ตอนที่ 1860 ตัวตนของเชียงเก่อ

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1860 ตัวตนของเชียงเก่อ

ถึงเจิ้งหยางจะไม่อยากทำอะไร แต่ก็รู้นิสัยของศิษย์น้องดี เว่ยหรูเหยียนไม่ได้โหดเหี้ยมดุร้ายถึงขนาดที่จะปล่อยให้เชียงเก่อสังหารซูเฟยเฟยจริงๆ แต่เธอจะเข้าขวางก็ต่อเมื่อถึงวินาทีสุดท้ายเท่านั้น

แม้เขาจะหมดความหลงใหลในตัวสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจทนเห็นเธอทุกข์ทรมานต่อหน้าต่อตาได้

การเข้ามาของเจิ้งหยางเหมือนแสงสว่างแห่งความหวังเสี้ยวสุดท้ายของซูเฟยเฟย เธอรีบคว้าความหวังนั้นไว้ขณะร่ำร้อง “เจิ้งหยาง ช่วยชีวิตฉันด้วย!”

“ไม่ต้องห่วง!”

ด้วยการโบกมือ พลังงานที่เชียงเก่อใช้ร้อยรัดซูเฟยเฟยไว้ก็สลายไปในพริบตา

“คุณเป็นใคร?” เชียงเก่อตั้งคำถามพร้อมกับหรี่ตา

เขามีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น หากไม่รีบหาใครสักคนมาถ่ายเลือดให้ จะต้องตายแน่

เจ้าหนุ่มนี่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ และเท่าที่เห็น ดูเหมือนจะมีความผูกพันบางอย่างกับซูเฟยเฟยด้วย ทำให้เขาระแวงมาก

“ผมเป็นใครน่ะไม่สำคัญหรอก ผมแค่อยากถามว่าคุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเธอ ถ้าคุณไม่ชอบเธอ ทำไมถึงไปไหนต่อไหนกับเธอ แถมสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ให้เธอด้วย?” เจิ้งหยางถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับผู้พิพากษาที่กำลังตัดสินความเป็นความตายของอาชญากร

หลังจากได้ผ่านทุกอย่างมา เขาก็ไม่ใช่เจิ้งหยางคนเดิม ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าซูเฟยเฟยคือเศษเสี้ยวของความหลังเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเขา เป็นความฝันอันไร้เดียงสาในวัยเยาว์ เขาคงจะไม่มาที่นี่ตั้งแต่แรก

เชียงเก่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมมีใจให้เธอ ไม่อย่างนั้น ด้วยตัวตนของผม ทำไมผมจะต้องยอมลดตัวลงมาพำนักอยู่ในอาณาจักรไร้ขั้นกระจอกงอกง่อยแบบนี้?”

เขารู้ว่าเจ้าหนุ่มนี่นั่งอยู่กับสาวน้อยที่วางยาเขา และรู้ด้วยว่าไม่อาจมองทะลุวรยุทธของชายหนุ่มได้ อีกอย่าง ข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายเก่งกาจพอจะทำลายพลังปราณของเขาได้ก็บ่งบอกแล้วว่าหมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดา

ทั้งหมดนี้ทำให้เชียงเก่อรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเขาไม่แข็งแกร่งพอจะรับมือกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

“คุณมีใจให้เธอ?” เจิ้งหยางคำราม “ถ้าคุณมีใจให้เธอ แล้วขอให้เธอสละชีวิตเพื่อผลประโยชน์ของคุณได้อย่างไร?”

ถ้าทั้งคู่มีใจให้กันจริงๆ เรื่องนี้ก็จบ อีกอย่าง เขาก็ตัดใจจากซูเฟยเฟยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของเธออีก

แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้กลับเห็นชีวิตของซูเฟยเฟยมีค่าเพียงเพื่อให้เขาอยู่รอด อันที่จริง ในดวงตาของเขาไม่มีแววของความปรานีหรือเสียอกเสียใจเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ทำให้เจิ้งหยางโมโหเดือด

ขุนนางจากจักรวรรดิแห่งหนึ่งเข้ามาที่อาณาจักรไร้ขั้นเพื่อสร้างคฤหาสน์ใหญ่โต ถ้าไม่ใช่เพราะความรัก เขาก็จะต้องมีเรื่องอื่นในใจ

“ผมรักเธอจริงๆ…” เชียงเก่อรีบอธิบาย

“อย่าโกหกผม คุณไม่แข็งแกร่งพอจะทำแบบนั้นหรอก” เจิ้งหยางพูดแทรกขณะดีดนิ้ว

“อ๊ากกกกก!”

เชียงเก่อร้องโหยหวน เขาทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด เหงื่อไหลโชกทั่วตัว

มันเป็นเวลาแค่พริบตาเดียว แต่นั่นก็ทำให้เขารู้แล้วว่าช่องว่างระหว่างตัวเขากับชายหนุ่มคนนี้ไม่อาจเชื่อมถึงกันได้ เพียงแค่อีกฝ่ายใช้ความคิดแวบเดียว ก็คงฆ่าเขาได้แล้ว

“คุณเป็นใคร? เราสองคนเคยมีความขัดแย้งอะไรกันมาก่อนหรือ? ถ้าคุณอยากได้เธอ ผมมอบเธอให้คุณได้เลยนะ!” เชียงเก่อตะโกนก้องขณะชี้นิ้วไปที่ซูเฟยเฟยอย่างคลุ้มคลั่ง

เขาสามารถเสียสละได้แม้แต่คนที่เขารักเมื่อมีชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน นับประสาอะไรกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่ได้มีใจให้

“มอบเธอให้ผม?” เจิ้งหยางมีสีหน้าเย็นชากว่าเดิม “แสดงว่าในสายตาของคุณ เธอไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเครื่องอำนวยความสะดวก คุณเห็นเธอเหมือนเหรียญอันหนึ่งที่คุณจะมอบให้ใครก็ได้ตามแต่ใจคุณต้องการ เพื่อให้ชีวิตของคุณอยู่รอดปลอดภัยใช่ไหม?”

“ผม…” ฟันของเชียงเก่อกระทบกันกึกกักด้วยความหวาดกลัว

ขณะที่กำลังโมโหเดือด เจิ้งหยางปกปิดรังสีของเขาไว้ไม่มิด ทำให้เชียงเก่อรู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับอสูรดุร้าย เพียงแค่ใช้ความคิด อีกฝ่ายก็คงเล่นงานเขาจนยับเยินได้ คงแทบไม่เหลือซากหรือร่องรอยให้เห็น

ก่อนจะเข้ามาผูกสัมพันธ์กับซูเฟยเฟย เขาได้สืบเสาะภูมิหลังของเธอมาแล้ว ในฐานะผู้ที่เกิดและเติบโตในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน ไม่มีทางที่เธอจะไปรู้จักมักคุ้นกับบุคคลที่ทรงอำนาจขนาดนี้!

“เขา…”

ขณะที่เชียงเก่อหวาดกลัวแทบจะขาดใจ ซูเฟยเฟยก็จังงังจนพูดไม่ออก

เมื่อ 1 ปีก่อน เจิ้งหยางคือคนธรรมดาสามัญที่แม้แต่คนอย่างเธอก็สามารถเขี่ยทิ้งและเหยียบย่ำได้ แต่เพียง 1 ปีต่อมา ดูเหมือนสถานภาพของเธอกับเขาจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แม้แต่เชียงเก่อซึ่งเป็นบุคคลที่แม้แต่ฮ่องเต้เสิ่นจุ้ยยังไม่กล้าต่อต้าน ก็ยังหวาดกลัวเจิ้งหยางจนแทบจะขาดใจ…

ตอนนี้เจิ้งหยางทรงพลังขนาดไหน?

เห็นเชียงเก่อใกล้ตายเต็มทีเพราะแรงกดดันของเจิ้งหยาง เว่ยหรูเหยียนเดินเข้ามา เธอยืดหลังบิดขี้เกียจขณะตั้งข้อสังเกตยิ้มๆ “ท่านอาจารย์จะต้องเดือดแน่ถ้าคุณทำอะไรเกินเลย อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน”

ได้!”

ได้ยินคำนั้น เจิ้งหยางถอนรังสีของเขาออก ก่อนจะลดสายตาลงมองเชียงเก่ออีกครั้ง เขาหรี่ตาและพูดว่า “ผมต้องการเฉพาะความจริง เพราะฉะนั้น อย่าบังอาจเล่นเกมกับผม ผู้ที่เพิ่งวางยาคุณน่ะเป็นศิษย์น้องของผมเอง ถ้าผมจับโกหกคุณได้ ผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องให้ศิษย์น้องทำการค้นหาจิตวิญญาณของคุณ!”

“ศิษย์น้อง?”

เชียงเก่อตัวสั่นขณะรีบหันไปมองเว่ยหรูเหยียน เมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ ร่างของเขาแข็งทื่อไปทันที

ถ้าแม้แต่ศิษย์น้องยังทรงพลังขนาดนี้ ศิษย์พี่จะขนาดไหน?

“บอกมา! คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่?” เจิ้งหยางจ้องหน้าเชียงเก่ออย่างเย็นชาขณะปล่อยประกายสีน้ำเงินวาบออกจากปลายหอกของเขา

อันที่จริง ต่อให้ไม่ต้องพึ่งพาการค้นหาจิตวิญญาณ เขาก็มีอีกร้อยแปดวิธีที่จะบีบบังคับอีกฝ่ายให้คายความจริง

เขาคงไม่ได้เป็นหัวหน้าสภายอดขุนพลหากไม่มีวิธีการสอบสวนที่เหมาะสม!

เห็นประกายสีน้ำเงินที่ปลายหอก เชียงเก่อรู้สึกราวกับมีใครสักคนยึดพลังปราณของเขาไว้แล้วทำลายมันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้เขาเจ็บปวดแสนสาหัสไปทั้งตัว

เพียงแค่มองประกายสีน้ำเงินนั้นก็ทำเอาเขาผวาแล้ว เขาจินตนาการไม่ถูกเลยว่าความทุกข์ทรมานที่ได้รับจะรุนแรงขนาดไหนหากสิ่งนั้นทิ่มแทงเข้าสู่ร่างของเขา

เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีทางหนีพ้น เชียงเก่อกัดฟันก่อนจะเริ่มเล่าเรื่อง “ผมคืออวิ๋นเชียง, นักล่าสมบัติ ผมเดินทางตระเวนไปทั่วอาณาจักรไร้ขั้นต่างๆมาหลายปีแล้วเพื่อเสาะหาทรัพย์สมบัติล้ำค่าทุกชนิด สุดท้าย ความพยายามของผมก็นำผมมาที่นี่!”

“นักล่าสมบัติ?”

เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนสบตากันก่อนจะพยักหน้า

พวกเขาเคยได้ยินชื่ออาชีพนี้มาก่อน และตระกูลนักล่าสมบัติที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตระกูลอวิ๋น

เหล่านักล่าสมบัติมีวิธีการอันน่าทึ่งที่จะทำให้พวกเขาระบุตำแหน่งที่ตั้งของทรัพย์สมบัติที่ถูกซ่อนไว้ได้ ทำให้กลายเป็นอาชีพที่มั่งคั่งที่สุดอาชีพหนึ่งในทวีปแห่งปรมาจารย์

“ผมตรวจจับคลื่นความสั่นสะเทือนอย่างน่าทึ่งของพลังงานได้จากสถานที่ที่ซูเฟยเฟยอาศัยอยู่ จึงคิดว่าจะต้องมีของล้ำค่าอันทรงพลังซุกซ่อนอยู่แน่” อวิ๋นเชียงอธิบาย “ความคิดแรกของผมคือซื้อบ้านหลังนั้น แต่ผมก็สลัดมันทิ้งไปเพราะรู้ว่าจะดูน่าสงสัยมากหากคนนอกอย่างผมเข้ามาซื้อบ้าน หลังหนึ่งในอาณาจักรไร้ขั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อีกอย่าง…การล่าสมบัติเป็นกระบวนการระยะยาว จึงเสี่ยงกับการที่พฤติกรรมใดๆที่ผิดปกติของผมจะดึงดูดความสนใจของใครต่อใครและทำให้ผมเกิดปัญหา ดังนั้นผมจึงใช้ซูเฟยเฟยบังหน้าเพื่อดำเนินกิจการของผมต่อไป”

“เมื่อมีความสัมพันธ์ของเราสองคนคอยปกป้องอยู่ ผมก็ซื้อบ้านทุกหลังในบริเวณนี้ได้โดยไม่มีปัญหา จากนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าผมจะทำการค้นหาสมบัติได้อย่างเป็นส่วนตัว ผมจึงตัดสินใจสร้างคฤหาสน์หลังมหึมาขึ้นที่นี่”

อย่างคำพูดที่ว่ากันว่า ‘อันตรายจะเข้าหาผู้ที่โอ้อวดความมั่งคั่งของตัวเอง’ จริงอยู่ว่าความแข็งแกร่งของเชียงเก่อจัดว่าไม่มีใครในอาณาจักรเทียนเซวียนเทียบได้ แต่ข่าวคราวการปรากฏของ ทรัพย์สมบัติล้ำค่าย่อมดึงดูดเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทั้งทวีปให้เข้ามา ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ใช้พละกำลังของทั้งตระกูลก็ไม่น่าจะครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดเป็นของตัวเองได้

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงใช้การแต่งงานเป็นข้ออ้างเพื่อซื้อบ้านทุกหลังในบริเวณนั้น แล้วสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ขึ้นก่อนจะติดตั้งค่ายกลคุ้มกันทุกชนิดไว้ในพื้นที่

ด้วยวิธีนี้ ก็จะไม่มีใครสงสัย

“คุณบอกว่าคุณชอบฉัน…แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก คุณทำลงไปเพื่อจะได้เสาะหาทรัพย์สมบัติที่ซ่อนอยู่ภายใต้บ้านของฉันใช่ไหม?” คำพูดเหล่านั้นทำให้ซูเฟยเฟยหน้าซีดเผือด เธอเข่าอ่อนและทรุดฮวบลงกับพื้น

ในครั้งนั้น เธอถูกหว่านล้อมด้วยคำหวานป้อยอและความมั่งคั่งอย่างมหาศาลของอีกฝ่าย เธอเคยคิดว่าตัวเองใช้เสน่ห์จับเขาไว้ได้อยู่หมัด แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการไม่เคยเป็นตัวเธอ แต่เป็นทรัพย์สมบัติที่ซุกซ่อนภายใต้บ้านที่เธออาศัยอยู่