ตอนที่ 1998 ง้าวสวรรค์สังหารศัตรู

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

แทบจะในเวลาเดียวกับที่ร่างของชายฉกรรจ์ถูกจู่โจมจนแหลกสลาย ร่างแปลงมารของหานลี่ที่อยู่ไกลออกไปก็มีเสียงทึบตันดัง พอแสงสีทองที่ผิวกายกระจายออก หนึ่งศีรษะกับสองแขนสีทองก็สลายหายไปทันที เกราะรบสีทองบนร่างกับเขาเดี่ยวสีเขียวเหนือศีรษะ ก็จางหายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ส่วนร่างขนาดใหญ่ก็หดลง คืนสู่ขนาดเท่าเดิม ทุกอย่างคืนสู่สภาพคนปกติก่อนแปลงกาย

ทว่าเขาในตอนนี้ มีสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ แสงจากจิตสัมผัสในดวงตามืดหม่นลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังปราณในร่างก็ยิ่งอ่อนลงและสลายออกอย่างรวดเร็ว

ซึ่งขณะที่หานลี่ออกจากการแปลงร่าง สองมือได้คว้าจับอากาศ ในมือพลันมีขวดเล็กๆ หลายขวดหลากสีสันเพิ่มขึ้นมา เขาเปิดฝาขวดออกโดยไม่ต้องแยกแยะ ก่อนกลืนยาลูกกลอนในขวดทั้งหมดลงไปในท้องรวดเดียว

หลังจากสีแดงคล้ำผิดปกติบนใบหน้าวาบติดต่อกันหลายครั้ง แสงสีเขียวอ่อนบนร่างก็วาบ พลังปราณในร่างที่ไหลออกค่อยหยุดลงได้ในที่สุด

หานลี่ถอนหายใจยาวๆ ออกมา ใบหน้าที่ตึงเครียดของเขาคลายตัวลงเล็กน้อย แล้วจึงกวาดตามองไปยังที่ที่ชายฉกรรจ์หายตัวไปอย่างเคร่งขรึม

ฝ่ามือยักษ์สีทองนั่นก็หายวับไปพร้อมกับพริบตาที่เขาออกจากการแปลงร่าง

ดังนั้น ถ้ามองจากระยะไกล ที่ตรงนั้นจึงว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่แม้แต่น้อย

หานลี่หรี่ตาลง ขณะคิดจะย้ายสายตาออก ที่ว่างด้านหนึ่งกลับแปรปรวนขึ้นมา

แสงสีดำกลุ่มหนึ่งวาบเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ในนั้นคลับคล้ายมีอสูรมารสีดำมะเมื่อมตลอดตัวขนาดใหญ่หลายจั้งอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือหุ่นเชิดสิงโตมารสามเศียรที่หนีไปได้เมื่อครู่

อสูรมารตนนี้กวาดดวงตามารทั้งหกไปในที่ที่ชายฉกรรจ์หายตัวไปเช่นกัน แล้วใบหน้าก็แสดงอาการโกรธจัดทันที ศีรษะทั้งสามเงยขึ้นพร้อมกันพลางเปล่งเสียงคำรามดังลั่น

“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำลายกายอาคมที่ข้าได้จากการบรรลุขั้นบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากมากว่าแสนปี! ถ้าไม่ฉีกเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น สูบจิตหลอมวิญญาณเจ้า ข้าก็ยากกำจัดความเกลียดชังออกไปจากใจจริงๆ”

สิงโตมารวาบร่าง กลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งใส่หานลี่ทันที

ในใจอสูรมารตนนี้ชัดเจนดีว่า จากสภาพพลังปราณบาดเจ็บสาหัสของหานลี่ในตอนนี้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนที่สิงอยู่ในร่างหุ่นเชิดอย่างแน่นอน ภายใต้ความโกรธแค้นสุดขีดในใจ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้หานลี่มีชีวิตหนีไปจากที่นี่

หานลี่เห็นดังนี้ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กลับบ่นกับตัวเองเสียงเบา

“มารตนนี้เด็ดเดี่ยวมาก! จิตวิญญาณหลักไม่เสียดายที่จะสละร่างเลือดเนื้อหนีภยันตราย แต่การเข้าสิงร่างหุ่นเชิด อิทธิฤทธิ์พลังยุทธ์ตลอดทั้งร่างน่าจะไม่ถึงสามในสิบส่วนของร่างเดิม”

สิ้นเสียง เขาพลันเหยียบเท้าข้างหนึ่งลงบนพื้น ที่ว่างด้านล่างเกิดแสงสีขาววาบ ค่ายกลแสงเล็กๆ สีขาวขุ่นหลังหนึ่งปรากฏ ร่างของเขาพลันพร่ามัว

“ค่ายกลช่องว่าง คิดหนีรึ ฝันไปเถอะ!”

พอสิงโตมารเห็นค่ายกลแสงสีขาว ก็ร้อนใจทันที ร่างพลันสูงขึ้น ความเร็วในการวาบย้ายเร็วขึ้นกว่าครึ่ง เพียงแต่หลังจากวาบไปสองครั้ง ก็พากลิ่นคาวโลหิตมาอยู่ใกล้ด้านหน้าของหานลี่ แล้วกรงเล็บเท้าหน้าสองกรงเล็บก็ตะปบวาบ

แสงกรงเล็บสีดำสิบสายพลันแหวกอากาศมาถึงอย่างคมกริบ กำลังจะฉีกหานลี่ออกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา

แต่การจู่โจมเช่นนี้เห็นชัดว่าช้าไปก้าวหนึ่ง

ร่างของหานลี่หายวับไปกับแสงสีขาวท่ามกลางเสียงดังหึ่งๆ ของค่ายกลอาคมเสียแล้ว

พอกรงเล็บสีดำข่วนผ่าน ค่ายกลแสงก็ถูกกรีดขาดราวสิบกว่าชิ้น แต่หานลี่กลับไม่เป็นไรสักนิด

ทว่ามารตนนี้จะยอมใจดีรามือได้อย่างไรเล่า สามเศียรเพียงเหวี่ยง พลังจิตมหาศาลก็ปกคลุมรอบด้านทันที มันอ้าปากแยกเขี้ยวอย่างดุร้ายใส่ที่วางซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก

หลังจากเกิดเสียงดัง ‘พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ’ สามครั้ง ลำแสงหยาบใหญ่สามสายก็พุ่งออก วาบแล้วหายไป จู่โจมใส่ที่ว่าง

เสียงระเบิดดังมา เงาสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างตุปัดตุเป๋

ศีรษะตรงกลางของมารสิงโตแสดงใบหน้าดุร้ายทันที แต่เพิ่งแสดงอารมณ์นี้ออกมา ก็นิ่งค้างไม่ขยับแล้ว

เงาแสงที่อยู่ไกลออกไปพลันถูกเก็บ ก่อนเผยร่างจริงออกมา กลับเป็นอสูรน้อยสีเหลืองทองขนาดราวหนึ่งจั้งตัวหนึ่ง ซึ่งก็คืออสูรมิคาทน

อสูรตัวนี้ไม่รู้ว่าสลับตำแหน่งกับหานลี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้รับการจู่โจมเมื่อครู่แทนหานลี่

แม้มันบำเพ็ญเพียรอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นแรก ขณะต่อสู้เมื่อครู่ มิได้สูญเสียพลังยุทธ์ไปมากมาย แต่ก็ยังคงมิใช่คู่ต่อสู้ของหุ่นเชิดสิงโตมารสามเศียรอย่างเห็นได้ชัด การจู่โจมเมื่อครู่ไม่เพียงบีบให้มันปรากฏร่างออกจากที่ว่าง ขนสีเหลืองทองทั่วร่างที่มีอยู่แต่เดิมยังไหม้เกรียมไปบางส่วนด้วย

ทว่าอสูรมิคาทนกลับไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น พอร่างยืนมั่นได้ ก็รีบก้มศีรษะลงคำรามเสียงต่ำหลังจากผิวกายชั้นหนึ่งวาบแสงสีทอง ขนที่เสียหายก็คืนสู่สภาพเดิมทันที อีกทั้งเงาร่างกิเลนสีทองอ่อนเงาหนึ่งพลันกะพริบและปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของมัน

“สายเลือดกิเลน! เฮอะ ถึงอย่างนั้น ระดับการบำเพ็ญเพียรแค่นี้ ก็ยังมีหน้ามาขวางข้า”

เมื่อสิงโตมารสามเศียรเห็นดังนี้ จึงอึ้งเล็กน้อย ก่อนโมโหและแค่นหัวเราะเย็นชาออกมา ทันใด กรงเล็บสีดำมะเมื่อมพลันตะปบไปอีกด้านหนึ่ง

เสียงฟ้าแลบ!

ประกายไฟสีดำนับไม่ถ้วนผสานกันบนกรงเล็บ แล้วหายวับไปหมดอย่างน่าพิศวงพร้อมเสียงคำราม

ถัดมา ที่ว่างซึ่งห่างจากอสูรมิคาทนไม่ไกล ประกายไฟสีดำนับไม่ถ้วนปรากฏระยิบระยับ หลังจากนิ่งไป ก็กลายเป็นกรงเล็บสายฟ้าสีดำขนาดใหญ่ ตะปบลงอย่างดุดันทันที

ขณะที่กรงเล็บขนาดใหญ่ยังมิได้ตกลงมาจริงๆ ประกายไฟสีดำหลายสายก็ผ่าลงมาก่อน

ด้านล่างผันผวน พอประกายแสงสีดำวาบ ที่ว่างก็บิดเบี้ยว เงาคนสีเขียวอ่อนสายหนึ่งปรากฏ

ซึ่งก็คือหานลี่

เขาพนมมือตรงหน้าอก พลังปราณในร่างยังคงอ่อนมาก แต่ขณะจ้องมองกรงเล็บสายฟ้ายักษ์ที่ตกลงมาจากฟากฟ้า เขากลับไม่มีแววลนลานใดๆ ยิ้มเย็นชาออกมาด้วยซ้ำ

และในตอนนี้เอง อสูรมิคาทนที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดออกมา แล้วร่างก็พร่ามัวกลางอากาศ กลายเป็นเงาร่างสิบกว่าสาย พอวาบก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของหานลี่ราวกับภูตผี

เงาเหล่านี้เพียงชะงักน้อยๆ เงากรงเล็บสีทองนับไม่ถ้วนก็ส่งเสียงดังครืดๆ แหวกอากาศออกมา ก่อนกลายเป็นตาข่ายยักษ์ผืนหนึ่ง พุ่งเข้าใส่กรงเล็บสายฟ้าสีดำ

เสียงแผดร้องดังลั่น!

ตั้งแต่ประกายไฟสีดำถี่ยิบโผล่ขึ้นบนกรงเล็บยักษ์สีดำ จนสัมผัสกับตาข่ายกรงเล็บที่อยู่ด้านล่าง พวกมันก็ราวกับมีพลังทำลายล้าง ฉีกขาดจนหมด

กระทั่งประกายไฟสิบกว่าดวงในนั้นผ่าแรงๆ เงาร่างอสูรมิคาทนเหล่านั้นก็ทยอยกันวาบสลาย

และพอร่างเดิมของอสูรตัวนี้ถูกจู่โจมอีกครั้ง มันก็ทนไม่ไหว ส่งเสียงกรีดร้องออกมาขณะกระเด็นออกไปไกลกว่าสิบจั้ง ขนทั้งตัวลุกชันเป็นสีดำมะเมื่อม กระทั่งพลังปราณก็อ่อนลงหลายส่วน

สิงโตมารที่อยู่ในระยะไกลหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เศียรทั้งสามร่ายอาคมพร้อมกัน กรงเล็บสายฟ้ายักษ์ตะปบใส่หานลี่ทันทีโดยไม่มีสิ่งใดกั้นขวางอีก

พริบตาที่ประกายแสงสีดำมะเมื่อมกำลังจะกดเขาให้จมลงไปนั้น หานลี่กลับส่งเสียงทอดถอนใจเบาๆ ออกมา พลันกางมือที่พนมอยู่ออก

เสียงร้องดังยาวราวมังกรครวญ!

สายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งออกจากตรงกลางระหว่างฝ่ามือทั้งสอง หลังจากกะพริบ ก็วาบผ่านกรงเล็บสายฟ้าสีดำ

พอกรงเล็บสายฟ้าสีดำร้องครวญคราง ก็วาบสลายไปอย่างน่าประหลาด หายไปอย่างไร้ร่องรอย

สิงโตมารที่อยู่ห่างออกไปเห็นดังนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

หลังจากสายรุ้งสีทองวนอยู่บนที่สูงหนึ่งรอบ พลันกลายเป็นลำแสงสีทองขุ่นขนาดใหญ่สายหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนฟ้า สูงกว่าพันจั้งเห็นจะได้

ในลำแสงคลับคล้ายมีเงาร่างอาวุธง้าวสีทองด้ามหนึ่งลอยนิ่งๆ ไม่ขยับ ขณะรอบด้านพลันปรากฏจุดแสงสีทองนับไม่ถ้วน พุ่งเข้าไปในง้าวอย่างรวดเร็วดุจแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ

ตั้งแต่ง้าวสีทองเปล่งพลังปราณอันน่าตื่นตระหนกออกมา ก็ดูเหมือนจะสร้างความปั่นป่วนให้กับไอพลัง

ปราณฟ้าดินทั่วทั้งท้องฟ้า

และในตอนนี้เอง เงาร่างง้าวก็ส่งเสียงทึบตันดังลั่น แสงสีทองทั่วร่างวาบ ลำแสงทั้งลำกลายเป็นง้าวยักษ์สีทองอร่ามตาสูงเสียดฟ้าด้ามหนึ่ง

สิงโตมารสามเศียรเห็นดังนี้ หน้าก็ถอดสีทันที ร่างขยับโดยไม่ต้องคิดเพิ่ม รีบกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งหนีขึ้นไปบนฟ้า

สายตาเย็นชาของหานลี่กะพริบ ค่อยๆ จิ้มนิ้วๆ หนึ่งไปที่ท้องฟ้า

ง้าวยักษ์สีทองแกว่งเบาๆ ก็พุ่งเข้าฟันสิงโตมารสามเศียรอย่างไร้สุ้มเสียง

โดยหลังจากสิงโตมารวาบแสง หนีห่างออกมาร้อยกว่าจั้ง ขณะจะใช้อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติบางอย่างจู่โจมอย่างหนักให้ที่ว่างต้องห้ามแตกออกและหนีไปนั้น กลับพลันรู้สึกว่าอากาศรอบตัวร้อนขึ้นมา และพลังภายในก็นิ่งค้าง ไม่ยืดหยุ่น ไม่สามารถโคจรพลังแม้แต่น้อย

“แย่แล้ว!”

มารตนนี้เพิ่งร้องเสียงดังลั่นออกมา ก็ได้แต่รู้สึกตลอดทั้งร่างเย็นวาบ พอดวงตาทั้งสองข้างดำมืด ก็ไม่รู้สึกตัวใดๆ อีก

ซึ่งในสายตาของหานลี่ที่อยู่ไกลออกมา เห็นแค่ว่า พอง้าวสีทองเล่มนั้นตกลงมา ก็พลันกลายเป็นเงาง้าวยักษ์ ปกคลุมสิงโตมารสามเศียรไว้ด้านใน

ขณะแสงสีทองกะพริบ ร่างอันใหญ่โตของสิงโตมารจึงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา จากนั้นปราณดั้งเดิมก็พลอยกลายเป็นผุยผง สลายหายไปในที่สุด

มาถึงขั้นนี้ ชายฉกรรจ์เผ่ามารถึงตกตายอย่างแท้จริง โดยไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ ไว้ในโลกนี้

หลังจากหานลี่ถอนหายใจยาวๆ ออกมา ตลอดทั้งร่างก็ค่อยผ่อนคลายลง

ร่างสุดท้ายที่เขาใช้สังหารหุ่นเชิดสิงโตมาร ย่อมเป็น ‘ยันต์ง้าวสวรรค์’ ที่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างหนักในการหลอมออกมา

ไม่เสียทีที่เป็นยันต์วิญญาณจากแดนเซียน พอถูกเสกออกมา ก็สังหารศัตรูที่แข็งแกร่งได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่า เป็นเพราะชายฉกรรจ์เผ่ามารเสียร่างที่เป็นเลือดเนื้อไปด้วย ทำให้ทั้งอิทธิฤทธิ์และพลังยุทธ์ล้วนลดลงไปกว่าครึ่ง มิเช่นนั้นต่อให้อานุภาพของยันต์พลิกฟ้าได้แค่ไหน ก็ไม่มีทางสังหารศัตรูมารตัวฉกาจเปล่าๆ เช่นนี้ได้

ส่วนอิทธิฤทธิ์ที่เขาใช้สังหารร่างเลือดเนื้อของชายฉกรรจ์ก่อนหน้านี้ ก็คือหนึ่งในอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจที่สุดในบันทึกวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์

แต่อิทธิฤทธิ์นี้ก็เป็นอย่างที่ชายฉกรรจ์เผ่ามารว่า จากขั้นบำเพ็ญเพียรของหานลี่และระดับร่างกายในตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะใช้ โดยยังคงเป็นอิทธิฤทธิ์พลิกฟ้าที่ใช้ได้หลังเข้าสู่ระดับมหายานแล้ว

ซึ่งหานลี่ได้ค้นพบจุดนี้หลังจากทดลองใช้เล็กน้อยในช่วงระยะเวลาที่เข้าฌานอยู่

แต่อานุภาพของร่างนิพพานศักดิ์สิทธิ์นี้แข็งแกร่งมากเกินไปจริงๆ หลังจากสำแดงออก แม้เป็นการแปลงร่าง

นิพพานในขั้นต้น ก็ยังทำให้พลังยุทธ์เพิ่มพรวดขึ้นกลางอากาศกว่าเท่าตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังมหึมาอันน่า

สะพรึงกลัวที่เทพและผียังต้องหลีกทางให้

ดังนั้น หลังจากคิดหนัก ในที่สุดหานลี่กลับนึกถึงวิธีทดแทนชนิดหนึ่งที่สามารถบีบให้มันสำแดงเดชออกมา นั่นก็คือการใช้พลังคาถาตื่นจากจำศีลแปลงกาย กระตุ้นโลหิตแห่งวิญญาณเที่ยงแท้ที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างกายชั่วคราว และใช้พลังจากโลหิตเที่ยงแท้กระตุ้นอิทธิฤทธิ์นี้ชั่วคราว

วิธีนี้สำหรับหานลี่ในตอนนี้ แทบจะเป็นวิธีที่เรียกได้ว่าแพ้ทั้งคู่ แบบสังหารศัตรูพันส่วน ทำร้ายตัวเองไปแปดร้อยส่วน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า หลังจากใช้แล้ว ต้องสูญเสียพลังปราณไปมาก ซึ่งการกินพลังโลหิตเที่ยงแท้เช่นนี้ สำหรับหานลี่ ย่อมเป็นการสูญเสียที่รับไม่ได้ชนิดหนึ่ง

ดังนั้น เดิมทีเขาไม่มีเจตนาที่จะใช้อิทธิฤทธิ์นี้โต้ตอบศัตรูระหว่างการต่อสู้ใหญ่ในครั้งนี้เลย

ทว่าเป็นเพราะชายฉกรรจ์เผ่ามารตนนี้แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ โดยเฉพาะในตอนท้ายที่พลันใช้หอกแม่ลูกเก้ามาร ซึ่งเป็นอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติที่ใช้พลังแห่งปราณดั้งเดิมในการแปลงร่าง ซึ่งเทียบได้กับการจู่โจมอย่างเต็มกำลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน ต่อให้เขารับการจู่โจมซึ่งหน้า ถ้าไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บอย่างแน่นอน

ขณะอับจนหนทาง หานลี่จึงต้องใช้ปราณก่อกำเนิดหนีออกทันที และค่อยให้ร่างจริงยืมพลังแห่งวิญญาณเที่ยงแท้ สร้างภาพร่างแปลงวิญญาณเที่ยงแท้ที่แตกต่างกัน เพื่อลงมือต้านทานการจู่โจมนี้พร้อมกัน

เมื่อทำการกระตุ้นโลหิตแห่งวิญญาณเที่ยงแท้แล้ว แต่ชายฉกรรจ์เผ่ามารก็มิได้มีอิทธิฤทธิ์ในระดับทั่วๆ ไปที่สามารถจู่โจมสังหารได้ เขาจึงต้องกัดฟัน แก้ไขไปตามสถานการณ์ตรงๆ ใช้ร่างนิพพานศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยคิดใช้มาก่อน

แน่นอน ที่หานลี่กล้าใช้อิทธิฤทธิ์เช่นนี้ ก็เพราะยังมี ‘ยันต์ง้าวสวรรค์’ ไพ่ตายอีกใบในมือด้วย จึงไม่ต้องห่วงถ้าต้องตกอยู่ในสภาพแพ้ทั้งคู่จริงๆ

และการใช้อาวุธสังหารที่ยิ่งใหญ่สองชนิดพร้อมกัน ก็สามารถจู่โจมสังหารชายฉกรรจ์เผ่ามารที่มีอิทธิฤทธิ์แทบจะไม่ได้ด้อยไปกว่าตนได้จริงๆ

ทำให้หานลี่รู้สึกสะทกสะท้อนใจยิ่ง