ราชันเร้นลับ 760 : แวดวงอันคับแคบ โดย Ink Stone_Fantasy
เรานึกว่าเธอจะพูดอย่างเหยียดหยามทำนองว่า ตนไม่ชอบผู้ชายไร้เดียงสา ไม่ชอบพวกไร้น้ำยา และพ่นถ้อยคำดูแคลนสามัญชน ใครจะไปคิด… เธอไม่แม้แต่จะตอบคำถาม… เฮ่อ… ความโอหังเช่นนี้จะทำให้โอกาสคลุ้มคลั่งเพิ่มขึ้นในลำดับสูงขึ้น… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะรำพัน
ตามความเข้าใจของชายหนุ่ม ผู้วิเศษเป็นเพียงมนุษย์ที่มีพลังพิเศษ ไม่ต่างอะไรกับการมีเงินหรืออำนาจ สรุปโดยสั้น ผู้วิเศษยังเพียงเป็นมนุษย์เดินดิน ไม่สามารถปลีกตัวออกจากสังคมได้ ต้องรอจนถึงลำดับ 4 จึงจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
และเหนือสิ่งอื่นใด ครึ่งเทพส่วนใหญ่ก็ยังมีบทบาทในสังคมของมนุษย์ แม้แต่ลำดับหนึ่งอย่าง ‘อสรพิษโชคชะตา’ วิล·อัสตินก็ยังต้องกลับไปเป็นทารกในครรภ์มารดา… อาจมีเพียง ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์และตัวตนในระดับใกล้เคียงกันเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์มองโลกด้วยสายตาของ ‘เทพ’ ได้อย่างแท้จริง… ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง ก่อนจะกล่าว
“ต้องขอโทษด้วยครับ ผมเป็นนักธุรกิจที่มักเดินทางไปมาระหว่างทวีปเหนือและใต้ ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในงานเลี้ยงสักเท่าไร เอ่อ ผมหมายถึงงานเลี้ยงประเภทนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เฮเซลตอบอย่างใจเย็น คล้ายกับไม่แยแสหัวข้อที่อีกฝ่ายหยิบยกขึ้นมา
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ตอนนี้คงไม่อยากจะสนทนากับผู้หญิงที่หยิ่งผยอง เน้นไปที่การเต้นรำเพียงอย่างเดียว แต่สำหรับไคลน์ มันมั่นใจว่าตนสามารถรับมือได้ เพราะตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างคนธรรมดาและผู้วิเศษเป็นอย่างดี จึงน้อมรับคำขอโทษและกล่าวกลับไป
“สำหรับผม นี่เป็นความท้าทายที่ไม่ด้อยไปกว่าการท้องทะเล… สิ่งที่เหมือนกันคือทิวทัศน์อันงดงาม เต็มไปด้วยความท้าทายและยากลำบาก แน่นอน ตำนานขุมสมบัติถือเป็นของคู่กันกับท้องทะเล บางอันก็เป็นของปลอม บางอันก็ฟังดูเหมือนจริง แต่ตรวจสอบไม่ได้ เฉกเช่นตำนานอันดับหนึ่งอย่าง ‘กุญแจเทพมรณา’ ”
“กุญแจเทพมรณา?” เฮเซลเงยหน้าขึ้น แหงนหน้ามองดอน·ดันเตสที่สูงกว่าตนพอสมควร
เป็นอย่างที่คิด ผู้วิเศษที่รู้สึกเหนือกว่าคนธรรมดา มักสนใจในเรื่องราวเร้นลับ… ไคลน์หัวเราะในลำคอ พยักหน้ารับ
“ใช่ครับ ลือกันว่าซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งในทะเลคลั่ง…”
ชายหนุ่มเล่าลงลึกเกี่ยวกับตำนานขุมสมบัติที่เคยได้ยินมาจาก ‘โมราขาว’ และเสริมด้วยข้อมูลที่ได้รับตลอดช่วงเวลาการผจญภัย
ระหว่างเล่า มันเอ่ยถึง ‘สี่ราชา’ และเจ็ดนายพลโจรสลัดอย่างเลี่ยงไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าเฮเซลสนใจตำนาน จึงตอบสนองต่อไคลน์แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงขั้นเอ่ยปากถามเองเป็นครั้งคราว ช่วยให้การเต้นรำระหว่างทั้งสองลดความตะขิดตะขวงลง เพลิดเพลินจนกระทั่งเพลงดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดโดยไม่รู้ตัว
ไคลน์ตัดจบเรื่องราวอย่างชำนาญ จากนั้นก็ถาม
“คุณจะกลับไปที่ที่คุณยืนเมื่อครู่ หรือไปทางนั้นเพื่อตักอาหาร?”
หลังจากเต้นรำ สุภาพบุรุษต้องถามความปรารถนาของสตรี ส่งเธอไปยังที่ที่เธอต้องการ ไม่จำเป็นต้องเป็นตำแหน่งเดิม
เฮเซลขยับปาก คล้ายกับต้องการถามเพิ่มเติม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวออกมา เพียงพยักหน้ารับอย่างสงวนกิริยา
“ที่เมื่อครู่”
หึหึ… เห็นได้ชัดว่าเธอเศร้านิดๆ ที่จะไม่ได้ฟังตำนานขุมสมบัติต่อ… เด็กเอาแต่ใจแบบนี้ ขอแค่หาสิ่งที่เธอสนใจให้พบ การชวนคุยก็ไม่ใช่เรื่องยาก… ไคลน์กลั้นยิ้ม ส่งเฮเซลกลับไปยังริมฟลอร์เต้นรำ จุดเดิมที่เธอเคยยืน
สำหรับมัน แน่นอนว่าต้องเดินไปยังโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด หยิบจานขึ้น ตักเนื้อปลากระดูกมังกร ตักสเต๊กเนื้อลูกวัวหั่นเต๋าและราดด้วยซอสพริกไทยดำ
เมื่อเทียบกับการเต้นรำและเข้าสังคม อาหารต่างหากที่เป็นส่วนสำคัญของงานเลี้ยง… ไคลน์รำพันติดตลก พลางบังคับร่างกายให้มีท่วงท่าสง่างามที่สุด
ทันใดนั้น ชายหนุ่มเห็นมาดามแมรี่เดินเข้ามาใกล้ คีบฟัวกราส์ราดไวน์แดงใส่จาน
ไคลน์เห็นอีกฝ่ายกำลังมองมาทางตน จึงยิ้มรับและพยักหน้าอย่างสุภาพ เป็นการตอบสนองตามมารยาท
“ดิฉันควรเรียกคุณว่าอย่างไรหรือคะ? จากทุกงานเลี้ยงและงานเต้นรำที่ส.ส. มัคท์จัดขึ้น ดิฉันไม่เคยเห็นคุณมาก่อน” อาจเป็นเพราะดอน·ดันเตส สุภาพบุรุษเจ้าของจอนสีขาว มีดวงตาสีน้ำเงินเข้มและหน้าตาหล่อเหลา มาดามแมรี่ผู้มีหน้าตาค่อนข้างธรรมดาและโหนกแก้มสูงจึงทักทายอย่างกระตือรือร้น
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“ผมดอน·ดันเตส นักธุรกิจที่เพิ่งย้ายมาจากอ่าวเดซีย์ อาศัยอยู่ในละแวกนี้… มาดาม ขอเสียมารยาทถามชื่อได้ไหมครับ?”
แมรี่พยักหน้าครุ่นคิด เริ่มตระหนักว่าสุภาพบุรุษตรงหน้าคือนักธุรกิจที่พยายามไต่เต้าเพื่อให้ได้เป็นชนชั้นสูง เฉกเช่นตัวเธอในอดีต
หญิงสาวยิ้มและตอบ
“แมรี่·ช็อตต์ กรรมการผู้จัดการบริษัทโคอิม”
เธอไม่ได้แนะนำตัวว่าเป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งของบริษัทโคอิม และไม่ได้แนะนำตัวว่าเป็นหนึ่งในคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติ นี่คือมารยาทการสนทนาทางอ้อมของชาวโลเอ็น
แมรี่·ช็อตต์… กลับมาใช้นามสกุลบิดา? นั่นสินะ เธอหย่ากับสามีแล้ว… ไคลน์พึมพำ ตามด้วยยิ้ม
“ผมรู้จักบริษัทนี้ ธุรกิจหลักเกี่ยวกับถ่านแอนทราไซต์และถ่านคุณภาพสูง หึหึ… ด้วยความสัตย์จริง ผมเคยตั้งใจที่จะลงทุน แต่ดูเหมือนว่าจะแข่งราคากับคนอื่นไม่ไหว”
หลังจากร่างกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษอากาศผ่านเข้าสภา ความต้องการถ่านแอนทราไซต์และถ่านคุณภาพสูงก็เพิ่มขึ้น บริษัทโคอิมจึงเติบโตขึ้นจากปีก่อนๆ จากการทำงานอย่างหนัก มูลค่าโดยรวมถูกประเมินให้สูงกว่าสองแสนห้าหมื่นปอนด์ไปแล้ว การลงทุนของไคลน์จึงไม่ใช่แค่ลมปาก แต่ชายหนุ่มรู้สึกจริงๆ ว่าธุรกิจประเภทนี้ยังเติบโตไปได้อีกไกล จนกว่ามนุษย์จะค้นพบแหล่งพลังงานทางเลือก
แมรี่เป็นคนผลักดันให้กฎหมายมลพิษทางอาการเข้มงวดขึ้น จึงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า เธอคือคนที่ทำให้บริษัทโคอิมเติบโตอย่างก้าวมากับมือ เมื่อได้ยินคำชมเชยจึงเผยรอยยิ้ม
“นั่นเพราะทุกคนเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอาศัย”
กล่าวจบ หญิงสาวถอนหายใจเล็กน้อย
“แต่ยิ่งเติบโต ปัญหาก็ยิ่งตามมา”
เนื่องจากเพิ่งได้พบกัน ‘เมื่อครู่’ ไคลน์จึงไม่ได้ถามว่าปัญหาคืออะไร เพียงอาศัยประโยชน์จากการที่รู้จักแมรี่มาก่อน การชวนคุยในหัวข้ออื่นๆ จึงเป็นเรื่องง่าย ทั้งสองยืนคุยกับอย่างสนุกสนาน
หึหึ… ทัศนคติที่เธอมีต่อดอน·ดันเตส แตกต่างจากเชอร์ล็อก·โมเรียตี้โดยสิ้นเชิง… ถึงจะเคยเป็นคนรู้จักกัน แต่เมื่อเปลี่ยนใบหน้าและตัวตนเป็นคนใหม่ ได้รับการปฏิบัติอีกหนึ่งรูปแบบ กลับรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด… ขณะสนทนา ไคลน์ถอนหายใจ ตระหนักว่าโอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’ ของตนย่อยไปได้อีกขั้นหนึ่ง
ไม่กี่นาทีถัดมา บุรุษรูปงามเจ้าของเส้นผมสีทองสลวย เดินเข้ามาพร้อมไวน์แดงหนึ่งแก้ว ยิ้มให้มาดามแมรี่
“แมรี่ คุณกำลังคุยเรื่องอะไรอยู่หรือ”
“ฮิบเบิร์ต ทางนี้คือมิสเตอร์ดอน·ดันเตสจากอ่าวเดซีย์ ประสบการณ์ของเขาทั้งในไบลัมตะวันออกและทะเลล้วนน่าสนใจมาก” แมรี่แนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน “ดอน ทางนี้คือมิสเตอร์ฮิบเบิร์ต·ฮอลล์ บุตรชายคนโตของเอิร์ลแห่งเชสเตอร์ตะวันออก ฮุฮุ อันที่จริง พวกเราควรเรียกเขาว่าท่านลอร์ด แต่เขาต้องการให้เรียกว่าท่านเลขานุการใหญ่มากกว่า ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าเลขานุการของคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติ”
ผมเคยได้ยินคุณเล่าให้ฟังแล้ว… แน่นอน นั่นเป็นตอนที่อยู่ในตัวตนเชอร์ล็อก·โมเรียตี้… เอิร์ลแห่งเชสเตอร์ตะวันออก… ขุนนางใหญ่ตัวจริงเสียงจริง แถมยังเป็นอันดับต้นๆ ของอาณาจักร… ไคลน์ทักทายอย่างสุภาพ แต่ไม่ถ่อมตัว
“ผมขอถือวิสาสะแสดงความขอบคุณในฐานะสามัญชนคนหนึ่ง การทำงานของคณะกรรมการสอบสวนมลพิษทางอากาศแห่งชาติ ช่วยให้พวกเราทุกคนมีสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น”
ฮิบเบิร์ต·ฮอลล์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับคำขอบคุณจากใจ จึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ต้องขอบคุณความพยายามของพวกเราทุกคน”
แมรี่ด้านข้างยิ้ม
“ดอน อย่าพูดแบบนั้นอีก สิ่งนี้จะทำให้ฮิบเบิร์ตเหลิง… ฮุฮุ… ฉันล้อเล่น ฮิบเบิร์ตเป็นสุภาพบุรุษที่ถ่อมตนกว่าทายาทขุนนางคนใดที่ฉันเคยรู้จัก อันที่จริง ตอนนี้ฮิบเบิร์ตควรจะได้พักผ่อนในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกซึ่งเป็นที่ดินของตระกูล ได้ล่าสัตว์กับกลุ่มเพื่อน แต่หลังจากที่ฉันส่งโทรเลขไปแจ้งว่า ส.ส. มัคท์เชิญพวกเราเข้าร่วมงานเลี้ยง เขาก็รีบกลับมาทันที”
“ไม่ใช่แค่งานเลี้ยงนี้ ยังมีหลายสิ่งที่ผมต้องจัดการให้เสร็จ และไม่ใช่แค่ผม แต่บิดาของผม ท่านเอิร์ลฮอลล์ มักเดินทางไปมาระหว่างเบ็คลันด์และดินแดนของตระกูลเพื่อทำงานอย่างหนักเสมอ” ฮิบเบิร์ตอธิบายอย่างจริงจัง
เป็นสุภาพบุรุษที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ทางสังคมมาก… ไคลน์ประเมินเบื้องต้น
ได้ยินเช่นนั้น แมรี่ถามอย่างเป็นกันเอง
“ยังมีอะไรต้องทำอีกหรือ? แล้วคุณจะออกจากเบ็คลันด์เมื่อไร?”
“เรื่องอื่นถูกจัดการหมดแล้ว เหลือเพียงเรื่องสุดท้าย… หึหึ ออเดรย์ น้องสาวของผม เธอสนใจหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยานมาก ลงทุนจ้างทีมงานมืออาชีพมาช่วยเจรจาโดยเฉพาะ ส่วนผมเป็นคนคอยประสานงานให้” ฮิบเบิร์ตเล่าโดยไม่คิดอะไรมาก
หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยาน? ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้… ไม่สิ คงต้องบอกว่า แวดวงชนชั้นสูงช่างคับแคบ.. ไคลน์ถอนหายใจกับตัวเอง กล่าวอย่างจงใจ
“ผมเองก็เคยตั้งทีมเจรจาเพื่อซื้อหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทจักรยานเหมือนกัน แต่เพดานของผมคือเก้าพันปอนด์ น่าเสียดายที่แข่งกับคนอื่นไม่ไหว ทำได้แค่ยอมถอนตัว”
ฮิบเบิร์ตจ้องชายหนุ่มด้วยสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ
“สายตาของคุณเฉียบแหลมไม่เบา”
มันไม่ได้เล่าถึงข้อเสนอฝั่งตัวเอง ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายกลับมาประมูลแข่ง
เก้าพันปอนด์… แมรี่พึมพำเงียบ เริ่มตระหนักว่าเธอประเมินความร่ำรวยของดอน·ดันเตสต่ำไป
ทันใดนั้น บทเพลงที่สามได้ดังจากฟลอร์เต้นรำ ฮิบเบิร์ต·ฮอลล์จึงหันไปหาแมรี่
“ช่วยเป็นเกียรติมาเป็นคู่เต้นของผมได้ไหม”
“ดิฉันกำลังรออยู่พอดี” แมรี่ยื่นมือออกไปหา
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้แผนแลกเปลี่ยนนามบัตรของไคลน์ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่รีบร้อน เพราะงานเลี้ยงยังอีกยาวไกล
หลังจากตักอาหารมากินอีกหนึ่งจาน มันกินอย่างเอร็ดอร่อยพลางนั่งชมเหตุการณ์ภายในฟลอร์เต้นรำ โดยเฉพาะการขยับร่างกายของบรรดาสาวๆ
ระหว่างนี้ ไคลน์พบว่าส.ส. มัคท์และมาดามลีอานน่าคอยสนทนากับแขกมากหน้าหลายตาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม บางรายก็เป็นคู่เต้นรำ
ตามที่วอลเตอร์เล่าให้ฟัง หลังจากยืนยันรายชื่อแขกทั้งหมด เจ้าภาพต้องสรุปความชอบและปูมหลังของแขกแต่ละคนให้ได้ คิดบทพูดและมุกตลกที่แตกต่างออกไป ให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขาถูกปฏิบัติเป็นพิเศษ… การสนทนาในหมู่ชนชั้นสูงของชาวโลเอ็นช่างวุ่นวาย… หึหึ… นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าผากของสุภาพบุรุษโลเอ็นมักเถิกกว่าปรกติ… ไคลน์ถอนหายใจ จิกกัดฝ่ายเดียว
ชายหนุ่มถอนสายตากลับ มองไปที่จานอาหารอันว่างเปล่า คิดอย่างจริงจังว่าจะเอายังไงต่อ จะชวนสตรีเต้นรำหรือตักมากินเพิ่ม
ทันใดนั้น จากมุมสายตา ไคลน์เห็นเฮเซล·มัคท์ อีกฝ่ายกำลังเดินขึ้นไปยังชั้นสามด้วยท่าทางค่อนข้างรีบ
…………………………………………….