บทที่ 1386 พระหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1386 พระหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง Ink Stone_Fantasy

อารมณ์ความคิดของหูลี่ลี่เหมือนจะย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ตอนที่ไปถึงหุบเขา นางเริ่มหายใจถี่กระชั้น แววตาสื่ออารมณ์หวาดกลัว…

ในหุบเขานั้นหนาวเย็น สีของท้องฟ้ามืดสลัวอยู่ตลอด มีโครงกระดูกมากมาย ทั้งยังมีชายหญิงที่เปลือยร่างอยู่นับพัน แต่ละคนไม่ได้สวมเสื้อผ้า ในบรรดาชายหญิงพวกนั้นมีเพียงสองประเภท มีแค่มนุษย์กับปีศาจเท่านั้น มนุษย์มีชายกับหญิง แต่ปีศาจกลับมีนานาชนิด เรื่องเดียวที่ชายหญิงพวกนั้นทำกันก็คือสมสู่ เป็นการผสมพันธุ์ระหว่างคนกับปีศาจ ส่วนหูลี่ลี่เอง นางก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ตั้งแต่เดินลงไปในหุบเขาแล้ว ถอดเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเองจนหมด เดินเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังสมสู่กัน นางแทบจะผสมพันธุ์กับมนุษย์อยู่แบบนั้นทุกวัน

ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ในใจต่างก็รู้ชัดแจ่มแจ้ง แต่ในหัวมีเสียงสวดมนต์ดังก้องอยู่ตลอด แต่ละคนไม่มีทางควบคุมตัวเองได้ ล้วนกำลังอาศัยความปรารถนายุคดึกดำบรรพ์เพื่อความเริงรมย์

คนจำนวนมากผสมพันธุ์กันถี่ขนาดนี้ มักจะมีอัตราการตั้งครรภ์เกิดขึ้นเสมอ และผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แล้วก็จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ จะหลุดพ้นจากการผสมพันธุ์แบบถี่ๆจะได้ขึ้นมาพักผ่อนรอคลอดอยู่นอกวัดบนหน้าผา พระปีศาจหนานโปก็กำลังยืนดูพวกนางอยู่ในประตูใหญ่นั้น

คนกับปีศาจผสมพันธุ์กัน เดิมทีก็มีอัตราความสำเร็จไม่สูงอยู่แล้ว แต่หูลี่ลี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน มีอัตราการตั้งครรภ์สูงเป็นพิเศษ นางอยู่ในหุบเขานั้นหลายพันปี ไม่น่าเชื่อว่าจะตั้งครรภ์สำเร็จไปสิบกว่าครั้ง ตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนหลัง นางให้กำเนิดทายาทเป็นทารกชายหญิงไปแล้วสิบกว่าคน

หลังจากให้กำเนิดลูกแล้ว นางถึงได้เริ่มเข้าสู่ฝันร้ายอย่างแท้จริง หลังจากลูกหย่านมไปแล้ว หากมีอาหารไม่เพียงพอ ก็จะเริ่มดื่มเลือดกินเนื้อ แหล่งที่มาของเลือดเนื้อพวกนั้นก็มีชายหญิงนับหมื่นที่ผสมพันธุ์กัน

หลังจากลูกน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้น พระปีศาจหนานโปก็เริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกตนให้เด็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าพระปีศาจหนานโปถ่ายทอดวิชาลับอะไรให้ คนอื่นที่อยู่ที่นี่จะควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองไม่ได้ แต่เด็กที่เขาฝึกสอนกลับสามารถฝึกตนที่นี่ต่อไปได้ เพียงแต่ไม่มีทางใช้พลังอิทธิฤทธิ์ตอนอยู่ที่นี่ได้เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ หลังจากเด็กน้อยเติบโต ก็จะไปฝึกเคล็ดวิชาของนักพรตผีอีก แต่ไม่มีใครสามารถผ่านด่านที่ทรมานที่สุดในการสลับหยินหยางได้เลย แต่ละคนสิ้นชีพอยู่ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่โหยหวนเศร้ารันทด หลังจากตายแล้วร่างกายของพวกเขาก็จะถูกแบ่งให้คนอื่นๆ กินอีก

หูลี่ลี่ได้แต่มองดูลูกที่ตัวเองคลอดตายอนาถคนแล้วคนเล่า ทั้งยังได้แต่มองลูกตัวเองถูกคนอื่นกิน ความรู้สึกแบบนั้นคนนอกไม่มีทางเข้าใจได้

ตอนหลังมีปีศาจสาวกับพระหนุ่มหล่อคู่หนึ่งมาในหุบเขา ปีศาจสาวก็เหมือนกับคนอื่นๆ แต่พระหนุ่มเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงสวดมนต์และมาเข้าร่วมการผสมพันธุ์ พระหนุ่มเหมือนจะตกใจกับภาพเหตุการณ์ในหุบเขา จึงหนีออกไปทันที แต่ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่นี่ได้ ภายใต้การควบคุมของพระปีศาจหนานโป ชายหญิงที่อยู่ในหุบเขาจึงดักไม่ให้เขาหนีเอาชีวิตรอด พวกนั้นไล่สังหารเขา

พระหนุ่มยากที่จะสู้กับคนจำนวนมากขนาดนั้นได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะปีนหน้าผาที่สูงอันตรายโดยไม่คิดชีวิต ปีนขึ้นมาบนหลังคาวัด พอได้ครอบครองจุดยุทธศาสตร์ เขาก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งบุรุษที่ต้านทานคนได้นับหมื่น พอมีคนปีนขึ้นมาหนึ่งคน ก็โดนเขาเตะลงไปหนึ่งคน ขนาดผู้หญิงที่มากับเขาก็ยังโดนเตะลงไปอย่างไม่เกรงใจ โดนเขาเตะทีเดียวจนตกลงไป เกือบจะกระแทกพื้นตายแล้ว

พระหนุ่มเตะไปพลางด่าพระปีศาจหนานโปที่โดนขังอยู่ในวัดไปพลาง ด่าได้หยาบคายมา ไม่ว่าคำไหนก็ด่าออกมาได้ทั้งนั้น เป็นคำพูดที่คนออกบวชไม่น่าจะพูดออกมาได้เลย

เมื่อเห็นว่ามีคนตกลงมาบาดเจ็บล้มตายไม่น้อยแต่ก็ยังทำอะไรพระหนุ่มไม่ได้ พระปีศาจหนานโปถึงได้หยุดรุกโจมตี เพียงแต่พระหนุ่มนั่นก็โดนล้อมไว้บนหลังคาวัดแล้ว ไม่กล้าลงมาอยู่ดี ตอนนั้นพระหนุ่มกับพระปีศาจหนานโปจึงเจรจากัน พูดจาดีๆ ตามประสาลูกศิษย์ชาวพุทธเหมือนกัน หวังว่าพระปีศาจหนานโปจะปล่อยเขาออกไปได้ พระปีศาจหนานโปก็เสนอเงื่อนไขเช่นกัน แต่พระหนุ่มไม่เชื่อใจพระปีศาจหนานโป สุดท้ายทั้งสองก็ยังเจรจาล้มเหลว

พระหนุ่มโดนขังอยู่บนหลังคาปีแล้วปีเล่า บางทีอาจจะได้เห็นาภพอนาถในหุบเขานั่นกับตาตัวเองแล้ว ในที่สุดก็มีอยู่วันหนึ่ง เหมือนพระหนุ่มจะตัดสินใจอะไรได้ จึงนั่งขัดสมาธิบนบนหลังคา นับลูกประคำบนข้อมือ เริ่มสวดมนต์เสียงดัง เหมือนเป็นการอ่านออกเสียง ข่มควบคุมบทสวดมนต์ไร้เสียงของพระปีศาจหนานโป

ถึงแม้จะควบคุมไม่อยู่ แต่เมื่อผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ก็ไม่น่าเชื่อว่าปราณหยินกับกลิ่นอายชั่วร้ายในหุบเขาจะถูกเขาทำให้คลายออกไปแล้ว

และในวัดแห่งนั้น ทุกๆ หนึ่งพันปีจะมีเสียงระฆังดังมาก จะดังอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง เวลานั้นเสียงสวดมนต์ที่พระปีศาจหนานโปใช้ควบคุมคนจะเงียบลง และพลังลึกลับบนดาวเคราะห์ที่หยุดยั้งพลังอิทธิฤทธิ์ก็จะหายไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

และสิบกว่าปีหลังจากพระหนุ่มนั่นมา โอกาสหนึ่งครั้งในหนึ่งพันปีก็มาถึงอีกแล้ว ทุกคนต่างก็ได้สติกลับมา จึงถือโอกาสหลบหนีทันที ต้องการจะหลุดพ้นจากหุบเขานั่น

ทว่าโอกาสนี้เป็นเพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น รอจนกระทั่งทุกคนอาการบรรเทา เพิ่งจะหนีออกมาจากดาวเคราะห์ดวงนั้นได้ไม่นาน เสียงสวดมนต์ของพระปีศาจหนานโปที่ติดอยู่ในหัวก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าพระปีศาจหนานโปลงสิ่งต้องห้ามอะไรไว้บนร่างกายของทุกคนหรือเปล่า ทุกคนกลับไปที่หุบเขานั้นอย่างว่านอนสอนง่ายอีก

และเนื่องจากพระหนุ่มเพิ่งเคยมีประสบการณ์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ถึงเบาะแสที่อยู่ในนั้น รอจนกระทั่งตอนที่เขาเข้าใจสถานการณ์และคิดจะหนี เขาก็หนีออกไปไม่ได้เลย เพราะเขาเพิ่งมีวรยุทธ์บงกชม่วง ถ้าไม่มีใครช่วยก็ไม่มีทางหนีออกมาจากดาวดวงนั้นได้ แต่เขากลับฉวยโอกาสหนีออกมาจากหุบเขาได้แล้ว พระปีศาจหนานโปควบคุมให้พวกเราไปจับตัวเขา พวกเรานับหมื่นคนไล่ล่าเขา ส่วนเขาก็หนีเอาชีวิตรอดอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ได้กินอะไรหลายปีขนาดนั้น ทั้งยังใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ แต่เขาก็ยังวิ่งได้ไวมาก สุดท้ายเขาก็หนีลงไปอยู่ในทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว

ใครจะคิดว่าหนึ่งพันปีหลังจากนั้น พระหนุ่มนั่นก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ฉวยโอกาสตอนที่สิ่งแปลกปลอมนั่นหายไปอีกครั้ง หนีออกมาตะโกนเสียงดังเรียกเพื่อนร่วมทางของเขา ในที่สุดปีศาจสาวที่มาพร้อมเขาตอนแรกก็พาเขาเหาะหนีออกไปด้วยกัน แต่ก็เป็นเหมือนเดิม ทุกคนถูกพระปีศาจหนานโปเรียกกลับไปอย่างรวดเร็ว พระหนุ่มนั่นถูกเพื่อนร่วมทางจับกลับมาแล้ว แต่พอได้เหยียบลงพื้น พระหนุ่มนั่นก็ชักกระบี่ออกมาจากแขนเสื้อ แล้วตัดแขนเพื่อนร่วมทางคนนั้นทิ้งเสียเลย หนีไปได้อีกแล้ว

พระปีศาจหนานโปควบคุมให้พวกเราไล่ตามเขาอีก แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าพระหนุ่มกินอิ่มและเตรียมตัวมาดี วิ่งหนีได้เร็วกว่าเดิม พวกเราไล่ตามไม่ทันเลย สุดท้ายก็ได้แต่ดูเขาหนีเข้าไปในทะเลสาบไป

แต่ใครจะคิดว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปี พระนั่นก็ไม่รู้ว่าจับงูพิษกับแมลงพิษมาจากไหนมากมาย โยนเข้าไปล้างแค้นในหุบเขา ทุกคนโดนควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์อยู่ มีคนไม่น้อยโดนกัดจนบาดเจ็บ สุดท้ายก็มีคนตายเพราะพิษหลายร้อยคน ทำให้พระปีศาจหนานโปโมโหมาก

พอได้ยินถึงตรงนี้ พวกประมุขชิงก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าพระหนุ่มที่ประหลาดขนาดนี้โผล่มาจากไหน เซี่ยโห้วท่าอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พระนั่นมีฉายานามว่าอะไร? มาจากสำนักไหน?”

หูลี่ลี่ตอบว่า “ตอนแรกพวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาไม่เปิดเผยฉายานามกับที่มาของตัวเองเลย ตอนที่ด่าพระปีศาจหนานโปก็ใช้คำว่า ‘กู’ ตอนหลังพระปีศาจหนานโปจึงเรียกเพื่อนร่วมทางของเขามาถาม…ที่จริงข้าเคยเห็นเพื่อนร่วมทางของเขามาก่อน นางคือปีศาจโลหิตผู้โด่งดังในสถานที่ไร้ระเบียบ เป็นลูกหลานของปรมาจารย์มารโลหิต เพียงแต่หลังจากพระปีศาจหนานโปถามแล้วถึงได้รู้ ว่าที่แท้ปีศาจโลหิตก็คือคนของสมาคมวีรชน พระปีศาจหนานโปจึงถามถึงที่มาของพระหนุ่มนั่นทันที ปีศาจโลหิตบอกว่านางโดนคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋ออะไรสักอย่างที่ดาวเทียนหยวนโจมตีจนสาหัส แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ตอนหลังเลยไปถึงวัดจิตสงบที่ดาวเทียนหยวน บังเอิญว่าที่วัดจิตสงบโดนโจรปล้นพอดี นางได้ช่วยชีวิตเจ้าอาวาสวัดจิตสงบเอาไว้ เจ้าอาวาสมีฉายานามว่าศีลแปด คือพระหนุ่มคนนั้นนั่นเอง ปีศาจโลหิตตกหลุมรักพระหนุ่ม แต่พระหนุ่มกลับถูกอาจารย์ของตัวเองใช้วิชาลับระงับจุดหยางเอาไว้ ไม่สามารถทำเรื่องระหว่างชายหญิงได้ นางจึงดันทุรังพาตัวพระหนุ่มนั่นตระเวนไปทั่วทุกที่เพื่อหาวิธีปลดผนึกวิชาลับ ไปตามหาคนมากมายแต่ก็ไม่มีประโยชน์ ตอนหลังพบคนคนหนึ่งชี้แนะ บอกว่าที่นี่มีคนที่สามารถปลดผนึกให้พระหนุ่มนั่นได้ ก็เลยเสาะหาตามคำแนะนำ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมาตกอยู่ในเงื้อมมือพระปีศาจหนานโป”

คนในตำหนักสบตากันแวบหนึ่ง อิ๋งจิ่วกวงขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมไปโยงกับหนิวโหย่วเต๋อได้อีก?”

“ศีลแปด…” ประมุขชิงพึมพำ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อใคร พอผ่านไปครู่เดียวก็ได้คำตอบแล้ว เขาเก็บระฆังดาราแล้วบอกกับคนอื่นๆ ว่า “ให้ฝั่งแดนสุขาวดีสั่งคนไปตรวจสอบแล้ว ที่ดาวเทียนหยวนมีวัดที่ชื่อวัดจิตสงบจริงๆ แต่วัดร้างไปแล้ว และในรายชื่อที่วัดรายงานขึ้นไปก็ไม่มีคนที่ชื่อ ‘ศีลแปด’ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเจ้าอาวาสวัดจิตสงบ”

พอหูลี่ลี่ได้ยินก็หวาดกลัวแล้ว เอาศีรษะโขกพื้นซ้ำๆ “ฝ่าบาท ปีศาจต่ำต้อยไม่ได้โกหกนะ ตอนนั้นได้ยินแบบนี้จริงๆ เพคะ”

“ไม่ได้บอกว่าเจ้าโกหก” ประมุขชิงกล่าว แล้วเอียงหน้าไปพูดกับเกาก้วนว่า “ไปถามสมาคมวีรชนหน่อยว่ามีปีศาจโลหิตหรือเปล่า ถ้าหากมี ก็ถามหน่อยว่าเกี่ยวอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อกันแน่”

ทุกคนที่อยู่ที่ตรงนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งโง่ ต่างก็รู้ว่าสมาคมวีรชนคือเขี้ยวเล็บของเขา

“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับคำสั่งแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ

ผ่านไปสักพัก เขาก็เก็บระฆังดาราแล้วบอกว่า “มีคนที่ชื่อว่าปีศาจโลหิตจริงๆ ส่วนจะอยู่กับพระที่ชื่อศีลแปดหรือไม่นั่น สมาคมวีรชนก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ปีศาจโลหิตขาดการติดต่อไปนานมากแล้วจริงๆ และเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ขอรับ”

อิ๋งจิ่วกวงกล่าวอีกว่า “ทำไมไม่ว่าเรื่องไหนๆ ก็เกี่ยวข้องกับเจ้าเด็กนั่น”

เขายังคิดจะให้หลานสาวแต่งงานกับเหมียวอี้อยู่เลย ถ้าเหมียวอี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ ใครยังจะกล้าให้แต่งอีกล่ะ

“อ้อ!” ประมุขชิงถามว่า “เรื่องเป็นยังไง?”

เกาก้วนตอบว่า “บอกว่าสาเหตุที่หนิวโหย่วเต๋อเข้ามาทำงานกับตำหนักสวรรค์ก็ยังเกี่ยวข้องกับปีศาจโลหิตบ้างบางส่วน ตามที่สมาคมวีรชนบอก หนิวโหย่วเต๋อในตอนนั้นยังไม่ได้เข้าตำหนักสวรรค์ เพิ่งจะบริหารร้านขายของชำซื่อตรง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ออกไปเที่ยวแล้วล่วงล้ำเข้าไปในดาวมารโลหิต เลยโดนปีศาจโลหิตเพ่งเล็ง โดนเก็บเข้าไปอยู่ในค่ายกลมารโลหิต ทว่าปีศาจโลหิตไม่ได้อะไรเลยแถมยังขาดทุน นอกจากจะโดนหนิวโหย่วเต๋อทำลายค่ายกลมารโลหิตแล้ว ยังแย่งชิงสมบัติที่เป็นแกนค่ายกลของค่ายกลมารโลหิตไปด้วย เพื่อที่จะไล่ตามยาเม็ดโลหิตเก้าเม็ดที่ใช้เพิ่มวรยุทธ์คืน ปีศาจโลหิตจึงสืบที่อยู่ของหนิวโหย่วเต๋อผ่านสมาคมวีรชน เตรียมจะลงมือฆ่าหนิวโหย่วเต๋อแล้วชิงของกลับมา แต่กลับโดนหนิวโหย่วเต๋อกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกในตอนนั้นสมคบกันเล่นงาน จับตัวปีศาจโลหิตเอาไว้แล้ว และปีศาจโลหิตก็โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ แทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ยังเป็นสมาคมวีรชนที่ออกหน้าช่วยปีศาจโลหิตออกไป โชคดีที่เคล็ดวิชาฝึกตนของปีศาจโลหิตไม่ธรรมดา จึงรักษาวรยุทธ์ได้บางส่วน แต่จากวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าก็กลายเป็นวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ด หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับสมาคมวีรชนก็เพราะเหตุนี้เช่นกัน กอปรกับร้านขายของชำซื่อตรงที่เขาวางแผนบริหารผงาดขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ผู้มีอำนาจอิทธิพลจำนวนไม่น้อยเป็นกังวล ข้างนอกมีสมาคมวีรชน ข้างในมีผู้มีอำนาจ ภายใต้การโดนบีบของสองฝั่ง หนิวโหย่วเต๋อจึงไม่มีทางเลือก นำหุ้นสองส่วนในมือไปมอบให้โค่วเหวินหลานผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเพื่อแลกตำแหน่งว่างสักตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ ถึงได้รักษาชีวิตเอาไว้ได้จนถึงตอนนี้ เรื่องราวก็เป็นอย่างนี้ขอรับ”

…………………………