ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์แทนที่จะเป็นเสียงของนาฬิกาปลุกนั้น เป็นตอนเช้าตรู่ที่ฟ้ายังไม่ทันสางเลยด้วยซ้ำ ฉันขยับร่างกายที่เหนื่อยล้าไปมาอยู่ใต้ผ้าห่ม ขณะที่พยายามทำเป็นไม่สนใจเจ้าเสียงเรียกเข้านั่น แต่เสียงนั่นที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่องดูไม่มีท่าทีจะหยุดไปเลยแม้แต่นิดเดียว
“โอ๊ย ให้ตายสิ”
ฉันพยุงร่างกายให้ลุกขึ้นด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเช็คดูชื่อที่เด้งขึ้นมาในโทรศัพท์ ว่าแล้ว ในเวลาแบบนี้ คนที่กล้าโทรมาขนาดนี้ได้ก็มีแค่เซจินเท่านั้นแหละ
“ฮัลโหล”
[กยอมกยอม! ฉันโกรธมากจริงๆ นะ!]
“…คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
ฉันเอามือสางผมที่ยุ่งเหยิงให้เป็นระเบียบ พลางหาวหวอด เวลาเซจินโทรมาหาฉันตอนที่โกรธ มันก็มีอยู่เหตุผลเดียวเท่านั้น
[ก็ชเวซูฮยอนน่ะ เจ้าหมอนั่นเอาเรื่องเมนูอาหารเช้ามาชวนทะเลาะน่ะสิ! บ่นว่ากินขนมปังมาตั้งหลายวันจนเบื่อแล้วบ้างละ นู่นนี่บ้างละ! ถ้ามีอะไรที่ตัวเองอยากจะกิน ก็ทำกินเองสิ ทำไมต้องมาหงุดหงิดใส่ฉันด้วยเล่า หา!]
“…โอเค โอเค ชเวซูฮยอนผิดชัดๆ เลยนะเนี่ย”
[ฉันคิดถูกหรือเปล่าเนี่ยที่แต่งงานกับหมอนี่น่ะ]
และการบ่นพึมพำตบท้ายปนกับเสียงถอนหายใจในตอนจบก็เป็นหนึ่งในละครที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ ฉันหัวเราะเบาๆ พร้อมกับรวบผ้าม่านตรงหน้าต่างขึ้น ท้องฟ้ายามเช้าสีน้ำเงินอ่อนยังคงมองไม่ค่อยเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเท่าไหร่นัก
“พูดได้ดี เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงเธอก็จะโทรมาอวดเรื่องชเวซูฮยอนให้ฉันฟังอีก”
[นี่ วันนี้ฉันเอาจริง ฉันพูดจากใจจริงเลย สาบาน!]
“รู้แล้วน่า เอาเป็นว่าแค่นี้ก่อนนะ รุ่นพี่คงจะตื่นแล้วละ”
[อ๊ะ ที่นั่นกี่โมงนะ]
“ตีสี่ย่ะ”
งั้นก็แค่นี้นะ ฉันพูดเสร็จก็กดปุ่มแดงอย่างไม่ลังเล หลังจากได้ยินเสียงวางสาย ฉันก็บิดขี้เกียจ อากาศที่เย็นลงในช่วงกลางคืนก็ลอยมาปะทะเข้ากับร่างกาย
“…ใครโทรมาเหรอ”
รุ่นพี่ที่คงจะตื่นเพราะเสียงดัง พลิกตัวกลับมาถามฉันด้วยเสียงแหบพร่า ฉันจึงรีบมุดกลับเข้าไปในผ้าห่ม ก่อนจะเอาหน้าซุกเข้าไปในอ้อมกอดของรุ่นพี่พลางหัวเราะคิกคัก
“บ้านมอสโกน่ะสิคะ”
เซจินกับซูฮยอนใช้ชีวิตอยู่ในฐานะกลุ่มนักเต้นบัลเลต์ที่มอสโก ประเทศรัสเซีย ก่อนที่จะแต่งงานกัน ทั้งที่หวานกันจนถึงตอนนั้นแท้ๆ แต่เดี๋ยวนี้กลับเอาแต่ทะเลาะกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ในขณะที่พวกเขาเอาแต่บ่นว่าตั้งแต่หนึ่งถึงสิบไม่อะไรดีสักอย่าง แต่พวกเขาก็ยังอยู่กันด้วยดี มันทำให้ฉันคิดว่าช่างสมกับเป็นสองคนนั้นจริงๆ
“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ”
“อือ”
“เดี๋ยวพอตอนกลางวันก็ต้องโทรมาอีกแน่ มาบอกว่าคืนดีกันแล้ว”
รุ่นพี่หัวเราะพร้อมกับโอบไหล่ของฉันเอาไว้ ในขณะเดียวกันมือของเขาก็ค่อยๆ ไล้เข้ามาข้างในเสื้อ ฉันหัวเราะคิกคักพลางผลักแขนของรุ่นพี่ออก
“วันนี้รุ่นพี่ต้องรีบออกแต่เช้าไม่ใช่เหรอคะ นอนต่อเถอะค่ะ”
“ให้ตายสิ ยังจะเรียกว่ารุ่นพี่อีกเหรอ นี่ก็น่าจะได้เวลาเลิกเรียกแบบนั้นแล้วไม่ใช่หรือไง”
น้ำเสียงที่ปนกับเสียงถอนหายใจยังคงฟังดูงัวเงียอยู่เหมือนเดิม ฉันชอบฟังน้ำเสียงสะท้อนประหลาดแบบนั้นจัง ฉันหัวเราะในลำคอพลางลูบไล้หน้าผากของรุ่นพี่ที่ยังคงหลับตาอยู่
“จะให้ทำไงได้ละ ก็มันเคยชินนี่นา”
“กว่าพี่จะได้ยินเธอเรียกว่าพี่เฉยๆ พี่คงจะกลายเป็นลุงไปแล้วละ”
“ผู้ชายที่แต่งงานแล้วก็ต้องเป็นลุงสิ แหม”
คำล้อเล่นของฉันทำให้รุ่นพี่ลืมตาโพลงขึ้นมา รุ่นพี่ทำหน้าเคืองๆ จนทำให้ฉันรู้สึกกังวลขึ้นมา ก่อนที่จะพลิกขึ้นมาคร่อมข้างบนตัวฉัน แล้วจึงจูบปากฉันที่กำลังมึนงง พร้อมกับกระซิบเบาๆ
“งั้นเธอก็ต้องรับผิดชอบที่ทำให้หนุ่มโสดขายดี กลายเป็นลุงซะแล้วสิ”
สัมผัสมือที่มาแตะลงบนเอวโดยตรงทำให้ฉันรู้สึกจั๊กจี้จนต้องหัวเราะเสียงดังออกมาสั้นๆ ก่อนที่จะเอาแขนคล้องรอบคอของรุ่นพี่เหมือนแกล้งทำเป็นยอมแพ้ในที่สุด
“งั้นฉันควรเริ่มจากอะไรก่อนดีคะ พี่ชาย”
คำพูดที่แกล้งทำเป็นใสซื่อของฉันทำให้รุ่นพี่ฉีกยิ้มกว้าง
“จูบ”
แล้วริมฝีปากก็ประกบเข้าด้วยกันอย่างรีบร้อน ฉันกลั้นขำที่จะหลุดออกมาอย่างยากเย็น พวกเราแต่งงานกันมาเป็นปีที่ห้าแล้ว
ตลอดระยะเวลาสิบปีที่อยู่ด้วยกันมา รุ่นพี่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ทั้งสายตาที่มองฉัน ทั้งมือที่สัมผัสก็ยังคงเดิม ไม่สิ ดูจะลื่นเหมือนปลาไหลขึ้นมานิดๆ มากกว่า
“หยุด แค่นี้พอ”
ฉันรวบมือของรุ่นพี่ที่ไต่ขึ้นมาตามกระดูกสันหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เอาไว้ แล้วจึงจุ๊บเสียงดังที่หน้าผากของรุ่นพี่พลางลุกขึ้นนั่ง รุ่นพี่ที่ผละตัวออกอย่างเสียดายกำลังทำสีหน้าบึ้งตึง
“ถ้าป๊ะป๋าทำแบบนั้น ลูกในท้องจะตกใจเอานะคะ”
“โอเค โอเค รู้แล้วน่า”
ด้วยคำที่เข้มงวดและจริงจังทำให้รุ่นพี่พยักหน้า พลางทำปากยื่น ก่อนที่จะเอาแก้มมาแนบลงตรงหน้าท้องกลมๆ ของฉัน แล้วจึงบ่นปนเสียงถอนหายใจ
“รีบออกมาได้แล้ว ป๊ะป๋ากับหม่าม้าจะได้แสดงความรักให้กันได้อย่างเต็มที่”
ฉันหัวเราะสั้นๆ พลางลูบผมของรุ่นพี่ พวกเรามาลอนดอนกันได้เจ็ดปีแล้ว ตอนที่จากมาจากเกาหลี พวกเรามากันแค่เพียงสองคนเท่านั้น แต่ในตอนนี้พอกลายเป็นสามคนแล้ว ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย มันน่าเหลือเชื่อซะยิ่งกว่าที่ว่าฉันได้มามีความฝันครั้งใหม่ในที่แห่งนี้ซะอีก
“จะว่าไปเครื่องช่วยฟังที่เปลี่ยนใหม่นี่ไม่เลวเลยนะ เหมือนจะฟังชัดขึ้นด้วย”
“อือ เพราะมันเล็กด้วยค่ะ เลยสะดวก โลกนี่พัฒนาไปเร็วจริงๆ”
คำที่ฉันเผลอพูดลอยๆ ขึ้นมาทำให้รุ่นพี่หัวเราะพลางบอกว่า พูดเหมือนกับคนแก่เลยนะ แต่แค่ในพริบตาเดียว โลกก็เปลี่ยนไปอย่างมากเลยจนหมู่นี้มันเร็วเกินจะตามได้ทันเลยละ ตอนนี้มันเป็นยุคที่เราสามารถรับส่งข่าวสารกับเพื่อนๆ ที่กระจายอยู่ในแต่ละมุมโลกได้อย่างง่ายด่ายแล้วนี่นา
“ว่าแต่หมู่นี้อีเซไม่ค่อยได้ติดต่อมาเลยนะคะ”
“เจ้านั่นหมู่นี้มัวแต่ยุ่งอยู่กับการมีแฟนน่ะสิ”
ฉันที่เดินไปยังห้องครัวแล้วกำลังจะเทน้ำส้มที่หยิบออกมาจากตู้เย็นใส่แก้ว หันหน้าไปหารุ่นพี่ด้วยสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของรุ่นพี่
“จริงเหรอ”
“อือ แถมยังเด็กกว่าตั้งสามปีด้วยนะ”
“ว้าว เหลือเชื่อ”
ฉันส่ายหัวพลางยิ้ม รุ่นพี่จึงแอบลุกจากเตียง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ฉัน แล้วเอาแขนโอบเอวฉันไว้พร้อมกับพูดขึ้น
“ทำไมล่ะ เสียดายเหรอ”
“พูดจาให้มันมีสาระหน่อยสิคะ”
“ก็เธอเป็นรักแรกของหมอนั่นนี่นา ก็แค่ พอคิดถึงตอนนั้นแล้ว พี่ก็ยังเคืองไม่หาย”
รุ่นพี่ทำปากจู๋พร้อมกับสีหน้าหยอกล้อ ก่อนจะเอาหน้ามุดลงมาตรงต้นคอของฉัน แล้วจึงพูดเสริมว่า ‘นี่ของพี่นะ’ แค่คำพูดเล็กๆ น้อยๆนั่ นก็ทำให้ฉันหัวเราะเสียยกใหญ่ ฉันจึงหันกลับไปจูบลงที่ริมฝีปากของรุ่นพี่
“รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ”
“จ้า จ้า”
รุ่นพี่ตอบรับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำ แผ่นหลังของรุ่นพี่ยังคงกว้างและดูแข็งแรงเสมอ แผ่นหลังที่ทำให้ฉันอยากจะวิ่งเข้าไปกอดซะให้ได้ ฉันยืนจ้องภาพของรุ่นพี่ที่ยืนพิงอ่างล้างหน้าอยู่สักพัก ก่อนที่จู่ๆ จะรู้สึกได้ถึงการดิ้นของทารกในท้อง ฉันจึงลูบท้อง พลางพูดเบาๆ
“รีบออกมาเร็วๆ นะ ดรีม หนูคงต้องออกมาซะก่อน ป๊ะป๋าถึงจะกลายเป็นผู้ใหญ่สักที”
พวกเราไม่ได้มีปัญหามากมายอะไรกับการตั้งชื่อลูกในท้อง เพราะเด็กคนนี้เป็น ‘ความฝัน’ ครั้งใหม่ของพวกเรา ท้องฟ้าที่อยู่ข้างหลังหน้าต่างในห้องครัวกำลังสว่างขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว
จะว่าไปแล้ว พวกเรามักจะอยู่ด้วยกันทั้งในตอนเริ่มต้นและตอนสิ้นสุดของ ‘ความฝัน’ ในตอนที่ความฝันนั้นเปล่งประกายระยิบระยับก็เป็นตอนที่พวกเรายุติการคบกันอันยาวนาน แล้วก็ทำการผลิดอกออกผลที่เรียกว่าการแต่งงานออกมา
ชีวิตนั้น มักจะมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดสลับกันไปมาเสมอ แต่ภายในวงเวียนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปนั้น มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางจบลง
“ที่รัก ยาสีฟันใหม่อยู่ไหนจ๊ะ”
“อ้อ เดี๋ยวเอาไปให้ค่า”
ฉันหยิบยาสีฟันอันใหม่ออกมาจากตู้ แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำ ก่อนที่อยู่ๆ ฉันจะก้มหน้ามองไปที่มันแล้วหัวเราะออกมาเล็กๆ
ใช่แล้ว สิ่งที่ไม่มีวันจบลงก็คือความรักของ ‘พวกเรา’ ยังไงละ ถึงจะดูน่าอายไปสักหน่อย แต่ฉันก็สามารถโชว์ให้กับพวกคนที่คิดว่าบนโลกนี้ไม่มีคำว่าตลอดกาลได้รู้อย่างมั่นใจว่า ความรักของพวกเรายังคงอยู่ในสถานะก้าวต่อไปข้างหน้า
ตอนต่อไป →