มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 684
ซิงหลิงตวาดออกมา ดวงดาวเก้าดวงลอยขึ้นมาเหนือศีรษะ สามดวงในนั้นเปล่งประกายสุกใส ลำแสงสีเขา เขียว น้ำเงินย้อยลงมาผสานเข้าสู่ร่างของซิงหลิง

ลำแสงทั้งสามสายนี้ สอดคล้องกับพลังแห่งกฎสามชนิด นั่นก็คือธาตุทอง ธาตุไม้ และธาตุน้ำ!

ในสายตาของคนอื่น ๆ ซิงหลิงเข้าใจเพียงกฎคังจินเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว เขาได้เข้าใจถึงสามกฎ!

ใช่ว่าเขาจะตั้งใจปกปิด ความจริงแล้วนับจากที่ได้เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขานอกจากจะเข้าใจกฎธาตุทองแล้ว ยังเข้าใจกฎธาตุไม้อีกด้วยเล็กน้อย ส่วนกฎธาตุน้ำนั้นเขาพึ่งได้เข้าใจจากการตระหนักรู้ร่องรอยแห่งกฎในตำหนักเต๋านี่เอง

เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงสี่เดือนก็สามารถเข้าใจกฎชนิดที่สามได้ ความน่าหวาดกลัวของพรสวรรค์ของซิงหลิงนั้น เป็นที่ประจักษ์

ครืน!

ภายใต้การหนุนจากพลังแห่งกฎทั้งสามชนิด ร่างของซิงหลิงถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงหลากสีสัน เขาต่อยหมัดออกมา เหมือนดั่งเทพสงครามทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

เสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว ทั่วทั้งพื้นที่สีทองสั่นสะเทือนอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็กลับคืนสู่ความสงบ ซิงหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่พอใจเป้นอย่างมากกับการที่ตนไม่สามารถทำลายพื้นที่สีทองแห่งนี้ได้ในครั้งเดียว เห็นเพียงเขายื่นมือออกมาชี้ ดวงดาวทั้งเก้าลอยออกไป กระแทกลงเหนือพื้นที่สีทอง

ตอนที่ซิงหลิงถูกส่งตัวออกมาจากหอคอยร่างทอง ลำแสงสีทองสองสายก็ได้ตกเข้าสู่ป้ายประจำตัวของเขา ทำให้ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างอุทานออกมาอย่างตกตะลึง

“นายน้อยซิงหลิงผ่านชั้นที่สามของหอคอยร่างทองไปได้หรือนี่?”

“แค่ผ่านมาได้เสียที่ไหนกัน? ยังผ่านมาได้โดยใช้วิธีที่สองอีกด้วยซ้ำ!”

“ทำลายพื้นที่สีทองในชั้นที่สาม อย่างน้อยจะต้องเป็นร่างเนื้อแดนมหายุทธ์ขั้นสูงสุดสินะ?”

สำหรับคำชมเชยจากอัจฉริยะคนอื่น ๆ ทำให้มีรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากของซิงหลิง ขาพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้เป็นอย่างมาก

ในตอนที่เขาเตรียมจะไปจากหอคอยร่างทองเพื่อไปทะลวงชั้นที่สามของหอคอยฝึกตนอื่น ๆ นั่นเอง สายตาของเขาก็เฉียบคมขึ้นมาเล็กน้อย เห็นว่าหลัวซิวกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางหอคอยร่างทอง

“ในช่วงเวลาที่ข้าได้ปิดขังตนเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าหมอนี่ได้ถึงระดับไหนแล้ว?”

สำหรับหลัวซิวผู้นี้ ซิงหลิงให้ความสนใจไม่น้อย แน่นอนว่าความสนใจนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นอีกฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกันกับตนเอง

ในบรรดาคนหนุ่มสาว ผู้ที่ทำให้เขายอมรับได้ มีเพียงหวูหยุน กุ่วโยว ต้าวหวูซินเท่านั้น หลัวซิวผู้นี้ สำหรับซิงหลิงแล้ว เป็นแค่คนที่น่าสนใจคนหนึ่งเท่านั้นเอง

“ยินดีกับศิษย์พี่ที่สามารถผ่านชั้นที่สามของหอคอยร่างทองมาได้” ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวดารา เดินเข้ามาที่ด้านหน้าซิงหลิง

ชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าซิงซ่าย เป็นศิษย์น้องของซิงหลิง ในตอนนี้ก็สามารถผ่านชั้นที่สองของหอคอยเสวียนเทียนและหอคอยเทพจิตมาได้แล้วเรียบร้อย มีเพียงหอคอยร่างทองและหอคอยสุดหล้าที่ยังหยุดอยู่ในชั้นที่หนึ่ง

“ซิงซ่าย ตอนนี้หลัวซิวอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่?” ซิงหลิงเอ่ยถามอย่างสบาย ๆ

“แค่อันดับเก้าเอง” ซิงซ่ายยิ้ม กล่าว: “ศิษย์พี่อยู่อันดับหนึ่งมาโดยตลอด”

“สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ซิงหลิงพยักหน้า เขาไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด กับอันดับของหลัวซิว

เพราะในสิบอันดับนี้ แปดอันดับแรกล้วนถูกครอบครองโดยสี่แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้นมีอัจฉริยะสองคนที่ได้เข้าฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์

และหลัวซิวสามารถอยู่ในสองอันดับที่เหลือได้ รองจากอัจฉริยะของสี่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง ก็นับว่าเป็นยอดอัจฉริยะแล้ว

“เขาผ่านหอคอยร่างทองมาได้กี่ชั้น?”

“ไม่ทราบขอรับ ได้ยินว่าสามเดือนกว่ามานี้ เขาล้วนมาที่หอคอยร่างทอง” ซิงซ่ายกล่าว

ซิงหลิงพยักหน้า และไม่ได้ถามอะไรมากอีก สำหรับการไปทะลวงด่านในอีกสามหอคอยฝึกตนที่เหลือนั้น ไม่จำเป็นต้องรีบ