ตอนที่ 823 แผนการลับ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 823 แผนการลับ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด วันที่สิบ เดือนหก ยามราตรี

ข่าวที่ว่ากองทัพแห่งราชวงศ์อู๋ใกล้จะเดินทางมาถึงเมืองไท่หลินของแคว้นอี๋ได้แพร่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง

ชาวอี๋รู้สึกตื่นกลัวเป็นอย่างมาก ส่วนเหล่าเสนาบดีในราชสำนักก็ยิ่งรู้สึกร้อนอกร้อนใจ

ในราตรีนั้นได้ปรากฏบุคคลลึกลับผู้หนึ่งมาเยือนจวนอัครมหาเสนาบดีเปียนมู่หยูแห่งแคว้นอี๋ แน่นอนว่าบุคคลลึกลับนั้นก็คือจี้หยุนกุย !

จี้หยุนกุยเดินทางไปยังสุสานจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋ ทว่ามิได้กระจ่างในสิ่งที่ตามหา หลังจากนั้นเขาจึงกลับมายังแคว้นอี๋เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งเฉพาะกิจ

“คุณชายจี้ ! ”

“ท่านอัครมหาเสนาบดี ! ”

เปียนมู่หยูหรี่ตามองเล็กน้อยเยี่ยงหมาป่าที่ปรารถนาจะล่าเหยื่อ เขาย่อมรู้จักบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ดีเพราะบุรุษท่านนี้เคยอยู่ข้างกายองค์ชายหกเยียนหานยวี่มาก่อน

จี้หยุนกุยเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านอัครมหาเสนาบดีจะมิเชิญข้าน้อยดื่มชาสักถ้วยหรือ ? ”

“เจ้าเป็นคนของหอซี่หยู่หรือของฟู่เสี่ยวกวนกันแน่ ? ”

“เรื่องนี้มิสำคัญหรอก เพราะสิ่งสำคัญคือข้าน้อยนำจดหมายจากผู้อาวุโสตระกูลเปียนมามอบให้ท่าน”

เปียนมู่หยูหางคิ้วกระตุก รู้สึกหวาดผวาในใจ ดวงตาเล็กหลี่ลง จากนั้นก็เห็นจี้หยุนกุยนำจดหมายสองฉบับออกมา

“จดหมายอีกฉบับเป็นลายพระหัตถ์ของชินอ๋องเยียนหานยวี่ ขอท่านอัครมหาเสนาบดีเปียนได้โปรดอ่านด้วยเถิด”

เปียนมู่หยูรับจดหมายสองฉบับมา เงียบไปชั่วอึดใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “คุณชายจี้เชิญนั่ง ! ”

“ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเปียน ! ”

ทั้งสองนั่งคนละฝั่ง เปียนมู่หยูเปิดจดหมายจากผู้อาวุโสประจำตระกูลเปียนออกมาอ่าน จดหมายฉบับนี้กระชับได้ใจความ มีตัวอักษรเพียงแค่สองบรรทัดเท่านั้น…

‘ตระกูลเปียนดำรงอยู่มานานนับพันปี มีลูกหลานนับหมื่นแสน

นานทีร้อยปีหน หากมิเด็ดขาด หายนะย่อมบังเกิด ! ’

เปียนมู่หยูสูดลมหายใจเข้าลึก ข้อความสองบรรทัดนี้มีความหมายชัดเจนมากยิ่งนัก ตระกูลเปียนเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ผู้ทรงอำนาจของแคว้นอี๋ สำหรับตระกูลใหญ่แล้ว ความรุ่งโรจน์ของวงศ์ตระกูลจะยึดโยงกับความเป็นไปของแคว้นทั้งสิ้น !

องค์จักรพรรดิที่สูงส่งก็สามารถล้มลงได้ หรือแม้แต่นามของแคว้นก็สามารถเปลี่ยนผันได้ ทว่าเชื้อสายวงศ์ตระกูลมิอาจดับสลายได้เป็นอันขาด !

ตามความเห็นของผู้อาวุโสตระกูลเปียนคือเล็งเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่มิอาจหาได้ง่าย ๆ เปียนมู่หยูเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีของแคว้น และเป็นคนตระกูลเปียนที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในหน้าประวัติศาสตร์ของตระกูล หากเขาเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องท่ามกลางวิกฤตการณ์เยี่ยงนี้ได้ สำหรับตระกูลเปียนย่อมสามารถยกระดับตระกูลให้สูงขึ้นอีกขั้นได้

เปียนมู่หยูวางจดหมายของผู้อาวุโสประจำตระกูลลง เปิดจดหมายอีกฉบับของเยียนหานยวี่ ซึ่งมีข้อความเพียงแค่สองประโยคเช่นกัน

‘ท่านอัครมหาเสนาบดีเปียน ข้าจะกลับพระราชวังในเร็ววันนี้ ส่วนเปียนเอ๋อหลานสาวของท่านจะเป็นจักรพรรดินีของข้า นับจากนี้ตระกูลเปียนและแคว้นอี๋จะเสวยสุขร่วมกัน ! ’

เปียนมู่หยูต้มชาหนึ่งกา จนกระทั่งน้ำเดือด จึงรินชาแล้วส่งให้จี้หยุนกุยพร้อมกับเอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “เช่นนั้น…เหตุใดติ้งอันป๋อมิส่งจดหมายถึงข้าโดยตรง ? ”

“ติ้งอันป๋อคิดว่าท่านย่อมเลือกสิ่งที่ถูกต้องที่สุด และเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองจะเกิดขึ้นอย่างสันติ ติ้งอันป๋อจึงส่งจดหมายถึงท่านแม่ทัพใหญ่เฟิงอีกหนึ่งฉบับ”

หัวใจของเปียนมู่หยูดำดิ่ง ในทุกวันนี้เมืองไท่หลินมีทหารรักษาการณ์ทั้งสิ้น 100,000 นาย และมีกองทัพที่เฟิงเสียนชูนำกลับมาอีก 200,000 นาย นี่คือกองกำลังทั้งหมดที่องค์จักรพรรดิสามารถพึ่งพาได้ หากฟู่เสี่ยวกวนยุแยงเฟิงเสียนชูได้สำเร็จ… ดูเหมือนว่าจะเห็นจุดจบของสงครามได้ตั้งแต่ที่กองทัพราชวงศ์อู๋ยังมิเข้าประชิดเมืองไท่หลินเสียด้วยซ้ำ

“แผนการของติ้งอันป๋อเข้าท่าดีนี่ ! ”

“ทุกอย่างนี้ก็ทำเพื่อแคว้นอี๋ทั้งสิ้น ! ”

เปียนมู่หยูเอ่ยเย้ยหยัน “จริงสิ ! ทุกอย่างล้วนทำเพื่อแคว้นอี๋ ! ”

……

……

เฟิงเสียนชูนั่งอยู่เพียงลำพังในศาลาพักร้อน เขาดื่มสุราพลางอ่านจดหมายในมือ กระทั่งดื่มสุราหมดไปแล้วกว่าครึ่งขวด แต่ก็ยังมิสามารถละสายตาไปจากจดหมายฉบับนี้ได้ !

‘…ได้พบพานท่านแม่ทัพใหญ่คราแรกที่อีกฝั่งของแม่น้ำเซียวก็นับว่าเป็นเรื่องดี

ข้าคิดว่าเรื่องดีจะยังคงดำเนินอยู่เช่นนี้สืบไป เมื่อพวกเราได้พบกันอีกคราก็คงจะมีเพียงสุราหอมอบอวลและไร้ศึกสงคราม…

ข้ารับรู้ถึงความกลัดกลุ้มใจของแม่ทัพใหญ่เป็นอย่างดี

ข้าเข้าใจว่านี่เป็นการตัดสินใจคราใหญ่ระหว่างถูกและผิด คำว่าได้หรือเสียมันห่างกันเพียงเส้นบาง ๆ ขวางกั้น หัวใจของผู้คนนั้นสว่างราวกับกระจก สงบราวกับสายน้ำ

บุปผาเจริญงามยามวสันต์ ผ่านห่าฝน ผ่านสายลมย่อมม้วยมลายเป็นธุลีดิน

ลำไผ่แข็งแกร่ง ผ่านหยาดน้ำค้างหลายครา ผ่านหิมะหลายหน ก็มิแปรเปลี่ยน

ชีวิตมนุษย์ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว เฉกเช่นลำไม้ไผ่ !

จงเลือกเดินบนเส้นทางของตน ผู้อื่นจะว่าเยี่ยงไรก็ปล่อยไป ! ’

เขาดื่มสุราเข้าไปอีกหนึ่งจอก จากนั้นก็ฉีกยิ้มจนเห็นฟัน จงเลือกเดินบนเส้นทางของตน ผู้อื่นจะว่าเยี่ยงไรก็ปล่อยไป… หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ข้าคงมิกลับมา

เขาหวนนึกถึงสงครามที่แม่น้ำเซียวขึ้นมา จากนั้นก็ตระหนักได้ถึงความสามารถในการสู้รบของทหารดาบเทวะ หลังจากนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมายาว ๆ

ทันใดนั้นเอง ทหารเฝ้าประตูจวนก็ได้เข้ามารายงานว่า ท่านอัครมหาเสนาบดีเปียนมู่หยูมาเยือน

นี่เป็นยามจื่อแล้ว ท่านอัครมหาเสนาบดีมาเยือนเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ?

เฟิงเสียนชูเก็บจดหมายฉบับนั้นเอาไว้ เดินไปยังห้องโถงส่วนหน้าเพื่อให้การต้อนรับเปียนมู่หยู หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไปยังห้องอักษร

เปียนมู่หยูนำจดหมายสองฉบับของตนเองออกมาวางต่อหน้าเฟิงเสียนชู ส่วนเฟิงเสียนชูก็หยิบจดหมายที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนถึงตนมาวางไว้เบื้องหน้าของเปียนมู่หยูเช่นกัน

ในราตรีนั้น ไฟในห้องอักษรของเฟิงเสียนชูได้สว่างโร่ตลอดทั้งคืน

……

……

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด วันที่สิบสอง เดือนหก

ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนพาผู้ติดตามขบวนหนึ่งออกเดินทางสำรวจในเขตปกครองตนเองอันกว้างใหญ่ไพศาล ด้านจัวเปี๋ยหลีก็ได้นำกองทัพ 300,000 นายเข้าประชิดเมืองไท่หลินเป็นที่เรียบร้อย

จักรพรรดิเยียนเหลียงเจ๋อแห่งแคว้นอี๋ได้ทราบข่าวล่วงหน้าแล้ว บัดนี้เขากำลังเดินวกไปวนมาอยู่ภายในท้องพระโรงด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ ขุนนางที่อยู่เบื้องล่างมีสีหน้าหวาดกลัว บางคนก็ก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตา

เดิมทีคิดว่าราชวงศ์อู๋จะสนใจเพียงหกรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้น เดิมทีคิดว่าพวกมันแค่ต้องการใช้แคว้นอี๋เป็นทางผ่านเพื่อบุกโจมตีแคว้นฮวง แต่คาดมิถึงว่าพวกมันจะย้อนมาแว้งกัด !

โฉดชั่วเยี่ยงหมาป่า !

เจ้าพวกคิดมิซื่อ !

ทว่า…สภาพของแคว้นอี๋ในทุกวันนี้จะเอาอันใดไปสู้กัน ?

เมืองไท่หลินมีทหารรักษาการณ์ทั้งสิ้น 100,000 นาย อีกทั้งยังมีกองทัพของเฟิงเสียนชูอีก 200,000 นาย รวมทั้งสิ้น 300,000 นาย ทว่าทหารแคว้นอี๋…พวกเขาเคยโดนกองทัพของราชวงศ์อู๋กำราบจนหัวหดมาก่อนนี้แล้ว ไหนจะเงินในท้องพระคลังที่ร่อยหรอเต็มที อาวุธและเกราะป้องกันของเหล่าทหารราบก็มิครบครัน พวกเขาขาดกำลังใจในการต่อสู้เพื่อแคว้นนี้เต็มทน !

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข่าวของแคว้นฮวงแพร่มาถึงแคว้นอี๋ อย่าว่าแต่ชาวอี๋หรือเหล่าทหารเลย แม้แต่เสนาบดีในราชสำนักก็เกิดท่าทีแปรพักตร์ขึ้นมา…

‘ให้ชาวฮวงปกครองแคว้นฮวงด้วยกันเอง’ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ลงมือสังหารเสนาบดีแม้แต่คนเดียว ทั้งยังมิสังหารชาวฮวงอีกด้วย ขอเพียงมิกระทำตนเป็นปรปักษ์ก็จะมิเกิดอันตรายทั้งต่อตนเองและวงศ์ตระกูลอย่างแน่นอน

อีกทั้งช่วงนี้ยังมีข่าวการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคที่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน ดูเหมือนว่าชาวฮวงที่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนกว่าพันปี กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงคราใหญ่

เช่นนั้น การที่แคว้นอี๋แสนเน่าเฟะจะมีอยู่หรือสิ้นนามก็มิได้สลักสำคัญอันใดแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกตระกูลที่ร่ำรวยแห่งแคว้นอี๋ พวกเขามองสถานการณ์เบื้องหน้าด้วยความหรรษาและเฝ้ารออย่างเงียบเชียบ มิว่าราชวงศ์หรือแคว้นจะเปลี่ยนแปลงเยี่ยงไร แต่ตระกูลใหญ่ต้องมิล่มสลาย และเหตุผลที่พวกเขาคิดเช่นนั้นเพราะพวกเขามองสถานการณ์ออกจนทะลุปรุโปร่ง จนสามารถเลือกสิ่งเหมาะสมที่สุดให้กับตนเองได้

เห็นได้ชัด ว่าทางเลือกที่จะมีชีวิตรอดได้วางอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาแล้ว !

หากพวกเขาคว้าโอกาสนี้เอาไว้ วงศ์ตระกูลก็จะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงคราใหม่ที่มิเคยประสบมาก่อน

“พวกเจ้าเป็นใบ้กันหมดแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ? ”

เยียนเหลียงเจ๋อแผดคำราม จนทำให้เหล่าเสนาบดีหวาดผวาตกใจ “แม่ทัพใหญ่เฟิงอยู่ที่ใด ? เหตุใดเขามิเข้าร่วมประชุมราชสำนัก ! ”

“ก็แค่กองทัพ 300,000 นายมิใช่หรือ ? ข้าเองก็มีกองทัพจำนวน 300,000 นายเช่นกัน ! หากมีข้าคอยคุ้มกันเมืองหลวง จัวเปี๋ยหลีย่อมมิสามารถโจมตีเข้ามาได้อย่างง่ายดายเป็นแน่ ! ”

“พวกเจ้าทั้งหลายล้วนเป็นเสนาบดีที่ข้าไว้วางใจ และวันนี้แคว้นต้องเผชิญกับอันตราย ข้าหวังให้พวกเจ้าสมัครสมานร่วมใจ เป็นตายเคียงข้างบัลลังก์ ! ”

เปียนมู่หยูยืนถอนหายใจอยู่เบื้องล่างอย่างปลดปลง เพราะเขาทราบดีว่าจักรพรรดิพระองค์นี้จะโลดแล่นอยู่บนบัลลังก์ได้อีกมินาน