ตอนที่ 826 มโนภาพของชายหนุ่ม

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 826 มโนภาพของชายหนุ่ม

ณ เมืองว่อเฟิง

แม้ว่าเมืองว่อเฟิงจะมีไอร้อนให้สัมผัสอยู่บ้าง แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเมืองจินหลิงก็ถือว่าเย็นสบายกว่ามาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามสุริยาลาลับขอบฟ้า ลมจากแม่น้ำซิ่วสุ่ยจะพัดพาไอร้อนระอุจากไป ทำให้รู้สึกเย็นสบายมากยิ่งนัก

ทว่าช่วงนี้หยุนซีเหยียนรู้สึกมิค่อยสบายใจสักเท่าใดนัก

เขาติดตามติ้งอันป๋อ…อ่า จริงสิ ! ทุกวันนี้ต้องเรียกเขาว่าเซิ่งกั๋วกงแล้ว เขาตัดสินใจร่วมสอบเอินเคอเพราะชื่อเสียงของเซิ่งกั๋วกง หมายความได้ว่าเขาเดินตามรอยเท้าเซิ่งกั๋วกงมาเป็นขุนนางนั่นเอง

แต่คาดมิถึงว่าเซิ่งกั๋วกงมาอยู่ที่ว่อเฟิงเต้าได้เพียงครึ่งปีก็มีเหตุให้ต้องจากไปแล้ว การจากลาครานี้…ดูเหมือนว่าจะมิหวนคืนมาอีก

นับเป็นเวลาครึ่งปีที่อีกฝ่ายไปเปิดศึกใหญ่และคว้าชัยชนะเหนือชาวฮวง !

เซิ่งกั๋วกงได้ครอบครองอาณาเขตแคว้นฮวง เขาทำการเปลี่ยนแคว้นฮวงให้กลายเป็นเขตปกครองตนเองของราชวงศ์อู๋… เขตปกครองตนเองนี้มิได้แตกต่างจากว่อเฟิงเต้าเท่าใดนัก เพียงแต่ว่าเขตปกครองตนเองมีขนาดใหญ่กว่าและมิรู้ว่าเซิ่งกั๋วกงจะบริหารเยี่ยงไร

แต่นึกสงสัยได้มินานก็มีข่าวมาขจัดความสงสัย… ข่าวว่าเซิ่งกั๋วกงได้ใช้นโยบายชาวฮวงบริหารชาวฮวงด้วยกันเอง ข่าวนี้มิเพียงทำให้หยุนซีเหยียนตื่นตกใจเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้แต่หนิงหยู่ชุนเต้าถายคนปัจจุบันของว่อเฟิงเต้าที่ได้ยินข่าวนี้ก็ได้เงียบขรึมไปครึ่งค่อนวัน จากนั้นก็ได้แต่เอ่ยชมว่าสุดยอดจริง ๆ มิขาดปาก !

อาจจะเพราะการจากไปของเซิ่งกั๋วกง จึงทำให้ว่อเฟิงเต้าในทุกวันนี้มิได้เปี่ยมล้นด้วยพลังชีวิตเหมือนปีกลาย

การสร้างถนนหนทางยังคงดำเนินเหมือนที่ผ่านมา

ปีที่แล้วคือปีแห่งการเริ่มก่อสร้างโรงงาน ส่วนปีนี้ได้เข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตอย่างเต็มรูปแบบ

สินค้าต่าง ๆ ถูกผลิตออกมามิขาดสาย เพื่อจะส่งไปขายยังแต่ละแห่งของราชวงศ์หยู

มองดูผิวเผินอาจจะดูเจริญรุ่งเรือง ทว่าหนิงหยู่ชุน หยุนซีเหยียน และคนอื่น ๆ เข้าใจดีว่า มีวิกฤตซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังความรุ่งเรืองนี้… เหล่าผู้ค้าขายจากตระกูลใหญ่อาทิเช่นห้าตระกูลผู้นำทางการค้าแห่งราชวงศ์หยู นอกจากตระกูลหวางซุนแห่งเปี้ยนเหอแล้ว อีกสี่ตระกูลใหญ่ที่เหลือก็ได้ส่งตัวแทนไปยังราชวงศ์อู๋ด้วยกันทั้งสิ้น !

แม้แต่ผู้ค้าขายชาวอี๋ดั้งเดิมแห่งว่อเฟิงเต้าอย่างหอเสียงไท่ ลิ้วฝูจี้ โรงเพียวเซียง และร้านจิ่นซิ่ว พวกเขาล้วนส่งลูกหลานที่พอเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงได้ไปยังราชวงศ์อู๋

จะว่าไปแล้วผู้ค้าขายเหล่านี้จมูกไวมากยิ่งนัก ในอดีตเมื่อทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังเดินทางมายังว่อเฟิงเต้า พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที

พวกเขาอ่านสถานการณ์มิผิดเพราะทุกวันนี้ว่อเฟิงเต้าก็ได้ไต่ขึ้นเป็นมณฑลอันดับที่หนึ่งในบรรดาสิบสี่มณฑลของราชวงศ์หยูภายในระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น !

ว่อเฟิงเต้าแห่งนี้ไร้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ใด ๆ ทั้งสิ้น แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนเพียงคนเดียว !

ใกล้ถึงเวลาที่อีกฝ่ายต้องกลับไปยังราชวงศ์อู๋เต็มที ในไม่ช้าเขาจะต้องขึ้นรับตำแหน่งองค์จักรพรรดิ เมื่อถึงเวลานั้นราชวงศ์อู๋คงจะเปี่ยมไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ

ยกตัวอย่างเช่น ข่าวที่เพิ่งส่งมาถึงสองข่าวนี้ ‘ข่าวแรกคือบัดนี้เซิ่งกั๋วกงกำลังวางแผนก่อตั้งเมืองการค้า 2 แห่ง แห่งแรกคือเมืองการค้าหลานฉีที่เขตปกครองตนเองและแห่งที่สองก็คือเมืองการค้าซินโจว’

ปัจจุบันเมืองทั้งสองแห่งนี้กำลังอยู่ในช่วงก่อสร้าง ทว่าเหล่าผู้ค้าขายได้มีการหารือกันถึงหน้าตาของเมืองการค้าทั้งสองแห่งนี้แล้ว ล้วนคิดว่าเมื่อเมืองก่อสร้างเสร็จก็ควรซื้อร้านไว้สักสองสามแห่ง

สินค้าที่ผลิตในว่อเฟิงเต้าย่อมสามารถส่งไปขายยังเมืองการค้าทั้งสองแห่งได้อยู่แล้ว เซิ่งกั๋วกงย่อมให้การต้อนรับพวกเราอย่างดี

นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น สิ่งใดที่ฟู่เสี่ยวกวนลงมือทำด้วยตนเองย่อมผลิดอกออกผลงดงามอย่างแน่นอน

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มีความเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเมืองการค้าทั้งสองแห่งนี้จะเจริญรุ่งเรือง และยิ่งเชื่อมั่นเสียเหลือเกินว่าจากนี้สืบไปราชวงศ์อู๋จะพัฒนาแบบก้าวกระโดด

ที่แห่งนั้นล้วนเต็มไปด้วยโอกาส !

น่าเสียดายที่เซิ่งกั๋วกงมิได้พาคนที่ตนคัดเลือกเองกับมือให้ติดตามไปด้วยแม้แต่คนเดียว

หยุนซีเหยียนนั่งพึมพำอยู่ในสำนักงานเพียงลำพัง เขาครุ่นคิดอยู่ในใจว่าหากเซิ่งกั๋วกงออกคำสั่งมาเพียงคำเดียว ก็เกรงว่าบรรดานายอำเภอในว่อเฟิงเต้าจะวิ่งโร่ตามเขาไปเป็นแถว

จริงสิ ! บัดนี้พวกของจัวตงหลายยังอาศัยอยู่ในว่อเฟิงเต้ามิใช่หรือ พวกเขาเป็นชาวอู๋ที่ไร้สิทธิ์ไร้เสียงที่นี่ พวกเขาเพียงแค่มาร่ำเรียนวิชาเท่านั้น

เมื่อเซิ่งกั๋วกงจากไป พวกเขาย่อมต้องจากไปเช่นกัน มิได้การ ! ข้าต้องไปหาจัวตงหลายเพราะข้าก็อยากไปอยู่กับเซิ่งกั๋วกงด้วยเช่นกัน !

เมื่อคิดได้ดังนั้น หยุนซีเหยียนก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด

เขาสาวท้าวยาว ๆ ออกไป และบังเอิญได้พบกับจัวตัวหลายที่กำลังกลับมาจากธุระข้างนอกพอดี

จัวตงหลายเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มย่อง ราวกับเพิ่งเก็บทองมาได้อย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าดีใจเรื่องอันใดกัน ? คืนนี้ข้าขอเชิญเจ้าไปร่วมโต๊ะอาหารที่หอซื่อฟาง”

“มีเรื่องน่ายินดีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” จัวตงหลายผงะ

“เรื่องดีกับผีสิ ข้ามีเรื่องกลัดกลุ้มใจจึงอยากดื่มกับพวกเจ้าสักหน่อย”

จากที่คลุกคลีกันมาหนึ่งปี คนหนุ่มทั้งหลายจึงสนิทสนมกันแล้ว จัวตงหลายเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะลั่นขึ้นมา “ได้ได้ได้ วันนี้ควรดื่มฉลองใหญ่ ! ”

หยุนซีเหยียนเบิกตาโพลง “ฉลองเรื่องใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ฮึ ๆ …” จัวตงหลายโน้มศีรษะเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ก็กองทัพของราชวงศ์อู๋เข้าประชิดเมืองหลวงของแคว้นอี๋และได้ทำการเปลี่ยนจักรพรรดิสำเร็จแล้วน่ะสิ ! ”

หยุนซีเหยียนอ้าปากเหวอ “ช้าก่อน ! แคว้นของพวกเขาเปลี่ยนจักรพรรดิแล้วเจ้าจะดีใจเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ราชวงศ์อู๋ของเจ้ามิได้ยึดครองแคว้นอี๋มาสักหน่อย”

จัวตงหลายทุบกำปั้นไปที่อกของหยุนซีเหยียน แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้ามิรู้อันใดเลยสินะ นี่เป็นแผนการขององค์ชาย ! จักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็คือองค์ชายหกที่เคยร่วมงานแข่งวรรณกรรมในอดีต อีกทั้งยังเคยเสียแขนข้างหนึ่งให้กับองค์ชายอีกด้วย”

“ก่อนที่เขาจะขึ้นครองบัลลังก์ก็ได้ติดตามกองทัพของราชวงศ์อู๋ไปยังเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนเพื่อเข้าเฝ้าองค์ชาย จากนั้นเขาก็ได้รับสถานะโอรสสวรรค์ ที่นี้เข้าใจแล้วหรือยัง ? ”

พวกเขาล้วนเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดหลักแหลม หยุนซีเหยียนจึงเข้าใจได้ในทันที

นี่คือองค์จักรพรรดิที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งตั้งขึ้นมา !

แม้ดูภายนอกอาจจะมิได้ยึดครองแคว้นอี๋ ทว่าในความเป็นจริง…แคว้นอี๋ถูกนำมาวางไว้ในกำมือเขาแล้วต่างหาก !

เจ้าหมอนี่เล่นใหญ่เสียจริง !

เยี่ยงนี้ห้าแคว้นใหญ่ในปฐพีก็จะเหลือเพียงราชวงศ์หยูและแคว้นฝานที่ยังมิถูกเขาจัดการ

ราชวงศ์อู๋ได้ขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อีกทั้งยังมีโอรสสวรรค์ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด ย่อมหมายความว่าเขากำลังคิดการใหญ่ !

“ไปไปไป พวกเราไปดื่มสุรากันตอนนี้เลย ! ”

หยุนซีเหยียนรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ เพราะการได้เคียงข้างจักรพรรดิเยี่ยงนี้ย่อมมีอนาคตที่ดีกว่า

……

……

หอซื่อฟางสาขาเมืองว่อเฟิง

คนหนุ่มกลุ่มหนึ่งได้นั่งเบียดเสียดกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร ซึ่งมีอาหารและสุราวางไว้จนแน่นขนัด

จางเมิ้งเจ๋อเอ่ยอย่างร่าเริงว่า “ความสามารถเยี่ยงองค์ชาย พวกข้ามิสามารถทัดเทียมได้อย่างแท้จริง เมื่อหวนนึกถึงงานชุมนุมวรรณกรรมเมื่อปีกลาย ข้าก็รู้สึกละอายใจมากยิ่งนัก ! ”

“หยุนซีเหยียน เจ้าคงมิเชื่อว่าพวกเราทั้งสิบล้วนเคยเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมแล้วทั้งสิ้น ครานั้นงานจัดขึ้นบนภูเขาหานซาน พวกข้าหลงคิดว่าตนเองจะสามารถเอาชนะองค์ชายได้ แต่คาดมิถึงว่าพวกข้าจะพ่ายแพ้ยับเยินในการแข่งทั้งสามด่าน ! ”

จางเมิ้งเจ๋อส่ายศีรษะไปมาพร้อมถอนหายใจยาว “ตอนนั้นพวกข้ามิยอมจำนน เอาแต่คิดว่าต่อให้พ่ายแพ้เขาเรื่องงานประพันธ์ทว่าเรื่องการนำทัพและบริหารบ้านเมืองฟู่เสี่ยวกวนย่อมเป็นรองพวกข้า แล้วผลเป็นเยี่ยงไรเล่า ? ”

“น่าละอาย… ช่างน่าละอายแก่ใจเสียเหลือเกิน พวกข้ามิอาจเทียบเคียงองค์ชายได้แม้แต่เสี้ยวเดียวเลยด้วยซ้ำ ! ”

หยุนซีเหยียนเปิดขวดสุรา จากนั้นก็รินให้แต่ละคน ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้ารู้สึกว่าไร้ปัญญาจะแข่งกับเขาใช่หรือไม่ ? ”

“เลือกใช้คำได้ดี ! หากมองจากแผนการล่อเสือออกจากถ้ำ กองทัพดาบเทวะ 60,000 นายทำศึกยุทธนาวีที่แม่น้ำเซียว ทั้งยังขจัดกองทัพ 500,000 นายของชาวฮวงจนราบ การบุกโจมตีฮวงถิงอย่างทันพลันโดยกองพลอิสระดาบเทวะทั้งแปดพันนายจนสามารถจับตัวจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวงเอาไว้ได้… หากพวกเรามิได้มีชีวิตอยู่ในสมัยนี้แล้วได้อ่านเรื่องนี้จากตำราประวัติศาสตร์ก็ยากที่จะเชื่อได้ลง ! ”

“สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือปล่อยให้ชาวฮวงปกครองชาวฮวงด้วยกันเอง คนทั่วไปสามารถคิดวิธีนี้ได้เยี่ยงนั้นหรือ ? นี่เป็นความเชื่อมั่นขององค์ชาย ! หากไร้จิตใจที่กว้างขวาง จะมีสติปัญญาที่หลักแหลมแบบนี้ได้เยี่ยงไรกัน ! ”

คนหนุ่มชาวอู๋ทั้งสิบสนทนาโอ้อวดชนิดมิมีใครยอมใคร

“มา มา มา มาดื่มกัน…”

บรรยากาศพลันคึกคักขึ้นมาทันใด ท่ามกลางบรรยากาศของการสังสรรค์ร่ำสุรา ยิ่งดื่มมากเท่าใด แต่ละคนก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้นเท่านั้น

หยุนซีเหยียนจึงฉกฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังเมามายเอ่ยถามอย่างลื่นไหลว่า “คุณชายจัว เจ้าเตรียมเดินทางกลับราชวงศ์อู๋เมื่อใดกัน ? ”

“อาจจะเป็นปลายปีนี้ ตอนนั้นองค์ชายคงกลับราชวงศ์อู๋แล้วเช่นกัน”

“อ่า…เยี่ยงนั้นเมื่อถึงเวลาก็พาข้าไปด้วยเถิด”

“เจ้าจะไปทำอันใดที่ราชวงศ์อู๋กัน ? ”

“ข้าอยากไปร่วมรบทั่วหล้ากับองค์ชายของเจ้าเยี่ยงไรเล่า ! ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…ย่อมได้ ! ”