I บทที่ 938 ที่ ที่ตี้ฉินอยู่

โจวเหวินรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ร่างกายของเขากำลังรับภาระหนักมาก ไม่เพียงแค่แรงกดดันมหาศาลที่กระทำต่อร่างกาย แต่สมองและจิตใจของเขากำลังสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งเลยทีเดียว

ภายใต้การป้องกันของชุดเกราะและร่างกายมังกร แม้แต่เกราะเกร็ดมังกรนั้นยังโดนแรงกดทับจนเริ่มมีรอยแตกปรากฏขึ้นมา

ที่หนักกว่านั้นคือ ตอนนี้ดวงตาของโจวเหวินเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นเหมือนภาพทับซ้อนกันไปมา ตอนนี้เขามองไม่เห็นแล้วว่าปราสาทน้ำแข็งหรือสาวหิมะที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นอยู่ที่ไหน เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นด้วย ถึงแม้ว่าประสาทสัมผัสของเขาจะดีมากแต่ตอนนี้มันใช้ได้แค่อย่างเดียวคือการรับรู้ตัวเองเท่านั้น

โจวเหวินเปิดปากแล้วลองพูดออกไป ปรากฏว่าเขาพูดก็ไม่ได้พูดออกมาก็ไม่มีเสียง เขาเหมือนกับว่าโดนขังอยู่ในมิติแยก ที่ทำให้รู้สึกเหมือนจะแตกสลายเข้าซักวันนึงให้ได้

“หรือว่านางจงใจจะฆ่าฉันกันแน่วะ”โจวเหวินตกใจ

โจวเหวินรีบอัญเชิญสดับวานรออกมาแล้วใช้ความสามารรถของสดับวานรในการกู้คืนความสามารถในการฟังเสียงกลับมา ทำให้ภาพของปราสาทน้ำแข็งกับสาวหิมะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

ปราสาทยังคงเป็นปราสาทและสาวหิมะก็ยังอยู่ที่เดิม ในภาพที่เขาได้ยินเสียงนั้น ทุกอย่างยังดูปรกติดี มีแค่ตัวเขาที่มองหรือพูดอะไรออกไปไม่ได้ ไม่รู้สึกอะไรซักอย่างเลยด้วย

โจวเหวินหลับตาลง ในเมื่อเขาพูดไม่ได้ เขาก็ใช้นิ้ววาดไปบนอากาศแทน “ทำไมถถึงเป็นแบบนี้”

ตอนนี้แค่พยายามให้ร่างกายกลับมาใช้ได้ปรกติก็ยากแล้วซินะ เพราะที่นี้คือโลกต่างมิติที่แท้จริงยังไงละ ความหนาแน่นและความกดดั้นนั้นมันต่างจากที่โลกมากเกินไป “ถ้าไม่ใช่ระดับเร้นลับละก็ นายไม่มีทางได้อยู่บนโลกใบนี้นานแน่ๆ”สาวหิมะตกใจเล็กน้อยที่โจวเหวินยังพยายามเขียนคำมาได้

“ฉันเองก็เคยไปโลกต่างมิติมากก่อน ทำไมมันไม่เหมือนกันละ”โจวเหวินเขียนอีกรอบ ตอนนี้เขาสับสนมากๆ ครั้งสุดท้ายที่เขาไปนั้นคือตอนที่เขาไปเอาผลไม้เทพ เขายังไม่เห็นรู้สึกอะไรแบบนี้เลย

“ถ้างั้นก็เป็นเพราะเจ้าไม่เคยมาโลกต่างมิติที่แท้จริงแล้วละ”สาวหิมะพูด

“มันต่างกันเหรอ ครั้งที่แล้วที่ฉันไปต้นไม้เทพ ที่หวังหมิงหยวนคุ้มกัน ฉันไปเอาผลไม้เทพมา มันเป็นคนละมิติกันเหรอ”โจวเหวินเขียน

สาวหิมะมองโจวเหวินด้วยความตกใจเล็กน้อย “ที่แท้เจ้าก็คือมนุษย์ที่ได้ผลไม้เทพไปนั้นเอง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเป็นแค่ระดับมหากาพย์แท้ๆแต่กลับสามารถหยิบระฆังนภาได้โดยที่ไม่ตาย ดูเหมือนเจ้าจะพูดจริงซินะ ที่เจ้าเป็นลูกศิษย์ของหวังหมิงหยวนจริงๆด้วย ไม่งั้น เขาเองก็คงไม่ทนรับความเจ็บปวดจากสายฟ้าทรมาน เพื่อที่จะปล่อยเจ้าไปหรอก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นโลกต่างมิติเหมือนกัน แต่สวนต้นไม้เทพนั้นสภาพแววดล้อมไม่ได้แย่เท่าที่นี้ ที่นี้แหล่ะถึงเรียกว่าเป็นโลกต่างมิติที่แท้จริง”

“อะไรคือสายฟ้าทรมานเหรอ”โจวเหวินถามทันที

“ไม่รู้งั้นเหรอ”สาวหิมะคิดก่อนจะพูดต่อ “หลังจากที่เจ้าได้รับผลไม้เทพไปแล้ว การที่เจ้าไม่รู้อะไรหลังจากนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี้เนอะ เอาจริงๆแล้ว การที่จะได้ผลไม้เทพไปนั้น มนุษย์ผู้ที่ชนะการประลลอง จะต้องทำสัญญาแล้วกลายไปเป็นตัวแทนของโลกต่างมิติบนโลกมนุษย์ แต่หวังหมิงหยวนไม่ยอมให้เจ้าเซนสัญญา พอเจ้ากลับมาบนโลก เขาเลยโดนทำโทษอย่างหนักหนักจนร่างกายของเขาทนไม่ไหว ในโลกต่างมิติที่แท้จริงนี้ แม้แต่ผู้ที่มีความแกร่งทางจิตใจกล้าหาญยังทนไม่ไหว แต่เจ้ากลับทนได้มากขนาดนี้ การจะบอกว่าเจ้าเป็นศิษย์เอกของหวังหมิงหยวนก็ไม่ได้พูดเกินจริงแล้ว”

“อาจารย์บาดเจ็บหนักเพราะฉันเหรอ เธอช่วยพาฉันไปหาอาจารย์หน่อยได้ไหม”โจวเหวินไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเขาเลยรีบเขียนทันที

เจ้าจะไปตอนนี้มันก็เปล่าประโยชน์แล้ว ตอนนี้เขาคือราชาเทพมังกรแล้ว แม้แต่เทพมังกรรุ่นก่อนหน้านี้ที่เป็นคนทรมารลงโทษเขายังพ่ายแพ้แล้วใครกันละจะมาทรมานเขาได้อีก

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เขาสบายดีแล้ว”สาวหิมะพูด

โจวเหวินเองก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่เขาเองก็ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณของหวังหมิงหยวนยังไงดีเหมือนกัน

“สรุปแล้วเจ้าจะไปหาตี้ฉินหรือไปหาหวังหมิงหยวนกันแน่”สาวหิมะถาม

“ไปหาตี้ฉิน”โจวเหวินกัดฟันพูด

ถึงเขาไปหาหวังหมิงหยวนตอนนี้ เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะตอบแทนอาจารย์ได้ยังไง มีแต่จะไปสร้างปัญหาให้เพิ่มเท่านั้น เขาเลยยังไม่ไปหาอาจารย์ก่อน

“ถ้าเจ้าไหวก็ตามข้ามาเลย”สาวหิมะยิ้มแล้วพูดก่อนจะเดินออกไปนอกปราสาท

แต่ถึงอย่างนั้นโจวเหวินกลับรู้สึกเหมือนกับว่าทุกๆก้าว เขาต้องพยายามสู้กับฟ้าดิน เขาเดินยากมากๆ เดินยังไม่ออกนอกปราสาท เขาก็รู้สึกมึนหัวจะอ้วกขาเริ่มไม่มีแรงจะยืนอยู่แล้ว

“ถ้าเจ้าเป็นแบบนี้ เดิน3วันก็ไม่ถึงหรอก”สาวหิมะพูดแล้วมองโจวเหวินอยู่หน้าประตู

โจวเหวินรู้ดีว่าสาวหิมะนั้นรอเขาของให้นางช่วย เพื่อที่นางจะได้เรียกร้องอะไรเพิ่มขึ้นจากเดิมได้

โจวเหวินกัดฟันแน่น เขาอยากจะอัญเชิญเบม่อนออกมาแต่หลังจากที่ดูดีๆแล้ว เบม่อนนั้นบาดเจ็บหนักจากการโดนบาซิลิสก์โจมตีอย่างแรง บาดแผลนั้นยังไม่หายดีเลยตอนนี้ เขาเกรงว่าเบม่อนเองก็คงจะรับแรงกดดันขนาดนี้ไม่ไหวแน่ๆ

หลังจากลองคิดๆดูแล้ว โจวเหวินก็อัญเชิญมังกรเทียนออกมา เขาอยากจะลองดูว่ามังกรเทียนจะสามารถต้านทานพลังไหวไหมแล้วเขาจะได้ขึ้นขี่มันให้มันพาไปหาตี้ฉิน

หลังจากที่มังกรเทียนปรากฏตัวออกมาแล้ว ถึงแม้ว่าสถานการณ์ของมันจะดีกว่าโจวเหวินมาก แต่การกระทำหลายๆอย่างของมันก็ยังถูกจำกัดไว้ มันเดินได้ช้ามากๆ ไม่มีความว่องไวหลงเหลืออยู่เลย

“มังกรเทียนงั้นเหรอ”สาวหิมะมองมังกรเทียนที่อยู่กับโจวเหวินด้วยความตกใจเล็กน้อย เธอรู้จักมังกรเทียนดี เพราะยังไงมังกรเทียนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ต่างจากตัวอื่นๆ มันมีความสามารถมากพอจะพัฒนาไปเป็นระดับมหันตภัยได้ และมันเป็นสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่หายากมากๆในต่างมิติ นางเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าโจวเหวินจะมีมังกรเทียนเป็นสัตว์อสูร

“หรือว่าโลกนั้นจะเป็นจุดกำเนิดของโลกต่างมิติจริงๆ ไม่งั้น มันคงไม่มีสิ่งมีชีวิตอย่างมังกรเทียนไปเกิดที่นั้นหรอกใช่ไหม”สาวหิมะเริ่มไม่แน่ใจ

โจวเหวินลองบอกให้มังกรเทียนใช้เบิกเนตรราชันต์ มังกรเทียนเบิกเนตรรอบตัว ทำให้การเคลื่อนไหวของมังกรเทียนนั้นทำได้ง่ายขึ้นมาก การเบิกเนตรราชันนั้น ถ้าเกิดไม่ใช้ดวงตากระจกไปด้วย มังกรเทียนก็สามารถอยู่ในร่างนี้ได้นานพอสมควรเลย

โจวเหวินขี่บนหลังของมังกรเทียนแล้วพูดกับสาวหิมะ “ไปกันเถอะ เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว”

สาวหิมะพยักหน้าแล้วนำทางไป เธอเดินง่ายๆ แต่มังกรเทียนนั้นพยายามเต็มที่แล้วแต่ก็ยังทำได้แค่เดินตามอยู่ดี

หลังจากที่ออกมากจากปราสาทหิมะแล้วโจวเหวินก็เห็นบันไดหิน แต่ภายนอกเหนือจากบันไดหินไปนั้น เขาใช้สดับวานรไม่ได้ยินอะไรเลยเหมือนกับว่ามันปกคลุมไปด้วยหมอกหนาแน่นจะดๆ

โจวเหวินตามสาวหิมะเดินทะลุหมอกพวกนั้นไป โจวเหวินได้ยินเสียงน่ากลัวดังออกมาจากหมอกนั้นบางครั้งคราว เสียงพวกนั้นมันแปลกมาก มันเป็นเสียงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

ที่นี้โจวเหวินไม่รู้สึกได้ถึงการไหลของเวลาเลย เขาคาดเดาไมได้เลยสว่าเขาเดินไปกับสาวหิมะนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั้งสาวหิมะหยุดลงที่ปลายของบันไดตรงหน้า และหยุดมองสิ่งก่อสร้างแปลกๆตรงหน้า

“ตี้ฉินอยู่ข้างในนี้ละ เจ้าต้องเข้าไปด้วยตัวเอง พยายามอย่าให้ใครเจอตัวได้ ไม่งั้นเจ้าอาจจะออกมาไม่ได้อีก”สาวหิมะพูดแล้วชี้ไปที่สิ่งก่อสร้างตรงหน้า