บทที่ 29.1 ความแปรปรวน (ต้น)
เมื่อพระอาทิตย์ปรากฏบนขอบฟ้าและจูเซียนเหยาตื่นขึ้น นางก็พบว่าซูเฉินไม่ได้อยู่ข้างกายของนางอีกแล้ว
นางลุกขึ้นจากเตียงและอาบน้ำ และพบเข้ากับซูเฉินที่พึ่งจะกลับมาพอดี
เขาแต่งตัวเหมือนกับว่าพึ่งจะออกไปเที่ยวเล่นมา แต่ในมือของเขาถือกระเป๋าหนังเคลือบน้ำมันใบหนึ่ง
เมื่อเขาเห็นจูเซียนเหยา ซูเฉินก็เอ่ยขึ้น “เจ้าตื่นเร็วกว่าที่ข้าคิด แต่โชคดีที่ข้ายังกลับมาทัน นี่สำหรับเจ้า”
เขายื่นกระเป๋าหนังเคลือบน้ำมันในมือให้กับจูเซียนเหยา
จูเซียนเหยาเปิดมันออกและตรวจสอบดูข้างในกระเป๋าแล้วก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ “ขนมปังพันชั้นและขนมไข่จากตรอกม้าล้มหรือ เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าชอบกินสิ่งเหล่านี้ ?”
“ข้าก็ถามพวกคนอื่น ๆ เอานั่นแหละ ไม่งั้นจะมีปากไว้ทำไมล่ะ” ซูเฉินหัวเราะ
สีหน้าของจูเซียนเหยาแย่ลงเล็กน้อย “ตรอกม้าล้มอยู่ในการควบคุมของตระกูลหรง… เจ้าไปที่นั่นมาอีกแล้วหรือ ?”
จูเซียนเหยาดูจะไม่มีความสุขเอาเสียเลย แต่คำพูดของนางก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและเอาใจใส่
“โอ้ ข้าแค่บังเอิญผ่านไปเท่านั้นแหละ” ซูเฉินตอบอย่างไม่แยแส
“ผ่านไปงั้นหรือ ?” จูเซียนเหยาตกตะลึง “งั้นเจ้าไปที่ไหนมากัน”
“ก็ต้องไปที่ตระกูลหรงอยู่แล้วสิ” ซูเฉินตอบตามตรง
“ว่าไงนะ !” จูเซียนเหยาประหลาดใจจนนิ่งงันไป
นี่เขาบ้าไปแล้วหรือไง ?
นางถามออกไปตามความคิดทันที “แล้วเจ้าไปทำอะไรที่ตระกูลหรงกัน ?”
“ข้าไปสืบมาว่าทำไมพวกเขาถึงมาหาเรื่องพวกเจ้า”
ซูเฉินเดินเข้ามาและโอบกอดจูเซียนเหยาไว้ “เจ้าก็รู้ว่าข้ามีวิชาแปลงกาย ข้าถึงแอบเข้าไปได้”
จูเซียนเหยากลืนน้ำลายอึกใหญ่ “แต่เจ้ายังไม่สามารถเอาชนะด่านผลาญจิตวิญญาณได้นะ”
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ไปถึงยังด่านผลาญจิตวิญญาณและเปิดตำหนักเซียนภายในร่างกายของตนได้ พลังจิตของพวกเขาจะพลุ่งพล่านและจิตสัมผัสก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ตราบใดที่พวกเขามีทักษะการตรวจจับ แม้แต่เศษขนแกะก็ยังไม่สามารถรอดพ้นไปจากสายตาได้…. อย่างไรแล้วมนุษย์ก็ไม่ได้หลอกลวงง่ายเหมือนกับเผ่าคนเถื่อน
“ข้าถึงไปตั้งแต่เช้าก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้น นั่นเป็นช่วงที่หยินและหยางกำลังสลับตำแหน่งกัน ปรมาจารย์ด่านผลาญจิตวิญญาณจะต้องฝึกหยินและหยางของพวกเขา ในขณะที่ปรมาจารย์ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินต้องเปิดรับตำหนักสวรรค์ พวกเขาจึงต้องฝึกตนในช่วงเวลานี้และไม่สามารถสนใจสิ่งอื่นได้” ซูเฉินหัวเราะอีกครั้ง
“แต่มันก็ยังอันตรายอยู่ดีนั่นแหละ!” จูเซียนเหยาพูดขณะที่กำหมัดแน่นด้วยความกระวนกระวาย
นี่คือข้อแตกต่างระหว่างมุมมองของจูเซียนเหยาและซูเฉิน สำหรับจูเซียนเหยานั้น การแทรกซึมเข้าไปในตระกูลหรงเสี่ยงยิ่งกว่าสิ่งใด และซูเฉินอาจตายได้หากผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียว แต่สำหรับซูเฉินการเสี่ยงอันตรายเช่นนี้นั้นเป็นเรื่องธรรมดา เขาได้ฝ่าฟันประสบการณ์บ้าระห่ำมาแล้วมากมาย ตระกูลหรงจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขาเลย
แต่ข้อเท็จจริงก็คือตระกูลหรงนั้นแข็งแกร่งพอที่จะทำลายซูเฉิน 5 คนพร้อมกันได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
หลายต่อหลายคนคงจะประมาณการพลังเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและอันตรายหลังจากที่ได้รับผลประโยชน์อย่างงดงามซึ่งจะตามมาด้วยสถานการณ์ที่มีความกดดันสูง ข้อดีของแนวคิดนี้คือคนคนนั้นจะตื่นตระหนกน้อยลงในสถานการณ์กดดันเช่นนี้ แต่ข้อเสียก็คือพวกเขาจะเริ่มดูถูกความเสี่ยงจากการกระทำเหล่านั้นไป นี่เป็นเส้นทางที่คนส่วนมากมักจะเลือกและจบลงที่การขับเรือเข้าไปในช่องแคบหรือทำผิดพลาดอย่างมหันต์นั่นเอง
แต่มันก็เป็นแนวคิดที่จำเป็นจะต้องมี ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่สำเร็จได้อย่างไร ?
แม้ว่าข้าจะคว่ำเรือของข้าเสีย เจ้าก็ยังไม่ใช่ช่องแคบซะทีเดียว และข้าก็รังเกียจเจ้าด้วย
แต่ซูเฉินก็รู้สึกชอบพอใจที่จูเซียนเหยาเป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับเขา
เขาคว้ามือของจูเซียนเหยามากุมไว้ “ศิลาจันทร์ใกล้จะขุดออกมาหมดแล้ว”
จูเซียนเหยาต้องการจะพูดบางอย่างต่อ แต่คำพูดของซูเฉินได้ลบล้างทุกอย่างที่กำลังนึกคิดอยู่ไปจนหมดสิ้น “อะไรนะ !”
ซูเฉินตอบกลับไป “เหมืองศิลาจันทร์ของตระกูลหรงใกล้จะหมดลงแล้ว พวกเขาต้องหาเหมืองใหม่โดยเร็ว ไม่งั้นการจะรักษาตระกูลไว้คงจะเป็นไปได้ยาก”
จูเซียนเหยาพูดขึ้น “แต่ยังไม่มีสายแร่ธาตุใดถูกค้นพบใหม่เร็ว ๆ นี้เลย”
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาต้องพยายามกอบโกยพวกมันมาด้วยกำลัง ในเมื่อพวกเขาจะต้องสู้กับพวกเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และสายเลือดของพวกเจ้าก็กำลังแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจึงไม่ยอมเสียเวลาอีก”
“แต่เจ้าบอกว่าพวกเขาก็ยังรอดได้ด้วยการอพยพไปที่อื่น และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเปิดสงครามใหญ่ไม่ใช่หรือ ?”
“ดูเหมือนว่าการวิเคราะห์ของข้าจะผิด” ซูเฉินถอนหายใจ
จูเซียนเหยาปิดปากของนางและขำออกมาเมื่อนางเห็นซูเฉินถอนหายใจเช่นนั้น
นางมีความสุขที่ได้เห็นซูเฉินแบบนี้ สำหรับหญิงสาวผู้เคยถูกบังคับควบคุม นางจึงชอบใจเมื่อเห็นผู้ชายหน้าบึ้งตึงและถอนหายใจเป็นพิเศษ แม้กระทั่งชายที่นางรักก็ตาม
ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะความประทับใจที่ซูเฉินทิ้งไว้ให้นางก่อนลาจากกันนั้นลึกซึ้งเกินไป ด้วยเมื่อใดก็ตามที่นางพบเห็นซูเฉินทำหน้าบูดบึ้งเช่นนี้ นางก็จะรู้สึกถึงชัยชนะอย่างแปลกประหลาด
“ยัยบ๊องเอ๊ย” ซูเฉินหยิกแก้มสองข้างของนาง “ถ้าเจ้าไม่กิน อาหารจะเย็นเสียก่อนนะ”
จูเซียนเหยานั่งลงอย่างมีความสุขและเริ่มกิน
“แล้วตระกูลหรงควรจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอดนี่ ? เจ้าไปรู้เรื่องนี้มาได้ยังไง”
ซูเฉินตอบ “ข้าแฝงตัวเป็นหนึ่งในนักบัญชีของตระกูลหรงและอ่านบันทึกล่าสุดของพวกเขา”
“อ่านบันทึกบัญชีในตอนเช้างั้นหรือ ?!” จูเซียนเหยาตกใจ
“ข้าอ่านเร็วน่ะ” ซูเฉินหัวเราะร่วน
พลังจิตของเขานั้นมากกว่า 2,000 หน่วย และเขามีผลึกวิญญาณอยู่ในครอบครองด้วย ทำให้พลังในการอ่านและรวบรวมข้อมูลของเขานั้นเหนือมนุษย์มนา
“มีอะไรอยู่ในนั้นอีกบ้าง ?” จูเซียนเหยาถาม
ซูเฉินตอบกลับ “พวกเขาได้ส่งคำเชิญให้กับตระกูลเฉียน”
ท่าทางของจูเซียนเหยาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “กวางพิสุทธิ์ตระกูลเฉียนน่ะหรือ ?”
เช่นเดียวกับตระกูลจูและตระกูลหรง กวางพิสุทธิ์ตระกูลเฉียนก็ครอบครองสายเลือดจักรพรรดิอสูร พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองอวิ้นหนานและความเก่งกาจก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลจูเลยแม้แต่น้อย
หากตระกูลเฉียนร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูลหรงเพื่อจัดการกับตระกูลจูเมื่อไร ตระกูลจูคงจะพังไม่เป็นท่า นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่พวกเขายังไม่ได้บุกเข้าโจมตีอย่างเต็มกำลัง
พวกเขากำลังรอให้ตระกูลเฉียนมาถึง !