บทที่ 2026 – คนสำคัญของตระกูลซง พระราชวังอสูรโลหิต
ตระกูลซงตั้งอยู่ในเมืองหลางฮว่าน ยิ่งไปกว่านี้พวกเขาคือตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลางฮว่าน ซงจงก็เป็นอัจฉริยะของตระกูลซงที่เพียงแค่มองเหล่าชาวบ้านก็ต้องก้มกราบ ตอนนี้เขาถูกสังหารจึงเป็นธรรมดาที่ตระกูลซงจะต้องโกรธ ถ้าหากซงจงถูกฆ่าโดยสัตว์อสูรในดินแดนปราณจิต พวกเขาก็คงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แต่เขากลับถูกใครบางคนฆ่าตายก่อนจะได้ออกมา
ผู้นำตระกูลซง ซงห้วยเต้อจึงถูกความโศกเศร้าท่วมทับจิตใจ เขามองดูชายที่อยู่ด้านข้าง “จงเอ๋อถูกฆ่า และฆาตกรคนนั้นก็เป็นชายหนุ่มของหอคอยจักรพรรดิจากเมืองฮาง”
“เรามากำจัดหอคอยจักรพรรดิกันเถอะ “ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยความโกรธ
เขาก็คือซงอี้ พี่น้องของซงจง ทันทีที่ได้ยินข่าวการตายเขาแทบไม่อยากเชื่อ ตระกูลซงคือกลุ่มที่ทรงพลังและไม่มีใครไม่รู้จัก พวกเขาไม่มีทางยอมปล่อยหอคอยจักรพรรดิให้อยู่รอดปลอดภัยโดยเด็ดขาด
“ท่านผู้นำ หอคอยจักรพรรดิมันกล้าเหยียดหยาม สังหารคนตระกูลซงต่อหน้าคนอื่นได้อย่างไร พวกเราจะต้องไม่ยอมเด็ดขาด เราจะต้องจับมันมาหั่นเป็นหมื่นๆชิ้นให้ได้”
“มันคงคิดว่าตระกูลซงเป็นเป้าหมายที่ง่ายสินะ? ท่านผู้นำ ตรวจอนุญาตให้ข้าไปจัดการมันด้วยเถอะ”
………..
…….
ในขณะเดียวกันนั้น หอประชุมของตระกูลซงก็เต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายอย่างกับตลาด ซงห้วยเต้อลูบศีรษะของตน ซงจงคือลูกชายและเป็นทายาทคนสำคัญที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำคนต่อไป เขาคือความหวังสูงสุด แต่ตอนนี้เขาได้จากไปแล้ว มันช่างเป็นเรื่องน่าหดหู่ที่ชายชราคนหนึ่งจะต้องสูญเสียลูกชายแสนรักของตน
ซงห้วยเต้อตกอยู่ในความเศร้า แต่ยอดยุทธย่อมต้องสามารถควบคุมตนเองได้ บนโลกใบนี้เต็มไปด้วยผู้เสียชีวิตมากมาย ฉะนั้นการจะเป็นจอมยุทธย่อมต้องยอมรับความตายอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าเขาเองก็ยังคงเสียใจอย่างหนัก
ซงห้วยเต้อยิ่งออกไปส่งสัญญาณกดดันให้คนที่อยู่ด้านล่างหยุดโต้เถียง เขากล่าวกับผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างว่า “ท่านลุงเหยา ท่านพอจะมีแผนแนะนำเพื่อใช้ในการจัดการหอคอยจักรพรรดิหรือไม่?”
ชายที่ถูกเรียกว่าลุงเหยานั่งหลับตาราวกับคนที่กำลังนอนหลับ เขาสวมชุดธรรมดามีใบหน้าแสนธรรมดา แต่ทันทีที่เขาลืมตาใบหน้าของเขาก็เปล่งประกายไปด้วยชีวิตชีวา
“ซงห้วยเต้อ เจ้าอยากจะเผชิญหน้ากับหอคอยจักรพรรดิจริงๆหรือ?”ชายชราขมวดคิ้ว “พวกเราตระกูลซงคงจะเสียหน้าถ้าหากเราปล่อยหอคอยจักรพรรดิ์ไป”ซงห้วยเต้อกล่าวตอบ ในฐานะผู้นำตระกูล หากไม่เอาความเรื่องความตายของลูกชายตน นอกจากเขาจะเสียหน้าแล้ว เขาอาจจะสูญเสียตำแหน่งผู้นำไปก็เป็นได้
“การจัดการหอคอยจักรพรรดิไม่ใช่เรื่องง่าย ข้ารู้จักพวกมันดี หากอยู่ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป พวกมันแทบจะไม่มีทางถูกทำลาย พวกมันทั้งแข็งแกร่ง และมีคนที่คอยสนับสนุน ดูเหมือนว่าพวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว คำแนะนำของข้าตอนนี้คือขอให้ท่านอยู่เฉยๆ ท่านจงพิจารณาว่าระหว่างการเสียหน้ากับเสียชีวิตอันไหนมันแย่กว่ากัน”ผู้อาวุโสกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ซงห้วยเต้อเงียบสนิท ผู้คนด้านล่างก็เช่นกัน ตัวผู้อาวุโสเองก็อยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์ไม่เหมือนใคร แม้จะไม่ใช่คนที่มีอำนาจสูงสุด แต่เขาก็เป็นหนึ่งในคนที่มองเห็นโชคชะตากรรมของผู้อื่น มันเหมือนเป็นพรจากฟ้า แม้ว่ามันจะไม่ถูกต้อง แต่ก็ใกล้เคียงความจริงกว่าครึ่ง ด้วยเหตุนี้ ตระกูลซงจึงสามารถหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้าย และอยู่รอดปลอดภัยมาตลอดหลายปี
ผู้อาวุโสมองเห็นความตั้งใจของซงห้วยเต้อ เขาได้แต่ถอนหายใจและกล่าวว่า “ใช้เหรียญตราถ้าหากท่านปรารถนาจะต่อสู้กับหอคอยจักรพรรดิ มิฉะนั้นพวกเราไม่มีทางชนะ “
ผู้อาวุโสให้คำตอบที่ชัดเจน และซงห้วยเต้อก็ไม่ใช่คนบูมบ่าม เขาจึงพยักหน้า “ห้วยจือ ไปที่พระราชวังอสูรโลหิต บอกพวกเขาว่าตระกูลซงต้องการความช่วยเหลือ พวกเราต้องการพึ่งพาพวกเขาในการกำจัดหอคอยจักรพรรดิ์ “
ผู้อาวุโสตอบสั้นๆก่อนจะจากไป
ตระกูลซงเคยช่วยเหลือผู้นำพระราชวังอสูรโลหิตเข้าโดยบังเอิญ และได้รับการตอบแทนเป็นเหรียญตราอสูรโลหิต เหรียญตรานี้เปรียบดังบุญคุณ ที่พระราชวังจะต้องทดแทนโดยยังคงอยู่บนความสมเหตุสมผลและมีขอบเขตที่ชัดเจน
พระราชวังอสูรโลหิตเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งและชั่วร้าย พวกเขามีพลังแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าตระกูลซง เป็นขุมกำลังที่อยู่ในโลกเก้ามหาทวีปที่แท้จริง พวกเขาจึงไม่ปรากฏอยู่บนเขตแดนหิมะอุดร
ซงห้วยเต้อมีจิตใจแน่วแน่ที่จะต่อสู้กับหอคอยจักรพรรดิ เขาจึงจำเป็นต้องใช้เหรียญตราอสูรโลหิต ด้วยสถานะของพวกเขา หากไร้ผู้ช่วย เขาคงไม่ใช่คู่ต่อกรของหอคอยจักรพรรดิ์เช่นกัน
…………
………
ชิงสุ่ยไม่รู้เลยว่าตระกูลซงกำลังจะตามมาล้างแค้น แต่เขาเองก็สังเกตเห็นกลุ่มคนที่ทำตัวแปลกๆอยู่ภายในหอคอยจักรพรรดิ บางคนก็คอยเฝ้าจับตามองหอคอยจักรพรรดิจากระยะไกล ในขณะที่บางคนก็เข้ามาทำท่าทางประหลาดแล้วจากไป หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็ตระหนักได้ว่าหลายต่อหลายคนนั้นคือคนของตระกูลซง
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าตระกูลซงเองก็คงจะหาที่มาการตายของซงจงได้แล้ว อย่างไรก็ตามในเมื่อพวกเขาไม่ได้มาเพื่อแก้แค้นทันที นั่นก็หมายความว่าพวกเขาเองก็คงต้องมีความขลาดกลัวอยู่
ชิงสุ่ยเองก็ยังไม่ลงมือใดๆทั้งสิ้น ความตายที่ตระกูลซงได้รับมันก็สมควร เขาไม่มีความกังวล จนกระทั่งอีก 3 วันผ่านไป ชิงสุ่ยเริ่มจับสังเกตถึงความผิดปกติหลังจากที่เขาออกมาจากการฝึกฝนภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ เขารู้สึกได้เลยว่าหอคอยจักรพรรดิเหมือนติดอยู่ไหนกับดัก ชิงสุ่ยจึงเริ่มปลดปล่อยการรับรู้ปราณจิต และสังเกตเห็นบุคคล 4 คนที่ซ่อนอยู่รอบ 4 ทิศทางของหอคอยจักรพรรดิ
ชิงสุ่ยยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้ และเฝ้าจับตามองศัตรูเหมือนที่ศัตรูกำลังจดจ่ออยู่กับตัวตนของเขา
ชิงสุ่ยเริ่มชงชา และนั่งดื่มคนเดียว
“เจ้าเก่งมากที่ยังคงใจเย็นอยู่ได้ เจ้าแสดงท่าทางใจเย็นทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย”เสียงคำพูดของคนปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างมนุษย์
แม้ว่าจะอยู่ในที่มืด ชิงสุ่ยก็ยังคงมองเห็นคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน มันคือชายวัยกลางคนในชุดเปื้อนเลือด ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดคือผมสีแดงคล้ายเลือด แม้แต่ดวงตาก็ส่องประกายแสงสีแดง
“เจ้าคือใคร? เหตุใดถึงมาที่หอคอยจักรพรรดิ?”ชิงสุ่ยมั่นใจมากว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มาดี
“เจ้าแม่จำเป็นต้องรู้ ต่อให้เจ้ารู้ไปเจ้าก็ต้องตาย”ชายเสื้อแดงหัวเราะ
“ข้าเบื่อหน่ายเสียต้องถามคนอื่นเพราะไม่อยากคุยกับศพอย่างเจ้า”ชิงสุ่ยจิบชาต่อ
ชายเสื้อแดงถึงกับหัวเราะไม่ออกเมื่อได้ยินคำตอบของชิงสุ่ย เขาถือมีดเปื้อนเลือด 2 เล่ม เริ่มส่งกลิ่นเหม็นคาวเลือดคละคลุ้งจนอยากจะคลื่นไส้
“ข้าคงต้องส่งเจ้าไปโลกหน้าก่อน แต่ได้กังวล คนอื่นๆจะตามมาส่งคนของเจ้าให้ไปโลกหน้าเช่นกัน ข้าได้ยินมาว่ามีโฉมงามอันดับ 1 แห่งเขตแดนหิมะอุดรอยู่ที่นี่ด้วย มันช่างเป็นโชคดีของข้าจริงๆ “ชายเสื้อแดงไม่ให้ความสำคัญกับชิงสุ่ยเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าคงไม่ใช่คนของเขตแดนหิมะอุดร หากตัดสินจากเครื่องแต่งกายของเจ้า เจ้าก็น่าจะมาจากพระราชวังอสูรโลหิต ถ้าอยากรู้เหลือเกินว่าสถานะของเจ้าในพระราชวังอสูรโลหิตนั้นอยู่ในระดับใด?”ชิงสุ่ยรับรู้ถึงกลิ่นอายจอมอสูรจากศัตรู มันมีเพียงแค่คนของพระราชวังอสูรโลหิตเท่านั้นที่มีกลิ่นอายแบบนี้ และจะได้รับกลิ่นอายเหล่านี้ได้ก็จะมาจากคนเดียวเท่านั้นนั่นก็คือผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรโลหิต