สายลมเย็นเยียบยามราตรีพัดพาให้หัวใจหนาวเหน็บ ภายใต้แสงจันทร์สว่างไสว แซมมี่รู้สึกว่าในหัวปลอดโปร่งมากกว่าช่วงกลางวันที่ดวงอาทิตย์สาดแสงเจิดจ้า

ทว่า…เขากลับหาวออกมาอีกครั้ง เขาคิดกับตนเองว่าในค่ำคืนที่แสนงดงามนี้ คนควรจะเข้านอน ซึ่งนั่นคือกิจกรรมสร้างความบันเทิงที่สุดในชีวิต

วิญญาณทางด้านหลังเขายื่นมือขวาออกมา ก่อนที่เขาจะไปถึงประตูห้อง ประตูก็เปิดออกแล้ว

“ดอนนี่ เจ้ากรอกใบสมัครแล้วหรือยัง” แซมมี่เดินเข้ามาในหอพักพลางถามด้วยท่าทางสบายๆ แต่เขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว ดอนนี่ย่อมไม่มีทางลังเล ตราบใดที่เขาตัดสินใจไปแล้ว

“กรอกแล้ว” น้ำเสียงเซื่องซึม เหม่อลอย และหมองเศร้าดังมาจากมุมห้อง แม้จะง่วงงุนอยู่ แต่แซมมี่ก็บอกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงมองไปทางต้นเสียงด้วยความประหลาดใจ เพียงเพื่อจะพบว่าแสงไฟภายในห้องยังคงมืดสนิท แสงจันทร์ส่องลอดเข้ามาผ่านหน้าต่างและตกกระทบบนโต๊ะกับชั้นวางหนังสือ ปกคลุมพวกมันไว้ด้วยแสงสีเงินยวง ส่วนดอนนี่นั้น เขานั่งอยู่บนเตียงตัวเอง โดยที่ใบหน้ากึ่งหนึ่งมีแสงจันทร์อาบไล้ และอีกกึ่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เขาดูเศร้าโศกยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“เกิดอะไรขึ้น” แซมมี่ถามด้วยความประหลาดใจ ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในหัว แต่ก็ถูกเขาตัดออกไปทีละอย่างๆ

ดอนนี่ตอบกลับเสียงแผ่ว “ท่านอีวานส์ได้แนะนำทฤษฎีควอนตัมเข้ามาในโครงสร้างของร่างกายและพันธุศาสตร์โดยมองว่าชีวิตก็คือระบบอาร์คานาที่สมบูรณ์ในตัวมันเอง ท่านเชื่อว่ามันมีหน่วยพันธุกรรมขั้นพื้นฐานที่สุดที่ส่งต่อข้อมูลไปยังคนรุ่นหลังผ่านการผลิตซ้ำ…”

คำอธิบายของเขาทั้งยืดยานและเหม่อลอย ราวกับว่าเขากำลังละเมออยู่

“เอ้อ…” ในฐานะผู้มีพรสวรรค์ในด้านศาสตร์มืด แซมมี่จึงรู้สึกตื่นเต้นกระตือรือร้นกับเนื้อหาที่อีกฝ่ายแนะนำคร่าวๆ แต่ไม่ถูกต้องแม่นยำ นั่นถือเป็นข้อสันนิษฐานที่แปลกใหม่และสะเทือนวงการอย่างยิ่ง เหล่าจอมเวทย่อมเปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนาที่จะศึกษาชีวิต หลังจากที่เขาตื่นเต้น เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวว่า “นั่นหมายความว่าเราต้องศึกษาทฤษฎีควอนตัม เช่นเดียวกับสูตรและสมการทั้งหลายใช่หรือไม่”

‘นี่จะยังเป็นสำนักศาสตร์มืดที่เล่นกับ…ไม่ใช่สิ ศึกษาร่างกายและดวงวิญญาณอยู่อีกหรือไม่’

ดอนนี่ดูเหมือนกับร้องไห้อยู่ “สิ่งที่เจ้าพูดจะกลายเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย”

“เพราะแบบนี้เจ้าถึง…” แซมมี่พลันตระหนักได้ จึงหันไปมองดอนนี่ด้วยความเห็นใจ “เจ้าคงจะรู้เรื่องนี้หลงจากที่กรอดใบสมัครไปแล้ว ใช่หรือไม่”

ดอนนี่ถอนหายใจเฮือก “ใช่”

หากเขาอยากจะเลือกอีกครั้ง เขาก็ต้องรอสมัครใหม่ในปีหน้า แต่สภาพครอบครัวของเขาไม่ยินยอมให้เขาทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน

“ว่ากันตามตรง เจ้าสามารถคิดจากมุมมองอื่นได้นะ ในเมื่อแม้แต่ท่านอีวานส์ยังเริ่มให้ความสนใจกับขอบเขตด้านนี้ นั่นหมายความว่าขอบเขตนี้มีคุณค่าสำหรับการสำรวจและวิจัยอย่างสูง ด้วยการชี้นำของท่านอีวานส์ มันย่อมต้องมีความสำเร็จที่แสนสร้างสรรค์และสะเทือนวงการอยู่มากมายเป็นแน่ หากเราเข้าร่วมขอบเขตการศึกษาในช่วงเวลาเช่นนี้ เราย่อมจะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาล มันก็เหมือนกับสถาบันอะตอม ต้องขอบคุณพัฒนาการอันบ้าคลั่งในโลกจุลภาค จากจอมเวทชั้นนำกลุ่มเล็กๆ สองในนั้นจึงกลายเป็นผู้วิเศษ และที่เหลือก็เป็นนักเวทชั้นสูงที่มีพลังระดับเจ็ดขึ้นไป” แซมมี่ปลอบใจดอนนี่

ใบหน้าของดอนนี่ดูเศร้าหมองไม่น้อย ขณะที่ปากเขาอ้าๆ หุบๆ อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกมา ท้ายที่สุด เขาก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่น

“เหอะๆ”

แสงแดดในเดือนมิถุนายนนั้นร้อนแรงดั่งกองเพลิง และสนามสอบสำหรับการสอบเข้าวิทยาลัยเวทมนตร์ขั้นสูงก็ยิ่งร้อนระอุ ราวกับน้ำมันเดือด

แม้ว่าผู้ฝึกใช้มนตราที่ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์ระดับต้นและเลื่อนชั้นมาสู่เกรดห้าได้สำเร็จจะถูกมองว่าเป็นชนชั้นนำตั้งแต่หลายสิบปีก่อน แต่ก็ต้องขอบคุณวิวัฒนาการของอาร์คานาและเวทมนตร์ อัตราส่วนของชนชั้นนำเหล่านี้จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากพวกเขาเข้าเรียนต่อในวิทยาลัยเวทมนตร์ โอกาสที่พวกเขาจะได้เป็นนักเวทจริงๆ ก็จะสูงกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ พวกเขาจะเปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็นใครสักคนในชนชั้นสูงที่เปี่ยมด้วยความรู้และอำนาจ ด้วยเหตุนี้ จึงมิใช่เพียงผู้ฝึกใช้มนตราเท่านั้นที่เดินทางมายังสนามสอบก่อนเวลา แต่ยังมีผู้ปกครองและญาติสนิทมิตรสหายที่มารวมตัวกันอยู่นอกสนามสอบเพื่อให้กำลังใจพวกเขาด้วย

เนื่องด้วยสนามสอบยังมีเพียงไม่กี่แห่ง สถานที่จึงมีผู้คนเบียดเสียดพลุกพล่าน

“สำหรับข้าแล้ว สภาพแวดล้อมเช่นนี้เหมือนกับสุสานเลย” แซมมี่มองไปรอบๆ ด้วยอาการเฉื่อยชา ที่แห่งนี้คือโรงเรียนมิลส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามสอบสำหรับการสอบเข้าวิทยาลัย

ดอนนี่อยากจะยิ้มตอบ แต่กลับพบว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าเขาแข็งทื่อ “ไม่ สำหรับเจ้าแล้ว สุสานคือสถานที่ที่ดีมาก มันทั้งเหน็บหนาว เงียบงัน และไร้สิ่งใดรบกวน ที่นี่เทียบกับสุสานไม่ได้เลย”

“เจ้าดูกังวลนะ” แซมมี่ลืมตาบวงเป่งขึ้นมองดอนนี่ เขาได้รับเลือกให้เข้าวิทยาลัยไฮด์เลอร์แล้ว จึงไม่กังวลเกี่ยวกับการสอบที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพิธีการเท่านั้น แน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำคะแนนแย่ๆ ได้เช่นกัน มิเช่นนั้นใบสมัครของเขาจะไม่ผ่านคณะกรรมการการศึกษาเวทมนตร์และอาร์คานา ซึ่งเป็นคณะกรรมการกลุ่มใหม่ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว นำโดยคณะกรรมการกิจการและคณะกรรมการการวิจัยเวทมนตร์

ดอนนี่แลบลิ้นเลียริมฝีปากอันแห้งผากแล้วตอบว่า “ในเมื่อตอนนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะทำให้ดีที่สุด อย่างไรเสียมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าจำต้องเผชิญหน้ากับเงามืดด้วยความกล้าหาญ…”

เขาไม่ได้ตอบคำถาม ฉับพลันนั้น แสงอาทิตย์ก็พลันหายลับ ฝูงชนคับคั่งในบริเวณนั้นตกอยู่ในความเงียบทันที

“นั่นอะไรน่ะ” ดอนนี่เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ จึงได้เห็นเรือบินลำสีเงินลอยอยู่กลางอากาศ มันมีขนาดใหญ่โตเทียบเท่ากับเรือบินทั่วไปหลายสิบลำ จึงบดบังแสงอาทิตย์ ทั้งยังแผ่รัศมีเย็นเยียบชวนฝัน ลำเรือทั้งยาวและยิ่งใหญ่ มันค่อยๆ ลดระดับลงโดยที่ไม่สั่นสะเทือนเลยสักนิด

“เรือบินลำใหญ่อะไรเช่นนี้ แถมมันยังไม่นำพาต่อแรงต้านในการลอยตัวและการบินอีกด้วย ระบบเครื่องยนตร์ของมันจะต้องเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นขนาดเล็กแน่!” ดวงตาของแซมมี่เบิกโพลงขณะมองสังเกตเรือบินด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ทั้งยังประเมินอย่าง ‘มืออาชีพ’

สำหรับเด็กๆ ที่เติบโตมาหลังจากเริ่มต้นปีศักราชอาร์คานา ซึ่งก็คือปี 830 ของปีนักบุญศักดิ์สิทธิ์ และเป็นปีเดียวกับที่ไวเค็นดับสูญ ความวาดหวังโดยทั่วไปของพวกเขาก็คือการครอบครองเรือบิน รถยนต์ที่แล่นอยู่บนพื้นนั้นหน้าตาน่าเกลียดและดิบเถื่อนเกินไป!

ด้วยเหตุนี้ วารสาร ‘เรือบิน’ จึงเป็นวารสารขายดีตลอดกาล

ดอนนี่เองก็ชื่นชอบเรือบินมากเช่นกัน ความวิตกกังวลของเขาเบาบางลงขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและพูดด้วยความตื่นตาตื่นใจ “มันจะต้องเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นขนาดเล็กแน่ๆ อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชั่นได้สำเร็จ…ท่านประธาน ท่านอีวานส์ ท่านเฟอร์นันโด ท่านหญิงแฮทธาเวย์ ท่านราเวนติ และท่านมอร์ริสยังทะลายปราการที่ขวางกั้นไปไม่ได้…”

“คนที่มีเงินจ่ายให้กับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นขนาดเล็กเช่นนี้ไม่มีทางเป็นเพียงขุนนางทั่วไปแน่ กระทั่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่บางคนยังทำไม่ได้แม้แต่จะคิด…” แซมมี่หรี่ตาลงภายใต้แสงแดด “หือ ทำไมมันถึงไม่มีตราอะไรเลยเล่า จงใจปกปิดเช่นนั้นรึ”

ดอนนี่มองอย่างถี่ถ้วน “จริงด้วย ไม่มีเลย แต่ในนั้นจะต้องเป็นคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน”

เรือบินเคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ และลดระดับลงต่ำ กระทั่งมันจอดนิ่งอยู่บนจัตุรัสไร้ผู้คนที่อยู่หลังตึกการเรียนการสอน ผลุบหายไปจากสายตาของทุกคน

“ท่านเซอร์คนใดมาตรวจตราการสอบครั้งนี้กัน หรือว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตที่มีปูมหลังสุดวิเศษมาร่วมการสอบกันนะ” แซมมี่เก็บสายตากลับมา ใบหน้าของเขากลับมาซีดเซียวดังเดิม วิญญาณเบื้องหลังก็เหมือนจะหลอมรวมเข้าไปในร่างของเขา ตอนนี้แทบจะมองไม่เห็นมันด้วยซ้ำ

ดอนนี่กำลังจะพูดว่าเขาเองก็ไม่รู้ ก็พอดีกับที่ฝูงชนแหวกทางให้กับกลุ่มอัศวินในชุดเกราะสีเงินที่แบกกระเป๋าสะพายหลังสีดำรูปร่างประหลาดกับปืนโลหะทรงกระบอก เดินผ่านไปอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาดูไร้อารมณ์และชวนข่มขวัญยิ่ง ผู้คนต่างหวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียงใดออกมา

“นี่คือกองอัศวินดาบแห่งสัจธรรม!” ดอนนี่สังเกตเห็นว่าอัศวินทุกคนมีเหรียญตราสีแดงม่วงอยู่บนอก มันเป็นรูปมงกุฎที่แกะสลักด้วยลายเส้นบางเบาดุจก้อนเมฆ ขนาบข้างด้วยไม้คทาที่เป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุดและดาบยาวอันเย็นชา นั่นก็คือเหรียญตราประจำตระกูลฮอฟเฟนเบิร์ก

แซมมี่ยิ่งประหลาดใจกว่าสหายขณะกล่าว “เป็นหน่วยผู้พิทักษ์! พวกเขาแบกเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นขนาดจิ๋วอยู่!”

ฝูงชนยิ่งเงียบกว่าเดิมหลังจากได้ยินคำพูดของเขา หน่วยผู้พิทักษ์ถือเป็นกลุ่มกองอัศวินดาบแห่งสัจธรรมระดับแนวหน้า พวกเขาจะอุทิศตนให้กับภารกิจคุ้มครองอารักขา แม้ว่าสมาชิกทุกคนจะเป็นเพียงอัศวินอาภา แต่พวกเขาต่างมีกระเป๋าสะพายอันเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชั่นขนาดจิ๋วและปืนเกาส์ติดตั้งไว้กับตัว ของอย่างแรกนั้นสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างเหลือล้นและเป็นสื่อกลางในการกระตุ้นพลังให้กับปืน จากที่ต้องเป็นผู้มีพลังชั้นสูงเท่านั้นจึงจะใช้ปืนเกาส์ได้ ก็ลดระดับลงอย่างมาก ฉะนั้นแล้ว ในหน่วยผู้พิทักษ์ แม้แต่มหาอัศวินขั้นที่สี่ก็ยังใช้ปืนเกาส์ได้หลายรอบ

“ดูเหมือนว่าจะมีคนใหญ่คนโตที่มีปูมหลังน่าหวาดเกรงมาร่วมการสอบจริงๆ…” ดอนนี่กล่าวด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

บรรดานักเรียนในที่นี้ต่างสมัครเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยไฮด์เลอร์ หลังจากสอบวิชาบังคับเสร็จในสามวันแรก การสอบเพิ่มเติมในด้านศาสตร์มืดก็จะจัดขึ้นที่นี่เช่นกัน

แกร๊ง!

เสียงระฆังดังขึ้น กระตุ้นให้เหล่าผู้ฝึกใช้มนตราเข้าไปในห้องเรียน

ดอนนี่สูดหายใจเข้าลึกและหันไปมองแซมมี่ ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังอาคารเรียนอีกแห่ง

ภายในห้องสมุด ที่ที่แสงอาทิตย์สาดส่องเจิดจ้าเข้ามา…

ชายหนุ่มในชุดคลุมเวทมนตร์เปิดใช้งานอุปกรณ์แปรธาตุหน้าตาประหลาดที่มีขนาดเท่าโต๊ะตัวหนึ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บนหน้าจอที่ดูเหมือนลำแสงน้ำ มีตัวอักษรปรากฏขึ้นว่า ‘ท่านสามารถใช้ปัญญาประดิษฐ์ได้’ จากนั้น ภาพหน้าจออีกรูปแบบหนึ่งก็เผยโฉมออกมา โดยมีรูปสัญลักษณ์มากมายที่มีคำเรียกแตกต่างกันไป

ชายหนุ่มหยิบแผ่นโลหะคู่หนึ่งที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปัญญาประดิษฐ์ขึ้นมาแล้วแปะพวกมันบนหน้าผาก ก่อนที่เขาจะคลิกไปที่รูปสัญลักษณ์ที่อ่านได้ว่า ‘ผจญภัยเสมือนจริง’

จากนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าชั้นวางหนังสือ โต๊ะ และแสงอาทิตย์รอบๆ กายค่อยๆ เลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีดูร่มรื่น ซึ่งมีสัตว์เวทหน้าตาแปลกประหลาดอยู่เต็มไปหมด

“การพัฒนาเกมโดยนำเอามายาศาสตร์มาผสมผสานกับปัญญาประดิษฐ์นับเป็นความสำเร็จที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในรอบห้าปีเลยเชียว!” ชายหนุ่มเอ่ยชื่นชมอีกครา “น่าเสียดายที่ระบบเครือข่ายยังไม่ได้สร้างขึ้น และอุปกรณ์ปัญญาประดิษฐ์ยังมีราคาสูงเกินไป ผู้เล่นในเกมจึงมีน้อยเหลือเกิน มิเช่นนั้น มันคงจะน่าสนใจกว่านี้มากทีเดียว”

ทันทีที่เขากล่าวจบ เขาก็พลันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล เขาเห็นมังกรตัวใหญ่ยักษ์ที่ทั้งตัวเป็นสีแดงโฉบบินผ่านและเหลือบมองเขาด้วยดวงตาสีทอง ราวกับเขาเป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่ง ทั้งสมองและแข้งขาของเขาพลันสั่นเทา

“นี่คือ…นี่คือพลังอำนาจของมังกรเช่นนั้นหรือ” ชายหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงเป็นพิเศษ เขากำลังตื่นเต้นมาก นั่นคือความรู้สึกที่ได้จากการสัมผัสถึงพลังอำนาจของมังกร!

ในตอนที่ร่างกายเขายังคงยืนแข็งทื่อ สัตว์อสูรหน้าตาเหมือนกระทิงที่มีหนามแหลมเต็มตัวก็ผ่านมาและมองมาที่เขาอย่างหิวกระหาย จากนั้น มันก็สะบัดตัวและปล่อยหนามแหลมสีดำออกจากตัวนับสิบแท่ง

“เวรล่ะ ข้าถูกเจ้ากะทิงอะนาคีลอบโจมตี ข้าคงจะโดนลดระดับอีกแน่เลย…” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงก่อนที่เขาจะถูกหนามแหลมแทงเข้าหัวใจ

ความเจ็บปวดเหนือจินตนาการบังเกิดขึ้น จนเขาอดคิดในใจมิได้ ‘ความเจ็บปวดจากภาพมายาช่างสมจริงนัก มันเจ็บชะมัด!’

เขาพลันสัมผัสได้ว่าร่างของตนเย็นเยียบและขยับมิได้ หัวใจของเขาคล้ายกับจะหยุดเต้น เขาไม่อาจคิดอะไรได้เลย และสิ่งเดียวที่มองเห็นก็คือความมืด

……………………………………..