ตอนที่ 1267 คำเชิญ โดย Ink Stone_Fantasy

‘ยาเวทมนตร์’ ที่ว่านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นยาเม็ดเท่านั้นถึงจะได้ผล เธอไม่เคยบอกขุนนางพวกนั้นเลยว่าตัวเธอสามารถใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปในวัตถุทุกๆ อย่างได้ การกลืนยาเม็ดเล็กๆ เข้าไปนั้นทำให้สะดวกต่อการควบคุมปริมาณการใช้ยา แต่นั่นมันก็ทำให้พวกเขามองข้ามจุดที่สำคัญอย่างมากไป

ในงานเลี้ยงส่วนตัวครั้งนั้น ไทเลนได้ในพลังเข้าไปในอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด มีแต่ในการเลี้ยงที่น่าขันแบบนี้ การป้องกันของขุนนางที่มีต่อเธอก็จะลดลง

และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องนี้ ในตอนที่ความสุขถูกสะสมจนมากไปถึงระดับหนึ่ง มันก็สามารถทำให้คนตายได้ไม่ต่างจากความรู้สึกเจ็บปวด ในตอนที่เหล่าผู้ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงรู้สึกได้ถึงความสุขที่มาอย่างกะทันหันมันก็สายไปเสียแล้ว พวกเขาพากันเอามือกุมหน้าอกแล้วลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้น ต่อให้เป็นคนที่กินอาหารเข้าไปไม่เยอะก็มือเท้าอ่อนแรง สีหน้าดูเคลิบเคลิ้มเหมือนกับกำลังดื่มด่ำกับความสุขอย่างมากอยู่

ทาสผู้หญิงที่อยู่ในห้องตกใจหนีไปทันที ส่วนยามที่เฝ้าอยู่ก็ห้ามไม่ทัน ไทเลนกับโมโม่เองก็ฉวยโอกาสนี้หนีออกมาด้วย

หลังจากนั้นพวกเธอก็ระเหเร่ร่อนอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ

จนกระทั่งได้ยินข่าวการอพยพครั้งใหญ่ไปเกรย์คาสเซิล พวกเธอทั้งสองคนถึงได้ตัดสินใจที่จะเสี่ยงดวงดู

“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง…” เวนดี้ยื่นมือออกไปโอบพวกเธอมาไว้ในอ้อมอก “ที่ผ่านมาพวกเจ้าคงต้องลำบากมากสินะ? ข้าขอรับรองว่าต่อไปจะไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นอีก”

“ท่าน…ไม่รังเกียจพวกข้าเหรอ?” ไทเลนกัดริมฝีปาก

“ทำไมถึงต้องรังเกียจ? เพราะอดีตแย่ๆ ที่ผ่านมาเหรอ?” เวนดี้ถามเสียงอ่อนโยน “ถ้าจะพูดแบบนี้ ข้าเองก็เคยเกือบจะถูกศาสนจักรทำให้เป็นแบบนี้้เหมือนกัน ดังนั้นข้าถึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปซ้ำเติมคนที่เคยต้องทุกทรมานแบบนี้”

“แต่พลังของพวกข้า…มีแต่จะนำความโชคร้ายมาให้ท่าน” ไทเลนกำหมัดของตัวเอง

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะบอกได้”

“แต่ว่า หลังจากที่ได้ลิ้มลองความสุขนั่น ท่านก็จะไม่มีวันลืมเด็ดขาด ความต้องการของท่านมีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากโหยหาแต่ความสุขนั่น…ถ้าหากอยู่ที่นี่ ข้ากลัวว่า….”

“กลัวฝ่าบาทจะควบคุมไม่ได้หรือไม่ก็มองพวกเจ้าเป็นความชั่วร้ายเหรอ?” เวนดี้พูดปลอบ “สบายใจได้ ฝ่าบาทของพวกข้า…จะว่ายังไงดีล่ะ ถึงแม้จะไม่ค่อยเหมือนราชา แต่พระองค์ก็ทรงเป็นคนดีที่ไม่เหมือนคนดีทั่วๆ ไปแน่นอน”

ไทเลนงุนงง “คนดีที่ไม่เหมือน…คนดีทั่วๆ ไป?” เธอเพิ่งจะเคยได้ว่าสามารถใช้คำแบบนี้มานิยามราชวงศ์ได้ด้วย

“ความหมายของข้าก็คือ เจ้าไม่มีทางที่จะคาดเดาความคิดของพระองค์ได้เลย แล้วก็ไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์ธรรมดามาวิเคราะห์การกระทำของพระองค์ด้วย ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นความกังวลหรือความหวาดกลัวใดๆ ก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์ ความเชื่อมั่นต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ” จู่ๆ เสียงของเวนดี้ก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม “พี่น้องสมาคมแม่มดเองก็ได้รับการช่วยเหลือแบบนี้เหมือนกัน”

หลังนิ่งเงียบไปครู่ เธอถึงมองไปทางโมโม่ “เออใช่ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าความสามารถของ ‘พวกเรา’ หรือว่าโมโม่เองก็….”

ครั้งนี้ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปนาน สุดท้ายก็เป็นโมโม่ที่เป็นฝ่ายพูดออกมา “เจ้านายคนก่อนหน้านี้ไม่อย่างให้ข้าใช้พลัง เขาก็เลยควักเอาดวงตาที่เปลี่ยนสภาพหลังจากที่ข้าตื่นรู้ออกไป”

เวนดี้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ตั้งแต่แรกแล้ว บนใบหน้าของโมโม่มีผ้าเก่าๆ  ชิ้นหนึ่งคาดปิดตรงดวงตาเอาไว้ เดิมเธอนึกว่ามันเป็นบาดแผลที่ถูกเหล็กร้อนๆ มานาบหรือว่าถูกสลักตัวหนังสือเอาไว้อย่างนั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะร้ายแรงกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก

อีกฝ่ายพูดจบก็ค่อยๆ แกะเอาผ้าออก ก่อนจะเผยให้เห็นเบ้าตาที่ถูกควักเอาลูกตาออกไปจนว่างเปล่า

“แต่พวกเขาไม่รู้ว่าการทำแบบนี้แค่ทำให้ข้าสูญเสียความสามารถในการมองเห็นไปครึ่งหนึ่งเท่านั้น มีแต่โซ่หินอาญาสิทธิ์เท่านั้นถึงจะหยุดความสามารถของข้าเอาไว้ได้จริงๆ”

เวนดี้ถอนหายใจออกมา แม่มดที่ทำให้พลังเวทมนตร์หลอมรวมเข้ากับร่างกายได้อย่างสมบูรณ์จะถูกเรียกว่าอมนุษย์ แต่สถานการณ์ของโมโม่แบบนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับอมนุษย์ มีความเป็นไปได้สูงว่าความสามารถของเธอบังเอิญไปแสดงผลบน ‘ประสาทการมองเห็น’ จนทำให้ดวงตาได้รับผลกระทบไปด้วย

“ตอนแรกขุนนางพวกนั้นไม่ได้สนใจความสามารถของโมโม่ จนกระทั่งเกิดเรื่องบางเรื่องขึ้น พวกเขาถึงได้บอกให้เจ้านายควักเอาลูกตาของเธอออกมา” ไทเลนพูดเสียงเบาๆ “พวกเขาบอกโมโม่เป็นบุตรของนรก แล้วก็ลงโทษทรมานเธอทุกทางจนเธอเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด”

เวนดี้ลูบเบ้าตาที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผลของเธออย่างเมตตา “เจ้ามองเห็นอะไรกันแน่ บอกข้าได้ไหม?”

โมโม่ก้มหน้า “….ตัวเลข”

“อะไรนะ?”

“ตัวเลขนับถอยหลังที่บอกถึงช่วงเวลาที่เหลือสุดท้าย”

เวนดี้ตกตะลึงอยู่ครู่ก่อนจะคิดตามได้ทัน เธออดสูดปากขึ้นมาด้วยความตกใจไม่ได้

“หรือที่ไทเลนบอกว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นมันจะหมายถึง….”

โมโม่พยักหน้า “มันกลายเป็นจริง ขุนนางคนหนึ่งที่มีเลขหนึ่งอยู่บนหัวตายลงในปีถัดไป”

เวนดี้เงียบไปทันที

เธอเหมือนจะรู้แล้วว่าทำไมขุนนางพวกนั้นถึงลงมือโหดเหี้ยมแบบนี้ การมาบอกว่าตัวเองเหลือชีวิตอยู่เท่าไรแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงยากที่จะยอมรับได้ โดยเฉพาะในตอนที่ตัวเลขนั้นเหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่ปี แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อยากจะรู้คำตอบด้วยพลังแบบนี้เหมือนกัน”

“แต่ว่า…เรื่องแบบนี้มันทำได้จริงๆ เหรอ?” เวนดี้ครุ่นคิดอยู่ครู่ “เพราะว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดมันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา”

ทั้งสองคนตกตะลึงไปเล็กน้อย

“ทำไมเหรอ ข้าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?”

“เปล่า…” ไทเลนรีบโบกมือ “ข้าแค่รู้สึกว่า…ท่าทีของท่านไม่เหมือนกับคนอื่นเลย ท่านเป็นคนแรกที่ถามถึงรายละเอียดของพลัง”

“โอ้? อย่างนั้นพวกเจ้าคิดเอาไว้ว่าข้าจะทำยังไง?”

ไทเลนตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ผลักโมโม่ออกไป แล้วถามว่านางได้ใช้พลังหรือเปล่า จากนั้นก็ไล่พวกเราออกไปนอกปราสาท ยิ่งไกลยิ่งดี”

เวนดี้หลุดหัวเราะออกมา “ความสามารถมันไม่มีดีหรือไม่ดี สิ่งสำคัญมันอยู่ที่คนที่ใช่มัน ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเข้าใจพลังละเอียดเท่าไร ต่อไปมันก็จะยิ่งง่ายต่อการใช้งาน”

“ท่านคิดว่า…พลังของข้ามีประโยชน์เหรอ?” โมโม่พูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

“ก็ไม่แน่ แต่ฝ่าบาทเคยตรัสกับข้าว่าความสามารถของแม่มดทุกคนมักจะมีวิธีใช้งานของมันอยู่ ตอนนี้ไม่มีไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่มี”

โมโม่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาว่า “ความสามารถอันนี้ไม่สามารถคาดการเรื่องที่ไม่คาดคิดได้ ข้าเคยบอกเห็นสัตว์ที่กำลังจะถูกเชือด แต่ตัวเลขบนหัวของมันยังเหลืออีกตั้งหลายปี แต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไร?” เวนดี้ถาม

“ตัวเลขบางตัวมีสีที่ไม่เหมือนกัน…ข้าไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าพวกมันน่าจะมีความแตกต่างกันอยู่”

“ถ้าเจ้ายอมเข้าสโมสรแม่มดล่ะก็ อีกไม่นานเจ้าก็น่าจะได้รู้คำตอบแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่แม่มดที่เข้ามาใหม่ทุกคนต้องทำก็คือเรียนรู้ที่จะควบคุมความสามารถของตัวเอง แล้วก็ทดสอบมันในด้านต่างๆ มีแต่ต้องเข้าใจมันให้ลึกมากพอถึงจะมีโอกาสที่จะทำให้มันพัฒนาไปอีกขั้นได้”

“พัฒ…นา?” ไทเลนไม่เข้าใจ

“ต่อไปเจ้าก็จะเข้าใจเอง การตื่นรู้พลังเวทมนตร์นั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เรื่องที่ต้องเรียนรู้หลังจากนี้ยังมีอีกเยอะ” เวนดี้ผายมือออก “ว่ายังไง พวกเจ้าตัดสินใจได้หรือยัง?”

ไทเลนกับโมโม่สบตากัน

“ถ้าทำแบบนั้นแล้วพวกเราจะได้รับการยอมรับล่ะก็…”

“พวกเรายินดีเข้าสโมสรแม่มด”

พวกเธอยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง เหมือนกับว่ายังหวาดกลัวและไม่แน่ใจ แล้วก็ผสมปนเปไปด้วยความหวัง ก่อนจะค่อยๆ วางมือลงไปบนฝ่ามือของเวนดี้

………………………………………………………..