ตอนที่ 1857 คนรักของเจิ้งหยาง (1)

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1857 คนรักของเจิ้งหยาง (1)

เป็นที่รู้กันว่าผู้ที่หลอมยาเม็ดเกรด 8 ได้คือนักปรุงยาระดับ 8 ดาวขึ้นไปเท่านั้น ยาทุกเม็ดจะมีมูลค่าสูงอย่างไม่น่าเชื่อ แม่แต่ฮ่องเต้ของอาณาจักรเทียนเซวียนก็ยังพร้อมสละราชบัลลังก์หากจะได้สิ่งตอบแทนเป็นยาเม็ดเกรด 8 เพียง 1 เม็ด!

เจิ้งหยางมอบยาเม็ดที่มีมูลค่ามากขนาดนี้ให้โม่วเซียวโดยไม่ลังเล…

เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานที่ไหลเวียนทั่วร่างของเขา แถมขาขวาก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง โม่วเซียวรู้สึกเหมือนฝัน เขารีบส่ายหัวและอุทานออกมา “เจิ้งหยาง นี่มันแพงเกินไป ผมรับของกำนัลชิ้นนี้จากคุณไม่ได้หรอก”

เขานึกว่ามันเป็นแค่ยาเม็ดที่มีอานุภาพเยียวยาแบบทั่วไป ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นยาเม็ดเกรด 8 ในตำนาน!

ถ้าเขารู้ว่ามันมีค่ามากขนาดนี้ คงไม่มีทางกินมันแน่

“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก แค่ยาเม็ดเดียว ด้วยมิตรภาพของเรา มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย” เจิ้งหยางตบไหล่เพื่อนรักของเขาขณะพูดยิ้มๆ

แม้โลกของทั้งคู่จะแยกจากกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ความรู้สึกที่เคยมีก็ยังอยู่ ธรรมชาติของความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจเปลี่ยนไป แต่เขาจะจดจำโม่วเซียวไว้ในฐานะสหายที่เคยฝึกฝนศิลปะเพลงหอกร่วมกับเขาในวันคืนเก่าๆ

เมื่อรู้แล้วว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือนักรบผู้น่าสะพรึง ลู่ฉวินรีบเดินเข้ามาด้วยสายตาที่บ่งบอกความยำเกรง “โม่วเซียว สหายของคุณน่ะ…”

ผู้ที่มียาเม็ดเกรด 8 และมอบมันให้คนอื่นอย่างง่ายดายแบบนี้…แน่นอนว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ใช่คนที่ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวอย่างเขาจะเทียบชั้นได้

“ท่านอาจารย์, เขาคือ…”

โม่วเซียวออกจะงุนงงที่ท่านอาจารย์จดจำเพื่อนรักของเขาไม่ได้ เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จากนั้นก็กำลังจะแนะนำเจิ้งหยาง ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงแว่วเข้าหู “ผมว่าจะดีกว่าถ้าคุณไม่แนะนำผม สมัยนั้นน่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับอาจารย์ลู่ฉวินไม่ค่อยดีเท่าไหร่…”

โม่วเซียวหยุดพูดทันที

ก็จริง ในครั้งนั้น เพราะลู่ฉวินเหยียดหยามปรมาจารย์จาง เพื่อนรักของเขากับจ้าวหย่าและพรรคพวกจึงท้าทายลู่ฉวินเข้าสู่การดวล และซ้อมอีกฝ่ายต่อหน้าผู้คนมากมาย ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาตึงเครียดไม่น้อย

“เขาเป็นสหายคนหนึ่งที่ผมพบโดยบังเอิญ ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเขาจะมียาเม็ดล้ำค่าขนาดนี้อยู่ในครอบครอง” โม่วเซียวตอบ

“ผมเห็นแล้ว” ลู่ฉวินดูออกว่าโม่วเซียวไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด แต่ก็ตัดสินใจไม่ซักไซ้

ลู่ฉวินชำเลืองมองจางเซวียนกับคนอื่นๆก่อนจะพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“ถึงยาเม็ดจะยกระดับวรยุทธให้คุณแล้ว แต่คุณก็ต้องขัดเกลามันอย่างระมัดระวังกว่าที่จะสำแดงมันออกมาได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผมก็จะไม่ขัดจังหวะคุณละนะ ค่อยพบกันใหม่ก็แล้วกัน!”

รู้ดีว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความอลหม่านครั้งใหญ่ เจิ้งหยางรู้สึกว่าหากเขายังอยู่ที่นั่นต่อไปก็มีแต่จะกระอักกระอ่วนใจกันทั้งสองฝ่าย จึงกล่าวอำลาโม่วเซียวก่อนจะจากไปพร้อมกับจางเซวียนและคนอื่นๆ

ตอนนี้ ไม่มีใครในหมู่ฝูงชนที่ไม่รู้ว่าพวกเขาไม่ธรรมดา โดยเฉพาะสาวน้อยที่เคยเรียกร้องค่าธรรมเนียมจากพวกเขา เธอรีบเดินเข้ามาหา หวังจะคว้าโอกาสที่พลาดไปเมื่อครู่ แต่หลังจากก้าวออกมาได้เพียงสองสามก้าว การมองเห็นของเธอก็พร่าเลือน ยังไม่ทันที่เธอจะรู้ตัว ร่างเหล่านั้นก็หายวับไป ราวกับพวกเขาไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน

ทุกอย่างเหมือนความฝัน แม้เธอจะพยายามหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ก็พบว่าจำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าตาของคนเหล่านั้น อย่าว่าแต่กิริยาท่าทางที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร

“ว้า!” สาวน้อยทรุดฮวบลงกับพื้นแล้วเริ่มคร่ำครวญ

เธอปล่อยโอกาสงามให้หลุดมือไปได้อย่างไรกัน? ถึงตอนนี้ ก็แทบอยากจะควักลูกตาทิ้ง

ส่วนลู่ฉวินก็ส่งโทรจิตหาโม่วเซียวเพื่อตั้งข้อสังเกต “พวกนั้นคือปรมาจารย์จางกับบรรดาศิษย์สายตรงของเขา”

บอกได้ยากว่าลู่ฉวินแค่ตั้งคำถามหรือพูดในสิ่งที่คิด

“ท่านอาจารย์…” โม่วเซียวหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำนั้น

เห็นๆอยู่ว่าเพื่อนรักของเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนให้ใครรู้ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ไม่อยากโกหกท่านอาจารย์

“ผมไม่อยากทำให้คุณลำบากใจ…เหตุผลที่ผมรู้ก็เพราะผมไม่คิดว่าจะมีใครที่มาที่นี่และมอบยาเม็ดเกรด 8 ให้คุณได้” ลู่ฉวินพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “รักษาสหายของคุณไว้ให้ดีนะ ถือเป็นโชคดีของคุณแล้วที่ได้รู้จักเขา”

เพราะลู่ฉวินได้ผ่านการทดสอบเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาว จึงพอรู้ความลับต่างๆของโลกอยู่บ้าง ด้วยเครือข่ายเส้นสายของเขา เขาได้รู้ว่าตลอด 1 ปีที่คู่แข่งของเขาออกจากอาณาจักรเทียนเซวียนไป อีกฝ่ายได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่อยู่เนืองๆ วีรกรรมที่ทำให้ใครๆพากันตาถลน

หลายคนพูดกันว่าตัวเขาคืออัจฉริยะ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจางเซวียน…เอาเถอะ ถึงการเปรียบเทียบแบบนี้จะไม่เหมาะนัก แต่ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกอ๊อดในบึงที่ยืนหยัดเผชิญหน้ากับมังกรแห่งสวรรค์ 9 ชั้น…

เห็นท่านอาจารย์ของเขารู้ความจริงแล้ว โม่วเซียวรู้ดีว่าปกปิดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาตั้งคำถามเพราะทนความอยากรู้ไม่ไหว “ท่านอาจารย์ คุณรู้เรื่องนี้ด้วย? ถ้าอย่างนั้น ผมอยากรู้ว่าเจิ้งหยางเป็นนักรบขั้นจื้อจุนแล้ว…หรือว่าสูงกว่านั้น?”

ความคิดแรกของเขาเมื่อได้เห็นพละกำลังของเจิ้งหยางก็คืออีกฝ่ายฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นจื้อจุนได้สำเร็จ แต่หลังจากได้กินยาเม็ดนั้นและยกระดับวรยุทธของตัวเองไปเป็นนักรบเหนือมนุษย์ขั้น 2-พลังต้นกำเนิดแล้ว โม่วเซียวก็พบว่าเขายังคงประเมินความแข็งแกร่งของเจิ้งหยางไม่ได้ ในตอนนั้นเองที่เขารู้ตัวว่าเพื่อนรักก้าวหน้าไปถึงขนาดที่แม้แต่ท่านอาจารย์ของเขาก็ได้แต่แหงนมอง

“วรยุทธของเจิ้งหยางในตอนนี้น่ะไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถรับรู้ คุณรู้ไว้ก็พอว่าถ้าเมื่อครู่นี้เพื่อนรักของคุณต่อสู้อย่างจริงจังล่ะก็ อาณาจักรเทียนเซวียนทั้งอาณาจักรอาจหายสาบสูญไปจากแผนที่เลยก็ได้” ลู่ฉวินตอบอย่างจนปัญญา

“อาณาจักรเทียนเซวียนทั้งอาณาจักร…หายสาบสูญไปจากแผนที่?” โม่วเซียวอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ

…..

เมื่อออกจากห้องประชุม จางเซวียนกับบรรดาลูกศิษย์ของเขามุ่งหน้าไปยังห้องเรียนที่พวกเขาเคยร่ำเรียนในสมัยก่อน

ห้องเรียนยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังเล็กและแคบเหมือนเดิม

หลังจากมองไปรอบๆห้องเรียนได้สักครู่ จางเซวียนก็โบกมือและพูดว่า “พวกคุณกลับไปหาญาติมิตรและครอบครัวเถอะ”

“ได้”

หวังหยิ่ง จ้าวหย่าและคนอื่นๆพยักหน้าก่อนจะจากไป

หวังหยิ่งมาจาก 1 ใน 4 ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน ดังนั้นพี่ชายและท่านพ่อของเธอจึงพำนักอยู่ในเมือง ส่วนท่านพ่อของจ้าวหย่าเป็นหนึ่งในข้าราชบริพารสูงสุดของอาณาจักรเทียนเซวียน และตอนนี้รับตำแหน่งขุนนางแห่งเมืองไป๋หยู จึงเป็นธรรมดาที่เมื่อกลับมาแล้วเธอก็จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ

ส่วนเว่ยหรูเหยียนกับลู่ชง ทั้งคู่สูญเสียครอบครัวและญาติมิตรไปหมดแล้ว จึงไม่มีใครที่ต้องไปพบปะเป็นพิเศษ

หลังจากจ้าวหย่ากับหวังหยิ่งจากไปได้ไม่นาน เจิ้งหยางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม “ศิษย์น้องหรูเหยียน ผมรบกวนให้คุณมากับผมหน่อยได้ไหม?”

“มีอะไร?” เว่ยหรูเหยียนย้อนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

บางที อาจเป็นเพราะอิทธิพลจากเรื่องราวในอดีตของเธอหรือไม่ก็สภาวะกายพิษแต่กำเนิด เว่ยหรูเหยียนจึงมีบุคลิกเย็นชา นอกจากจางเซวียน เธอก็แทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แม้อีกฝ่ายจะเป็นศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของเธอก็ตาม

ถึงเธอจะค่อนข้างสนิทกับเจิ้งหยาง แต่เรื่องจริงก็คือทั้งคู่พูดคุยกันน้อยมาก

“ผมอยากให้คุณช่วยอะไรสักหน่อย…มันเป็นหนึ่งในความเสียใจที่ผมเก็บงำไว้มาเนิ่นนาน” เจิ้งหยางตอบอย่างลังเล

“อ้อ? ถ้าอย่างนั้นก็ได้ มันคืออะไรล่ะ?” เว่ยหรูเหยียนตอบ

ท่านอาจารย์ของเธอบอกเสมอให้ดูแลบรรดาศิษย์พี่และศิษย์น้อง ซึ่งในเมื่อเจิ้งหยางต้องการความช่วยเหลือ หากไม่ลำบากเกินไป เธอก็ยินดีจะช่วยเขา

“ผมอยากพาคุณไปพบใครคนหนึ่ง…”

“คุณอยากให้ฉันพบใครคนหนึ่ง?” เว่ยหรูเหยียนถามอย่างงุนงง

อย่างกับเจิ้งหยางไม่รู้อย่างนั้นแหละว่าเธอไม่ค่อยญาติดีกับใครนอกจากท่านอาจารย์ แล้วทำไมถึงยังขอร้องแบบนี้?

เห็นทีท่าของเว่ยหรูเหยียน เจิ้งหยางรีบอธิบายอย่างละอายใจ “คุณไม่ต้องพูดอะไรหรอก แค่อยู่นิ่งๆก็พอ…”

“แล้วเขาเป็นใครกัน? ถ้าอีกฝ่ายทรงพลังมากล่ะก็ คุณรายงานท่านอาจารย์และขอความช่วยเหลือจากเขาก็ได้นี่” เว่ยหรูเหยียนพูด

“ไม่, ไม่ได้! ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เพียงแต่เธอจะไม่แข็งแกร่ง ยังอ่อนแอมากด้วย…”

ถึงตอนนี้ เจิ้งหยางกัดฟันกรอดราวกับกำลังชั่งใจก่อนจะอธิบาย “บอกคุณตามตรงนะ ก่อนผมจะมาเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ของเรา ผมมีผู้หญิงที่ผมรักอยู่คนหนึ่ง ผมมอบหัวใจของผมให้เธอ แต่ก็ได้กลับคืนมาแค่คำปฏิเสธและการเย้ยหยันอย่างเย็นชา…ในเมื่อผมกลับมาที่นี่แล้ว ผมก็อยากพบเธออีกครั้ง ไม่ใช่ว่าผมยังคงมีใจให้เธออยู่ แต่ผมอยากจบความเสียใจของผมเสียที…”

“พูดง่ายๆก็คือคุณอยากให้ฉันแสดงละครเป็นคนรักของคุณใช่ไหม?” เว่ยหรูเหยียนคำราม

ศิษย์พี่ของเธอเป็นถึงหัวหน้าสภายอดขุนพลและนักปราชญ์โบราณ ใครจะไปคิดว่าเขาจะอ่อนหัดขนาดนี้เมื่อเป็นเรื่องของหัวใจ?

เพราะในอดีตเขาเคยถูกแม่สาวคนนั้นปฏิเสธ จึงอยากจะหาคนที่สวยกว่ามารับบทเป็นคนรักของเขาเพื่อทำให้หล่อนเสียดายที่ปฏิเสธเขาใช่ไหม?

ช่างเป็นการกระทำที่ไร้ความคิดราวกับเด็กน้อย!

ถ้าเธอเป็นเขาล่ะก็ ไม่มีทางที่เธอจะทำอะไรไร้ประโยชน์แบบนี้ ถ้าอีกฝ่ายกล้าปฏิเสธเธอ เธอก็จะ วางยาพิษแม่นั่นให้ตาย เสียเวลาเหลือเกินที่จะมัวทำหรือพูดอะไรที่เหลวไหลไร้ประโยชน์!