที่ถึงแม้ตัวจะมีขนาดใหญ่กว่าควายป่าและเสือเป็นอย่างมาก แต่ถ้าพูดถึงนิสัยของมันถือว่าอ่อนโยนเลยทีเดียว และมันเป็นแค่สัตว์กินพืชเท่านั้น นอกซะจากจะอยู่ในช่วงติดสัด เพราะปกติแล้วกวางมูสเพศผู้จะไม่จู่โจมหรือต่อสู้

และถึงแม้หมีสีน้ำตาลไม่ได้จะล่ากวางมูสเพื่อมาเป็นอาหาร แต่มันก็ขึ้นชื่อในเรื่องจ้าวแห่งสัตว์กินเนื้อของหุบเขา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยืนจ้องหน้ากันไม่ลดละ ความแตกต่างของรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจนมากทำให้อีกไม่นานก็น่าจะรู้ผล

กวางมูสตัวใหญ่นั้นแข็งแรงกำยำมาก แถมฉงต้าที่นับว่ายังเป็นเด็ก เมื่อไปยืนอยู่ต่อหน้ากวางมูสมันก็เป็นแค่ลูกหมีตัวน้อยๆ แต่เมื่อตอนฉงต้าคำรามขึ้นมา พวกมันก็เริ่มลังเลสองจิตสองใจ จากนั้นก็ค่อยๆ เงยเขาขึ้นและถอยหลังอย่างช้าๆ

วินนี่ถอนหายใจโดยที่มือทั้งสองข้างของเธอยกขึ้นมาป้องปากเอาไว้ เพราะกวางมูสตัวใหญ่นั้นเมื่อมาเผชิญหน้ากับสุนัขล่าสัตว์และหมีสีน้ำตาลก็ขลาดกลัวแล้ว และการปะทะกันครั้งนี้ก็คงจะไม่เกิดการปะทุขึ้น

แต่สุดท้ายก็ทำให้เธอถึงกับพูดไม่ออกกับภาพที่เห็นตรงหน้า กวางมูสตัวใหญ่นั้นเตรียมจะถอยแล้ว แต่ทันใดนั้นปอหลัวก็เข้าไปโจมตี ‘สวบ’ เสียงของร่างกายที่คล่องแคล่วแข็งแรงได้กระโดดเข้าไปอย่างรวดเร็ว หัวของมันที่สะบัดไปมาและเขาที่เหมือนกับพลั่วน้อยๆ ก็ฟาดเข้าไปที่หน้าอกของกวางมูสตัวใหญ่ สะบัดเน้นๆ จนเกิดแผล

กวางมูสที่โดนยั่วจนโกรธ ตอนนี้ไม่สนแล้วว่าด้านหน้าของมันคือศัตรูกันโดยธรรมชาติหรือเปล่า บวกกับดวงตาที่เลือดพล่านของมันเหมือนกับตอนที่กำลังเป็นสัด มันร้องคำรามอย่างดุร้ายและกระแทกเข้ามาทางปอหลัว

แต่ถึงแม้ปอหลัวจะตัวเล็กแต่มันก็ว่องไวใช่เล่น และพลังแห่งโพไซดอนที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของตัวมันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องโม้ หลังจากที่ล้มลงบนพื้น มันก็กระโดดหลบเขาของกวางมูสตัวใหญ่ได้อย่างงงๆ เหมือนกับว่าเท้าของมันเหยียบสปริงไว้

ส่วนกวางมูสตัวใหญ่ที่ตลอดช่วงชีวิตของมันนั้นได้ผ่านประสบการณ์จริงมาอย่างโชกโชน มันเอาเขาทิ่มลงไปในดินและงัดขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือดินเหนียวที่พวยพุ่งขึ้นมาสูงราวเมตรกว่าๆ และเป็นพละกำลังขนาดนี้จึงสามารถทำให้คนตกใจได้

พอแล้ว เลิกพูด และเปิดฉากได้แล้ว

ฉงต้าคำรามออกไปจากนั้นมันก็หดหัวและใช้ไหล่ของมันชนเข้าไปที่กวางมูสตัวใหญ่นั้นอย่างรุนแรง และนี่คือวิธีการที่หมีสีน้ำตาลมักจะใช้เวลาเจอคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่กว่า พุ่งชนก่อนจากนั้นถึงค่อยตะปบและกัด

ส่วนหู่จือและเป้าจือก็ไม่ยอมรั้งท้าย มันโจมตีกวางมูสจากด้านหลัง กระโดดงับเข้าที่ขาของกวางมูส และหลังจากที่มันกัดจนได้แผลเหวอะหวะเหมือนกับรอยกัดของหมาป่ามันก็วิ่งพล่าน และรอหาโอกาสเข้าโจมตีอีกครั้ง

ทั้งโดนชนทั้งโดนกัด กวางมูสตัวนี้ที่ไม่ชำนาญในการต่อสู้ช่างดูน่าเวทนา และคงจะกลับไปสู้กับปอหลัวต่อไม่ไหว มันจึงร้องอย่างน่าสงสารขึ้น ‘โฮกๆๆ’ จากนั้นมันก็หันหลังและวิ่งหนีไปอย่างคาดไม่ถึง!

แล้วกวางมูสตัวที่เหลือล่ะ? แค่ตอนที่ฉงต้าโผล่เข้ามา พวกมันก็วิ่งหนีไปมากกว่าครึ่งแล้ว

แบบนี้เป็นอะไรที่เห็นได้บ่อย เพราะนอกจากกวางตัวเมียและลูกกวางแล้วนั้น ปกติกวางมูสจะเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่ตัวเดียว ความสามัคคีกันโดยสัญชาตญาณอะไรพวกนี้ไม่เคยมีอยู่ในสายเลือดของพวกมัน

กวางมูสตัวใหญ่ได้วิ่งหนีไป ปอหลัวจึงวิ่งตามหลังไปอย่างมุทะลุดุดัน ส่วนฉงต้าก็สาวเท้าและก้าวยาวๆ ตามไป แต่พอตามไปได้สักพักก็วิ่งไม่ทันตามไม่ถึงจึงพากันกลับมาอย่างหงอยๆ ส่วนหู่จือและเป้าจือก็ตามเข้ามาด้วย

ฉินสือโอวมองไปยังพวกมันที่กำลังเดือดดาล ทันใดนั้นเขาก็เดือดดาลด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีกวางมูสตัวนั้นน่าจะได้สักห้าร้อยหกร้อยกิโลกรัม อย่างเรือที่แตกยังเหลือเหล็กไว้ให้ถึงหนึ่งโลครึ่ง กวางมูสที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าหมา แต่นี่เข้าไปตีกันถึงในป่าลึก แต่กลับไม่มีใครได้อะไรกลับมา

เขารีบตามไปพร้อมกับตะโกนว่า ‘กลับมา กลับมา’ สุดท้ายความเร็วของเขาเมื่อเทียบกับฉงต้าตอนตะบึงยังถือว่าช้าอยู่ จนเมื่อเขาวิ่งตามไปถึงในป่าแต่ก็ไม่เห็นร่องรอยของกวางมูสและหมาแล้ว

“แม่งเอ้ย ให้ตายสิ” ฉินสือโอวสถบออกมา

กวางมูสที่วิ่งหนีไปอย่างตื่นตระหนก ลำตัวที่ใหญ่ของมันชนต้นไม้จนเปิดเป็นทาง เบิร์ดนำทางไป ส่วนคนที่เหลือก็ตามไปช่วยกันหา เดินลึกเข้าไปได้ประมาณหนึ่งถึงสองกิโลเมตร หู่จือและเป้าจือก็พยักหน้าและกระดิกหางเหมือนว่าเจออะไรบางอย่าง และในปากของเป้าจือยังคาบกระต่ายป่าสโนว์ชูไว้หนึ่งตัว

เป้าจือวิ่งมาข้างหน้าฉินสือโอวพร้อมกับส่ายหางดุกดิกและเงยหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ ที่ในปากคาบกระต่ายสโนว์ชูและเอียงคอเหมือนปลากระดี่ได้น้ำเพื่ออยากได้รับความดีความชอบ

ฉินสือโอวแทบอยากจะฟาดมันเข้าให้สักที แต่สุดท้ายฝ่ามือที่ง้างขึ้นสูงๆ กลับปล่อยลงมาอย่างเบาๆ และเขาก็ทำแค่ตำหนิมันหลังจากที่ตบหัวมันอย่างเบาๆ “ต่อไปจะต้องมีระเบียบวินัยกว่านี้เข้าใจไหม? ได้ยินเสียงพ่อเรียกแล้วยังกล้าวิ่งไปอีก ครั้งหน้าจะไม่มีข้าวให้กินนะ!”

หู่จือและเป้าจือวิ่งกลับมาแล้ว ไม่นานนักปอหลัวก็วิ่งกลับมาจากทางเดิมอย่างหน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่นดินเต็มหน้า

ฉินสือโอวเดินไปข้างหน้าด้วยหน้าตาบึ้งตึง มองปอหลัวที่กำลังทำเสียงขึ้นจมูก เขาผลักมันออกและแสดงท่าทีโกรธเคือง

ประสบการณ์จากการเลี้ยงหู่จือและเป้าจือให้เชื่องนั้นทำให้ฉินสือโอวรู้ว่าพลังแห่งโพไซดอนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสัตว์พวกนี้ แต่ยังส่งผลต่อความฉลาดของพวกมันด้วย ทำให้พวกมันสามารถเรียนรู้อะไรได้หลายอย่าง ดังนั้นในตอนที่มันยังเด็กอยู่จึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะถือหางให้ท้ายพวกมัน เมื่อเห็นว่าพวกมันทำผิดก็ต้องรีบตักเตือน

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดเลยก็คือช่วงแรกๆ ที่หู่จือและเป้าจือฉี่ในห้อง และหลังจากสั่งสอนพวกมันไปหนึ่งครั้ง พวกมันก็ไม่เคยฉี่ในบ้านอีกเลย จนต่อมามีพวกฉงต้า ต้าป๋าย และบุช และไม่ว่าตัวไหนจะปวดฉี่ปวดอึตอนอยู่ในบ้าน พวกมันก็จะรีบวิ่งออกไปข้างนอกทันที

พอถึงตอนกินข้าวฉงต้าได้รางวัลเป็นน่องไก่ย่างหนึ่งน่อง และวินนี่ก็คลุกสลัดผลไม้เมเปิลไซรัปที่มันชอบกินมากให้อีกด้วย มันทั้งกินทั้งกระดิกหางกลมๆ เล็กๆ ของมันอย่างสบายใจและมีความสุข

ส่วนหู่จือและเป้าจือกินข้าวคลุกกับซุปเนื้อ และปอหลัวที่หมอบอยู่ด้านข้างโดยไม่มีอะไรกิน

ส่วนวินนี่ก็อยากจะเอาเบอร์รีที่เหลืออยู่ไปป้อนมัน แต่ฉินสือโอวดึงเธอไว้และพูดขึ้นอย่างไม่อ่อนโยน “อย่าเอาใจมันจนเคยตัวสิ เจ้าตัวเล็กนี่นิสัยไม่ดี ดูมันยังสามารถออกไปก่อเรื่องด้านนอกได้? ขนาดวันนี้ยังไปแหย่กวางมูสได้ ดีไม่ดีพรุ่งนี้คงไปแหย่สิงโตภูเขาหรือไม่ก็หมีกริซลี่เข้าให้”

และถ้าไม่มีเรื่องที่ปอหลัวเข้าไปแหย่เจ้ากวางมูสตัวใหญ่นั่น ก็คงจะไม่มีเรื่องที่น่าห่วงตามมาทีหลัง และอย่าได้พูดเลยว่ากวางมูสตัวใหญ่นั้นจู่โจมมันก่อน เพราะดูจากความโกรธของฉินสือโอวที่มีต่อปอหลัวก็เข้าใจได้เลยว่าเจ้าตัวเล็กนี่เป็นฝ่ายลงมือก่อนอย่างแน่นอน

เบิร์ดฉุกคิดสักพักแล้วพูดขึ้น “ผมว่าไม่น่าใช่อย่างนั้นนะ เป็นไปได้ว่ากวางมูสกลุ่มนั้นเป็นกวางกลุ่มที่ปอหลัวเคยอยู่มาก่อน และเป็นไปได้ว่าเจ้ากวางมูสตัวใหญ่นั้นไล่ปอหลัวออกจากกลุ่ม เมื่อกี้ปอหลัวก็คงจะตามกลิ่นและเส้นทางของพวกมันไป จนสุดท้ายได้ไปสู้กันกับกวางมูสตัวนั้น”

ฉินสือโอวขมวดคิ้วและพูดขึ้น “มันจะบังเอิญได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เขาลุกขึ้นยืนและมองจากบนเขาลงไป ภายใต้ระยะทางแนวดิ่งเป็นริมทะเลสาบเฉินเป่า และระยะทางจากตรงนั้นก็ไม่ไกลจากถนนที่เขาเคยขับรถชนปอหลัวอีกด้วย

พอกินข้าวเที่ยวเสร็จ วินนี่ก็หากะละมังข้าวของปอหลัวและเทเบอร์รีลงในนั้นแล้วยกไปให้มัน

ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “แหม เจ้าตัวเล็กพวกนี้หิวก็เป็นด้วยเหรอ? ตลกแล้ว ขึ้นเขาแต่ได้ของกินดีกว่าฉันเนี่ยนะ”

จริงๆ แล้ว แต่เดิมปอหลัวไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหิวเลย อย่างตอนที่อยู่ฟาร์มปลามันคือตัวที่หาของกินเองเก่งที่สุด ไม่ว่าจะกระโดดลงไปหาพวกสาหร่ายทะเลหรือพวกพืชน้ำ หรือแกะกินใบของผักกาดขาวในสวนผักด้านนอก สรุปแล้วก็คือมันไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหิว

สุดท้ายมันคลานมากินเบอร์รีอยู่สองคำ และปอหลัวก็ไม่สนใจแล้ว จากนั้นมันก็มองไปรอบๆ เหมือนกับว่ามีอะไรกำลังดึงดูดมัน

ส่วนฉงต้าที่กินเท่าไรก็ไม่มีวันอิ่มได้ถูกเบอร์รีพวกนั้นดึงดูดเข้าให้ มันส่ายตูดแล้วคลานเข้าไป

คราวนี้ปอหลัวไม่ได้กีดกันฉงต้าอีก มันแค่ก้มหัวแล้วกินอีกสองคำ จริงๆ มันก็กินต่อไม่ไหวแล้ว สุดท้ายมันจึงเดินออกมาจากทางฝั่งที่ดูว่างๆ ของกะละมัง

แล้วฉงต้าก็ก้มหน้าลงตั้งหน้าตั้าตากินอย่างตั้งใจ ส่วนปอหลัวที่ร้องออกมาแค่สองครั้ง ‘โหยวโหยว’ และสุดท้ายมันก็ไม่ได้ไล่ฉงต้าเหมือนแต่ก่อน

“ดูนั่นๆ นี่ใช่ไหมที่เรียกว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมรบน่ะ” นีลเซ็นพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ส่วนดวงตาทั้งคู่ของวินนี่ก็เริ่มมีน้ำตาปริ่มอีกแล้ว และฉินสือโอวที่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกผู้หญิงถึงอ่อนไหวได้ทั้งวันขนาดนั้น? เพราะความรักของแม่เหมือนกับแม่น้ำฮวงโห ที่จะบอกให้เอ่อล้นออกมาตอนไหนก็จะสามารถเอ่อล้นออกมาตอนนั้นเหรอ?

จากนั้นพวกเขาก็พากันออกเดินทางต่อ บวกกับขบวนนักเดินทางที่มากันอย่างพร้อมเพรียง หู่จือและเป้าจือดมทางอยู่ด้านหน้า นีลเซ็นเดินตามหมา ฉินสือโอวและวินนี่เดินกับฉงต้าและปอหลัวอยู่ตรงกลาง และเบิร์ดสกัดอยู่ท้ายขบวน

เพราะว่าไม่ได้จะมาปีนเขาเพียงอย่างเดียวแต่อยากจะมาผ่อนคลายจิตใจด้วย พวกเขาเลยพากันเดินอย่างไม่รีบร้อน

ส่วนหู่จือและเป้าจือไม่ค่อยดีใจเท่าไรเพราะพวกมันอยากจะไปตามพวกไก่ป่า กระต่ายป่าที่ปรากฏออกมาเป็นครั้งคราว แต่เพราะยังคงติดอยู่กับการโดนสั่งสอนเมื่อตอนเที่ยงนั้น แม้แต่ปอหลัวหัวแหลมก็ยังรู้จักสงบเสงี่ยม เพราะยังไงซะก็มีตัวอย่างให้เห็นแล้วพวกมันคงไม่ทำผิดซ้ำหรอกนะ?

ทำยังไงได้ล่ะ ก้มหัวแล้วเดินไปอย่างช้าๆ เถอะ และทำตัวเป็นหมาที่ซื่อสัตย์ก็พอ

…………………………………………