ภาค 6 ยันฟ้าด้วยมือเดียว บทที่ 577 กระบองไม้ไผ่สู้อาวุธศักดิ์สิทธิ์

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

หยางจ่านหัวพิจารณาเยี่ยนจ้าวเกอตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก ทว่าทุกคนในเขากว่างเฉิงที่อยู่รอบๆ ต่างรู้สึกได้ว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก

เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย ถามหวงซวี่ว่า “เขาคือเยี่ยนจ้าวเกอถูกต้องหรือไม่?”

หวงซวี่พยักหน้า “ไม่ผิด เขาคือเยี่ยนจ้าวเกอ ตามเหตุผลแล้วหากพลังไม่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ย่อมถูกดูดเข้าไปในข่ายอาคมทะเลตะวันออกแล้วเสียชีวิตจึงจะถูก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะปรากฏตัวที่นี่”

“รอดอยู่ก็ดี คนที่ต้องการหาก็คือเขา” หยางจ่านหัวพูดเรียบๆ “เด็กน้อยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าไม่ฆ่าเจ้า แต่จะขอตบปากของเจ้าเสียก่อน”

พูดจบ หยางจ่านหัวไม่สนใจคนในเขากว่างเฉิงอีก ฟาดฝ่ามือใส่เยี่ยนจ้าวเกอทันที

เยี่ยนจ้าวเกอเพียงรู้สึกว่าฟ้าดินเบื้องหน้าพลันกลายเป็นขาวโพลน ไม่เห็นทัศนียภาพอย่างอื่นอีก

หลังจากพลังฝึกปรือของเขาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ได้เจอสถานการณ์ที่แทบจะสูญเสียความสามารถในการรับรู้เช่นนี้มานานแล้ว

แค่เพียงกระบวนท่านี้ก็ทำให้ทราบแล้วว่า ความแข็งแกร่งของหยางจ่านหัว คนธรรมดาไม่อาจเทียบเคียงได้

‘กระบวนท่าในอดีตของสำนักประกายกาฬ…อืม หรือว่าผู้สนับสนุนบนโลกซ้อนโลกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะเป็นสำนักแสงสว่าง ที่มีแหล่งกำเนิดเดียวกันกับสำนักความมืด แต่กลับเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน?’

เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในใจ แม้ภูเขาพังทลายลงแต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่อยู่ด้านข้างก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แสงสว่างสีน้ำเงินสว่างขึ้นเบื้องหน้า กลายเป็นเกราะอ่อน เป็นลักษณะในตอนแรกของเกราะเหมันต์ทระนง

ทะเลน้ำแข็งอันยิ่งใหญ่ขยายออก แล้วซัดขึ้นซัดลง ก่อนจะมีมังกรน้ำแข็งแหวกทะเลออกมา

นกเผิงที่ดุร้ายลอยขึ้นมาจากทะเลน้ำแข็ง ม้วนพลังมหาศาลไร้ขอบเขตและฝูงมังกรในทะเลน้ำแข็ง เข้าปะทะกับแสงสว่างไร้ประมาณใจกลางฝ่ามือของหยางจ่านหัว

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันหนึ่งกระบวนท่า นกเผิงแตกสลาย แสงสว่างถูกทำลาย

หยางจ่านหัวเลิกคิ้วขึ้น “นี่คือความมั่นใจของเจ้าหรือ? เจ้ารอดมาจากผนึกที่ทะเลตะวันออกได้เพราะได้คนผู้นี้มาช่วยหรือ?”

ผู่เจี๋ยมองร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกด้วยความประหลาดใจ “ใต้เท้ามีพลังฝึกปรือไม่อ่อนแอ ในโลกเบื้องล่างนี้มีคนแบบท่านอยู่น้อยยิ่ง”

ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง เมื่อมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ สามารถสู้กับยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสองได้

กระนั้นหยางจ่านหัวก็เป็นศิษย์สายตรงของสำนักแสงสว่างที่เลื่อนเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ มีพลังฝึกปรือล้ำเลิศกว่าจอมยุทธ์ระดับเดียวกัน มาตรว่าจะใช้แค่มือเปล่า แต่ก็มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่กี่คนเท่านั้นที่สู้กับเขาโดยใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นต่ำได้

หวงซวี่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ พวกจางคุนและเหอหนิงแห่งเขากว่างเฉิงรู้สึกตื่นตระหนก

การโจมตีสำนักเมื่อครู่ของหยางจ่านหัว ถึงแม้จะเป็นแค่การทดลอง ทว่ากลับทำให้จอมยุทธ์ในโลกแปดพิภพรู้สึกหนักใจ

สำหรับพวกเขาแล้ว ต่อให้เจ้าเมืองทะเลมรกตซ่งอู๋เลี่ยงจะมีกระบี่สัตยาทะเลมรกตอยู่ในมือ ก็เกรงว่าจะไม่อาจต้านทานหยางจ่านหัวที่มาจากโลกซ้อนโลกได้

“น่าเสียดาย แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น” หลังจากหยางจ่านหัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สีหน้าก็สงบนิ่งดุจเดิม

แสงสีทองเจิดจ้าลอยขึ้นเหนือศีรษะของเขา เป็นมงกุฎสีทององค์หนึ่ง

แสงสว่างไร้สิ้นสุดครอบคลุมสี่ด้าน เหมือนกับดวงอาทิตย์สว่างไสว

คนในเขากว่างเฉิงรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอันยิ่งใหญ่จากด้านในตัวมงกุฎ จิตใจพลันตกไปอยู่ก้นเหว ‘อาวุธศักดิ์สิทธิ์!’

มงกุฎสีทองเสริมพลัง สภาวะพลังของหยางจ่านหัวพลันเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง กดอัดร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกและเกราะเหมันต์ทระนง

ฟู่เอินซูที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยนจ้าวนิ่วหน้า “ไม่ใช่แค่พลังฝึกปรือส่วนตัวสูงส่งเท่านั้น…”

บนใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ปรากฏความประหลาดใจ “เหมือนกับคนที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ยากจะ ‘ลง’ มาจากโลกซ้อนโลก ต่อให้ลงมาพลังก็จะถูกจำกัดไว้ที่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางก็ ‘ลง’ มาไม่ได้เช่นกัน แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นต่ำกลับทำได้”

เขามองหยางจ่านหัว ยิ้มขึ้นโดยพลัน “น่าเสียดายที่ไร้ประโยชน์ ข้าบอกท่านไม่มีคุณสมบัติมากพอ ท่านไม่ยอมรับ เช่นข้าจะทำให้ท่านได้รู้ว่าเหตุใดท่านถึงไม่มีคุณสมบัติมากพอ”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เสียงคำรามของฝูงมังกรก็ดังขึ้น วังแสงสว่างวังหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหน้าร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกอย่างฉับพลัน ขวางทางหยางจ่านหัวและอาวุธศักดิ์สิทธิ์มงกุฎตะวันฟ้าสาง

ประตูวังเปิดออก หยางจ่านหัวรู้สึกได้ถึงปราณมังกรที่เหมือนกับท้องทะเลด้านใน เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย ‘เหตุใดที่นี่ถึงได้มีเผ่ามังกรมากมายเพียงนี้?’

แสงสว่างหลายสายพุ่งออกมาจากวังฝูงมังกร ครอบคลุมหยางจ่านหัว สะกดเขาและมงกุฎตะวันฟ้าสางไว้ชั่วคราว

หยางจ่านหัวส่งเสียงคำราม ปล่อยประกายแสงออกมารอบตัว คิดฝ่าอาณาเขตการครอบคลุมของแสงสว่างวังฝูงมังกร

พลังของเขาแข็งแกร่งจริงๆ พุ่งซ้ายป่ายขวา วังฝูงมังกรที่อยู่ด้านบนสั่นไหวไม่หยุด เหมือนกับจะพลิกคว่ำได้ตลอดเวลา

เยี่ยนจ้าวเกอมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กำลังทำความเข้าใจกับจิตพลังวรยุทธ์ของอีกฝ่ายในใจ

สีหน้าของผู่เจี๋ยเคร่งขรึมขึ้น

ถึงหยางจ่านหัวจะใกล้สลัดหลุดได้แล้ว แต่ภาพตรงหน้านี้ยังทำให้ใบหน้าของเขากลายเป็นถมึงทึง

ขณะที่คนในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และเขากว่างเฉิงที่อยู่รอบๆ มองอยู่ ผู่เจี๋ยส่ายหน้าเล็กน้อย ก้าวไปด้านหน้า ทั้งยังเผยความสามารถออกมา คมกริบเหลือประมาณ

ถึงแม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่แข็งกร้าวเหมือนกับหยางจ่านหัว แต่ว่าความรู้สึกที่ผู่เจี๋ยมอบให้ผู้คนกลับดุดันยิ่งกว่า

กระบี่ข้างเอวของเขาออกจากฝัก กลายเป็นแสงสีมรกตสายหนึ่ง เป้าหมายก็คือเยี่ยนจ้าวเกอ

ผู่เจี๋ยไม่ได้ช่วยหยางจ่านหัว เพราะอีกฝ่ายอาจจะไม่รับการช่วยเหลือ แต่เขาไม่ลังเลในการจัดการเยี่ยนจ้าวเกอแม้แต่น้อย

กระนั้นร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกยังเร็วกว่าความเร็วกระบี่ของเขา ขวางอยู่ด้านหน้าผู่เจี๋ยพร้อมกับเสื้อเกราะเหมันต์ทระนง

‘น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้กระบี่ได้รับความเสียหาย ทิ้งไว้ที่โลกซ้อนโลกเพื่อบำรุงรักษา’ ผู่เจี๋ยขมวดคิ้ว ทว่าพลังของเขาก็แข็งแกร่งถึงขีดสุด ไม่ด้อยกว่าหยางจ่านหัวแม้แต่น้อย อาวุธวิญญาณชั้นสูงอยู่ในมือ กลับแสดงพลังที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดออกมาได้ ประกายกระบี่ปรากฏ ก่อนจะครอบคลุมร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกไว้ด้านใน

ขณะที่ประมือด้วยความใจเย็น ผู่เจี๋ยก็ค่อยๆ พบความผิดปกติ

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกตรงหน้านิ่งเงียบ ไม่ส่งเสียง ถึงแม้ว่าจะแสดงวรยุทธ์และพลังฝึกปรือได้อย่างน่าตื่นตระหนก ทั้งยังหมดจด แต่กลับมีเพียงความรู้สึกแข็งทื่อ

ทันทีผู่เจี๋ยสังเกตเห็น ในห้วงสมองพลันปรากฏความคิดหนึ่ง ‘…ไม่น่าใช่กระมัง?’

ในตอนนี้ คนที่มองดูอยู่รอบๆ ไม่ว่าจะเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หรือเขากว่างเฉิงล้วนรู้สึกตกตะลึง

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสองที่มาจากโลกซ้อนโลก กลับไม่อาจจัดการเยี่ยนจ้าวเกอได้ทันที ยากจะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกเหนือความคาดหมาย

‘วังนั่นเป็นของวิเศษอะไร? จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเหตุใดถึงได้ช่วยเยี่ยนจ้าวเกอ? อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นเหมือนกับเกราะเหมันต์ทระนงของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งในตำนาน แต่ว่าคนผู้นี้กลับไม่ใช่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง นี่มันอะไรกันแน่…’

ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ เจ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หวงซวี่ยามนี้สาวเท้ากลางอากาศ เดินไปหาเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยเรียบๆ “เจ้าเลือกเวลาได้เก่งนัก”

หวงซวี่เอ่ย “เจ้ากลับเลือกเวลาได้แย่นัก หากข้าเป็นเจ้าข้าจะไม่ปรากฏตัว”

ผู่เจี๋ยไม่ได้เสียเปรียบ หยางจ่านหัวถึงแม้จะถูกขังไว้ ทว่าใกล้จะเป็นอิสระแล้ว พวกเขายังคงมีความมั่นใจว่าจะชนะ เขากว่างเฉิงมองไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์แม้แต่น้อย

ฉวยโอกาสนี้จัดการเยี่ยนจ้าวเกอ สร้างความดีความชอบ ไม่ทำให้สำนักแสงสว่างจากโลกซ้อนโลกดูถูกสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป

หวงซวี่คิดคำนวณเป็นอย่างดี ปัญหาอยู่ที่เขามีปัญญาจัดการเยี่ยนจ้าวเกอหรือไม่

กลุ่มแสงสีดำกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นในมือของหวงซวี่ เขาชูมันขึ้นสูง ท้องฟ้าพลันสั่นสะเทือน

อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของเขาไร้พรมแดน ขวานจามสวรรค์!

หวงซวี่จามขวานลงใส่ศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ อากาศพลันปรากฏรอยแตก

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้น ไม่เพียงไม่หลบหลีก กลับแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง

แสงสีม่วงสว่างวาบในมือของเขา กระบองไม้ไผ่สีเขียวท่อนหนึ่งโผล่ขึ้นในมือ

กระบองไผ่แบ่งเป็นห้าปล้อง ยาวห้าคืบ

มันไม่มีปราณวิญญาณแม้แต่น้อย ทั้งไม่ปรากฏความอัศจรรย์ใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนกับท่อนไม้ไผ่ทั่วไป

แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับยกไม้ไผ่ขึ้นฟาดใส่หน้าหวงซวี่!

ไม้ไผ่สีเขียวขี้ม้าปะทะกับขวานจามสวรรค์

ผลลัพธ์ถึงกับทำให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขวานจามสวรรค์สั่นไหว!

หวงซวี่รู้สึกงงงัน อาวุธศักดิ์สิทธิ์ถูกไม้ไผ่ห้าคืบฟาดจนสั่นหรือ?

ขวานจามสวรรค์หยุดนิ่งกลางอากาศ การเคลื่อนไหวของเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่หยุดลง ฟาดใส่หวงซวี่เป็นครั้งที่สองทันที

หวงซวี่ตกใจ ร่างกายเปล่งแสงระยิบระยับ เสื้อคลุมส่องสว่าง ดาวอาทิตย์สีทองอร่ามเก้าดวงบนเสื้อคลุมลอยขึ้นมาพร้อมกัน

“ตูม!”

เสียงทุบดังขึ้น ดวงอาทิตย์เก้าดวงพุ่งลงด้านล่างพร้อมกัน

อาวุธวิญญาณชั้นสูงถูกเยี่ยนจ้าวเกอทำลายในการฟาดเพียงครั้งเดียว!

หวงซวี่อ้าปากตาค้าง!

“เขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะสู้กันต่ออย่างไรเป็นเรื่องของแปดพิภพ” เยี่ยนจ้าวเกอแค่นเสียง “ตอนนี้เจ้าให้คนนอกเข้ามาพลิกโต๊ะ ไม่คิดจะทำตามกฎเดิมแล้วใช่หรือไม่?”

“เช่นนั้นก็ได้ หาคนมาได้ก็ถือเป็นความสามารถอย่างนึง ทุกคนอาศัยความสามารถของตัวเอง เจ้าพลิกโต๊ะ เช่นนั้นข้าจะเผาโต๊ะ เจ้ากับคนที่เจ้ามาพาก็อย่าคิดหนีแล้วกัน”