ตอนที่ 426 หวาชางสุ่ย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

หวาชางสุยนั่งอยู่ในหอคอยที่สูงที่สุดในวังมังกรทมิฬ

 

 

นางทอดสายตาออกไปด้านนอกหน้าต่าง มองดูพลังของอสนีบาตที่ฟาดกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง

 

 

“องค์ราชินีเพคะ นี่มาจากทิศทางของตำหนักไท่จื่อ” สีหน้าของนางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างกายเปลี่ยนแปลงไปในทันที ขณะก้มลงมากระซิบที่ริมหูของนาง “วันนี้ ที่จริงสมควรจะเป็นวันมงคลที่ไท่จื่อรับอนุ ทำไมถึงได้….”

 

 

หวาชางสุ่ยหรี่ด้วยตาสีน้ำเงินเข้ม นัยตาของนางเป็นประกายแวววาวสะท้อนภาพแสงของ ‘อสนีบาต’ ที่ยังคงฟาดลงมาไม่มีหยุด

 

 

เผ่ามังกรทมิฬมิได้มีเรื่อง ‘น่าตื่นเต้น’ เช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว

 

 

“องค์ราชินีเพคะ ไท่จื่อทรงอยู่ตรงจุดที่อสนีบาตฟาดลงมา หรือจะเป็นเพราะว่าไท่จื่อทรงฝึกฝนการบำเพ็ญจนเกิดผลสำเร็จแล้ว จึงได้ทำให้เกิดอสนีบาตขึ้น…ตอนนั้นที่องค์ราชามังกรทรงบรรลุถึงระดับเดียวกับเทพไท้เบื้องบน ก็มีอสนีบาต เก้าเก้า แปดสิบเอ็ดสายฟาดลงมาเช่นกันนะเพคะ….”

 

 

แววตาของนางกำนัลผู้นั้นดูตื่นเต้นยินดี ตบะของนางมีพลังจำกัด จึงมิอาจมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้้นบนตำหนักไท่จื่อได้อย่างชัดเจน

 

 

จึงเข้าใจไปว่าไท่จื่อทรงทำให้เกิดอสนีบาต

 

 

ในหกภพภูมินี้ยามเมื่อผู้ทรงบำเพ็ญเพียรชั้นสูงทะยานสู่ขอบเขตใหม่ ต่างก็ต้องเผชิญกับด่านวิบากกรรมด้วยกันทั้งนั้น

 

 

อาจเป็นอสนีวิบาก หรือวิบากกรรมในชาติภพ

 

 

เผ่ามังกรก็มิได้นอกเหนือไปจากนั้น

 

 

เพียงแต่จำไม่ได้แล้วว่ากี่ปีมาแล้วที่เผ่ามังกรทมิฬของพวกนางไม่มีผู้ใดผ่านด่านอสนีวิบาก

 

 

วันนี้ในเมื่อมีสายฟ้าฟาดลงมา ย่อมต้องเป็นเรื่องดีอันยิ่งใหญ่!

 

 

นางมองดูสายฟ้าสีดำที่พาดผ่านท่ามกลางกลุ่มระเบิดแสงตรงหน้า ในใจก็ตื่นเต้นยินดีอย่างระงับไว้ไม่อยู่

 

 

ตอนนั้นที่ราชามังกรทรงรับวิบากสายฟ้าฟาดทั้งแปดสิบเอ็ดสายก็มีสายฟ้าสีดำปรากฏอยู่ด้วยเช่นกัน

 

 

“องค์ราชินี….อนุที่รับเข้ามาในวันนี้สมควรเป็นดาวนำโชคของไท่จื่อแล้วเพคะ พอมาถึงก็นำพาอสนีบาตมาด้วยบางทีเมื่อทรงให้กำเนิดทารกออกมา ไท่จื่ออาจจะทรงสามารถสืบทอดพลังของเผ่าทมิฬได้แล้วนะเพคะ”

 

 

หวาชางสุ่ยเหลือบตามองดูนางแวบหนึ่ง ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “หุบปาก”

 

 

ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรของนาง มิว่าการมองเห็นหรือได้ยินล้วนสูงล้ำกว่ามาก

 

 

ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้แต่ก็ยังสามารถมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบ‘อสนีวิบาก’ นั้นได้อย่างชัดเจน

 

 

นั่นมิใช่อสนีวิบากใดๆทั้งสิ้น

 

 

ความสว่างจากระเบิดแสงนั่นนางรู้จักและคุ้นเคยดี นั่นเป็นพลังของเฉินเอ๋อร์และเหล่ามังกรดำใต้บัญชาของเขา

 

 

พลังที่ระเบิดออกมาแต่ละครั้ง ล้วนรุนแรงอย่างที่สุด หญ้าแพรกแหลกลาญ มิว่าสิ่งใดก็ไม่หลงเหลืออยู่อีก

 

 

แต่ว่าพลังเหล่านั้นกลับถูก วิชา‘หอกนั้นคืนสนอง’สะท้อนกลับมาได้?

 

 

นางคิดไม่ถึงว่า วิชาเวทย์ที่สูงส่งเช่นนั้นจะมาปรากฏอยู่ในเผ่ามังกรทมิฬได้?

 

 

ทั้งยังใช้กับบุตรของนาง

 

 

เฉินเอ๋อร์แม้ว่าจะยังไม่ได้รับสืบทอดพลังทมิฬจากพระบิดาของเขา แต่ก็ผ่านการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรมานานหลายปี นับว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว

 

 

ผู้ที่สามารถจะสะท้อนพลังของเขากลับได้ จะต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งจนถึงระดับใดกัน?

 

 

เผ่าหมิง?

 

 

นางไม่กล้าระบุลงไป….

 

 

นางเพียงหรี่ตามองดูเยี่ยเฉินอย่างเรียบเฉยครู่หนึ่ง ไม่ถึงกับตาย ไม่จำเป็นจะต้องกังวลให้มากเกินไป

 

 

“องค์ราชินี…….” นางกำนัลข้างกายประหลาดใจอย่างยิ่ง

 

 

ภายใต้แสงเทียนเกศาขององค์ราชินี้เป็นสีขาวโพลน แสงเทียนที่จับลงบนใบหน้าก็สะท้อนให้เห็นความซีดขาวอย่างคนป่วยไข้ ราวกับคนที่ไม่เคยถูกแสงอาทิตย์มาก่อนเลย ผิวพรรณบอบบาง จนสามารถมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวได้อย่างชัดเจน

 

 

ในทันใดนั้นเอง นัยตาสีน้ำเงินเข้มก็ทอประกายแห่งความโหดเ**้ยมออกมา

 

 

นางกำนัลที่งงงวยไปก็พลันรู้สึกตัวขึ้นมา หรือนั่นจะมิใช่อสนีวิบาก มิเช่นนั้นไยองค์ราชินี้จึงจะมีปฏิกริยาเช่นนี้ได้กัน

 

 

นางติดตามอยู่ข้างกายองค์ราชินีมานานปี ย่อมรู้ชัดเจนกว่าผู้ใด ว่าองค์ราชินีปรารถนาให้ไท่จื่อทรงสืบทอดพลังของเผ่าทมิฬยิ่งกว่าผู้ใด

 

 

ท่าทางเช่นนี้ของพระนางแค่เห็นก็รู้แล้วว่า จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่แล้ว

 

 

นางเก็บสายตากลับมา ก้มศีรษะลงไป เพ่งมองดูประกายแสงที่สว่างจ้าเหล่าแสงกลุ่มนั้น

 

 

คล้ายกับว่า จะได้เห็นเงาร่างที่ดูคุ้นเคยอยู่บ้าง?

 

 

พอหันกลับไปมองดูองค์ราชินีอีกครั้ง เห็นพระนางเอาแต่จับจ้องมองไปที่นั่น

 

 

ทันทีที่สายตาของหวาชางสุ่ยจับจ้องไปยังร่างของตู๋กูซิงหลัน นางก็ชะงักงันไปทั้งร่าง หัวใจกระดอนออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

 

นางที่เดิมทีนั่งอยู่บนตั่ง ก็ผุดลุกขึ้นมาในทันที เดินไปจนถึงริมหน้าต่าง ลำคอที่ยาวระหงของนางตั้งตรง จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน

 

 

สาวน้อยผู้นั้น….มีความคล้ายคลึงกับนางแพศยานั่นอยู่หลายส่วน?!

 

 

หวาชางสุ่ยขมวดคิ้วมุ่น ทันใดนั้น นัยตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยไอสังหาร!

 

 

นางกำนัลเองก็ตระหนกไม่น้อย นางมองตามทิศทางสายตาขององค์ราชินีไป จึงได้เห็นเงาร่างสีแดงเงาหนึ่ง รูปลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นมายิ่งดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

 

 

“สาวน้อยผู้นั้น หรือจะเป็น….อนุคนใหม่ขององค์ไท่จื่อหรือเพคะ?” นางพยายามเอ่ยเตือนองค์ราชินี

 

 

หวาชางสุ่ยนัยตาทอประกาย เป็นอนุคนใหม่ของเฉินเอ๋อร์หรือ?

 

 

เพียงแค่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับนังแพศยานั่นอยู่หลายส่วน…..หรือว่ายังมีความนัยอื่นใดซ่อนอยู่กันแน่?

 

 

เพียงครู่เดียว ฝ่ามือใต้แขนเสื้อก็กำขึ้นเป็นหมัด

 

 

นางจดจ้องไปยังทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันอยู่ ในสมองบังเกิดภาพที่ชั่วชีวิตก็ไม่อาจลืมเลือนไปได้

 

 

แต่ละภาพๆที่ปรากฏขึ้นมาล้วนทิ่มแทงหัวใจจนเจ็บแปลบ แม้แต่เลือดในกายก็ยังจับแข็งไปทั่วทั้งร่าง

 

 

ความทรงจำที่ไม่คิดจะแตะต้อง พลันผุดขึ้นมาอีกครั้ง แทบจะทำให้นางหายใจไม่ออก

 

 

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง นางถึงได้สูดลมหายใจเข้าไปใหม่ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

ผ่านมาก็หลายปีแล้ว นางไม่เคยไปหาเรื่องเดรัจฉานเหล่านั้น…..แต่เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นกลับพาตัวเองมาถึงประตู?

 

 

มิว่าจะใช่หรือไม่….แต่แค่มีใบหน้าเช่นนั้น นางก็สมควรตาย!

 

 

คิดแล้ว นางก็ยื่นมือไปหยิบปิ่นปักผมรูปพัดออกมาจากมวยผมในทันที

 

 

ใจกลางฝ่ามือบังเกิดพลังวิญญาณขุมหนึ่ง พัดในมือของนางเล่มนั่นก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นพัดหยกขนาดใหญ่เกือบครึ่งเมตร

 

 

“องค์ราชินีเพคะ!” นางกำนัลร้องด้วยความตระหนกแทบจะคุกเข่าลงไปบนพื้น

 

 

พัดวายุ นางไม่ได้เห็นองค์ราชินีทรงใช้พัดวายุนี้มานับสิบปีแล้ว! ทำไมอยู่ดีๆถึงได้ทรงนำมันออกมาอย่างกระทันหัน?

 

 

พัดนี้ เพียงโบกออกไปแค่วูบเดียวทั่วทั้งเผ่ามังกรทมิฬคงไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขได้อีกต่อไปแล้ว!

 

 

“ผู้ใดทำให้ท่านขุ่นพระทัยถึงขนาดจะทรงใช้พัดเล่มนี้? ร่ายกายของท่าน….” นางกำนัลเอ่ยด้วยความกังวล แม้ว่าจะหวาดกลัวแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน

 

 

ทันใดนั้น ไต้ฝุ่นหอบหนึ่งก็พัดออกจากหอสูงออกไปอย่างคลุ้มคลั่ง ด้วยพลังที่ยังรุนแรงกว่าระเบิดแสงเหล่านั้นหลายเท่าเสียอีก ทุกที่ที่มันพัดผ่านล้วนระเนระนาด

 

 

ตำหนักหลังหนึ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าถึงกับกลายเป็นซากปรักหักพังลงไปในทันที!

 

 

พายุลูกนั้นพัดจนฝุ่นผงตลบอบอวลมันม้วนหางดิ่งตรงเข้าหาตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียน

 

 

ความรุนแรงของไต้ฝุ่นที่มาถึงอย่างกระทันหันนั้น แม้แต่หมอกดำบนร่างของจีเฉวียนก็ยังถูกพัดจนอ่อนจางลงไป

 

 

พายุที่คลุ้มคลั่งกระชากจนเสื้อผ้าของทั้งสองขาดวิ่น!

 

 

สายลมที่โหมกระหน่ำกรีดลงไปบนผิวหนังบาดลงไปถึงกระดูก แทบจะทำให้ร่างคนต้องแหลกเละ!

 

 

นั่นเป็นพลังวิญญาณและแรงกดดันที่แข็งแกร่งจนไม่อาจต้านทานได้

 

 

แม้แต่เมียเมียก็ยังต้านเอาไว้ไม่อยู่ มันพยายามขยับปีก แต่ปีกกลับถูกสายลมบาดจนขาดวิ่น ราวกับโดนเครื่องบดเนื้อ

 

 

พลังที่แข็งแกร่งขุมหนึ่งบดขยี้ใส่มันราวกับจะทำให้มันต้องแหลกละเอียดเป็นเนื้อบด!

 

 

เมื่อไต้ฝุ่นลูกนี้พัดมาถึง แม้แต่เยี่ยเฉินเองก็ยังต้องตกตะลึงไป

 

 

ถึงแม้ตอนนี้ร่างของเขากำลังเกิดบาดแผลจากระเบิดแสงที่สะท้อนกลับมา แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองกลับไปยังหอสูงแวบหนึ่ง

 

 

คนต่างเผ่าผู้หนึ่งและอนุผู้หนึ่งถึงกับทำให้พระมารดาพิโรธได้ขนาดนี้?

 

 

ประสงค์จะให้พวกเขาถึงกับตายไร้ที่กลบฝัง?

 

 

บาดแผลจากระเบิดแสงลึกถึงกระดูกทั้วร่าง เลือดไหลนองลงไป แต่ปากแผลก็กำลังผสานเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

 

เขาไม่ต้องการให้อนุผู้นั้นตายไปอย่างง่ายๆเช่นนี้

 

 

 

 

…………………………….

 

 

ตอนต่อไป “รอยประทับ บงกชดำทองคำ”