บทที่ 1389 เกาก้วนพูดมากไปหน่อย

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1389 เกาก้วนพูดมากไปหน่อย Ink Stone_Fantasy

หวงฝู่จวินโหรวบอกว่า “ถามเกี่ยวกับเจ้าและปีศาจโลหิต ข้าเลี่ยงเรื่องหนักเน้นแต่เรื่องเบา เล่าเรื่องความแค้นระหว่างเจ้ากับปีศาจโลหิตไปแล้ว ข้าเล่าข้ามเรื่องที่เกี่ยวกับที่ปราสาทดำเนินนภาช่วยเหลือเจ้า เรื่องบางเรื่องข้าไม่สะดวกจะบอกเจ้า แต่ต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับสิบปราสาทดำเนินให้น้อยลงหน่อย ส่วนสาเหตุว่าถามถึงเจ้ากับปีศาจโลหิตทำไม ข้าเองก็ไม่รู้ชัด ข้าถามคนในบ้านแล้ว แต่คนในบ้านข้าก็ไม่รู้ชัดเหมือนกัน ตำหนักสวรรค์เน้นถามหนึ่งพระคนหนึ่ง ถามว่ารู้มั้ยว่าปีศาจโลหิตอยู่กับพระ”

“พระเหรอ?” เหมียวอี้ถามเหมือนประหลาดใจ “พระอะไร?”

หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน บอกว่าเป็นพระที่รูปหล่อมากคนหนึ่ง ข้าเองก็ไม่รู้ชัด ไม่รู้ว่าตำหนักสวรรค์หมายความว่ายังไง”

เหมียวอี้สงบนิ่งไม่ไหวแล้ว เดิมทีเขาก็สงสัยอยู่แล้วว่าศีลแปดกับปีศาจโลหิตอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ตำหนักสวรรค์มาถามอีกว่าปีศาจโลหิตอยู่กับพระรูปหล่อคนหนึ่งหรือเปล่า มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนว่าจะหมายถึงศีลแปด สิ่งที่ทำให้เขาตกใจสงสัยที่สุดก็คือ ปีศาจโลหิตกับศีลแปดเดิมทีก็เป็นแค่สองคนที่ต่ำต้อยเล็กน้อยสำหรับตำหนักสวรรค์ ทำไมถึงดึงดูดความสนใจของตำหนักสวรรค์ได้ล่ะ?

เขานึกเชื่อมโยงไปถึง ‘พระปีศาจหนานโป’ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เวลาเหมาะเจาะเกินไปจริงๆ ทางไต้ซือศีลเจ็ดเพิ่งจะส่งข่าวเกี่ยวกับพระปีศาจหนานโปมา เขากำลังสงสัยว่าปีศาจโลหิตกับศีลแปดอยู่ด้วยกัน แล้วตำหนักสวรรค์ก็สืบสาวไปถึงตัวของปีศาจโลหิตกับศีลแปดอีก จะไม่ทำให้สงสัยได้อย่างไร

เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วใช้มือทั้งคู่ประคองไหล่หวงฝู่ พร้อมกล่าวอย่างจริงจังว่า “จวินโหรว ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยข้า ปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหนกันแน่?”

หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้ว “ในปีนั้นเป็นเจ้าที่ได้เปรียบ อาศัยตำแหน่งฐานะของเจ้าในตอนนี้ ลูกน้องเจ้าที่สามารถฆ่านางตายได้มีตั้งเยอะ ถ้าอยากจะฆ่านางก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ นางไม่กล้าหาเรื่องเจ้าอีกแล้ว แทบจะหลบเจ้าไม่ทันด้วยซ้ำ ทำไมเจ้ายังคิดเล็กคิดน้อยไม่ยอมปล่อยนางไป?”

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ารับรองว่าจะไม่ทำร้ายนาง ข้าแค่อยากจะรู้ว่านางอยู่ที่ไหน” เหมียวอี้กล่าว

ตอนนี้ถึงคราวที่หวงฝู่จวินโหรวจะเริ่มประหลาดใจสงสัยแล้ว นางส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ปิดบังเจ้านะ ข้าเองก็กำลังตามหาปีศาจโลหิตเหมือนกัน ตำหนักสวรรค์กำลังให้สมาคมวีรชนติดต่อปีศาจโลหิต แต่พวกเราขาดการติดต่อกับปีศาจโลหิตนานเกินไป ติดต่อไม่ได้มาตลอดเลย ยืนยันได้แค่ว่านางยังมีชีวิตอยู่”

เหมียวอี้กลับตกอยู่ในสภาวะครุ่นคิด สงสัยตัวเองจะเดาไม่ผิด ศีลแปด ปีศาจโลหิตทั้งยังมีไต้ซือศีลเจ็ด เป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานที่เดียวกัน อย่าบอกนะว่าพวกเขาเจอสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปแล้วจริงๆ? แล้วทำไมพวกเขาถึงหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปเจอล่ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วรึเปล่า? มีอันตรายอะไรขึ้นแล้วรึเปล่า? หรือว่าตำหนักสวรรค์ก็รู้ข่าวนี้จากที่ไหนมาแล้วเหมือนกัน ก็เลยกำลังตามหาปีศาจโลหิต ไม่อย่างนั้นทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้ล่ะ?

“หนิวโหย่วเต๋อ จู่ๆ ตำหนักสวรรค์ก็ตามหานาง เจ้าเองก็ตามหานาง เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าใช่มั้ย? หรือเจ้ารู้สาเหตุที่ตำหนักสวรรค์ตามหานาง หรือว่าเจ้ากับตำหนักสวรรค์มีเป้าหมายเหมือนกัน?” หวงฝู่จวินโหรวถาม

เหมียวอี้ได้สติกลับมา ส่ายหน้าบอกนางว่า “ไม่ใช่ แค่แค่มีเรื่องจะยืนยันกับปีศาจโลหิตสักหน่อย ไม่เกี่ยวอะไรกับตำหนักสวรรค์ ถ้าเจ้าได้ข่าวที่เกี่ยวข้องกับปีศาจโลหิต ก็ช่วยบอกข้าให้ทันเวลาได้มั้ย?”

หวงฝู่จวินโหรวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าเงียบๆ พอเอ่ยปากพูดอีกครั้งก็เปลี่ยนประเด็นแล้ว “เจ้ากับเฟยหงมีความสุขกันมากเลยใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ตอบอย่างหลอกลวงว่า “อยู่กับเจ้ามีความสุขกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะมีแม่เฒ่าลวี่กดดัน ข้าก็จะไม่รับนางเป็นอนุภรรยาเลย”

หวงฝู่จวินโหรวดันเชื่อคำพูดเหลวไหลแบบนี้ ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น พอได้ยินคำพูดหวานไพเราะก็สมองเบลอ ต่อให้ในใจจะสงสัย แต่ก็กลับยินดีคิดไปในทางนั้น ดังนั้นดวงตางามที่วูบไหวจีงเปลี่ยนเป็นอาลัยรักในทันที จู่ๆ เป็นฝ่ายโผเข้าไปกอดเขาก่อน

เหมียวอี้รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ผลักนางออกแล้วบอกว่า “จวินโหรว ธงพยัคฆ์ดำกำลังจะส่งต่องานให้กำลังพลท้องถิ่น ข้ายังมีงานต้องทำ เกรงว่าจะอยู่กับเจ้าไม่ได้ ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว”

หวงฝู่จวินโหรวโผเข้าสู่อ้อมกอดเขาอีก แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “อยู่เป็นเพื่อนข้าสักคืนก็ไม่ได้เหรอ?”

ยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ กอปรกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจัดว่าคุ้นเคยกันตั้งนานแล้ว นอกจากจะนัวเนียกันอยู่ในถ้ำหนึ่งคืน เหมียวอี้ยังฉวยโอกาสเกลี้ยกล่อมให้นางช่วยตัวเองสืบข่าว หวงฝู่จวินโหรวเองก็ตอบตกลงเช่นกันว่าถ้าได้ข่าวจะติดต่อเขาทันที

จะไม่พูดแบบนี้ก็ไม่ได้ เหมียวอี้กำลังหลอกใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของนาง ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่อยากทำแบบนี้ ตอนแรกตัดสัมพันธ์กับนางอย่างเด็ดเดี่ยวขนาดนั้น ก็เพราะไม่อยากรื้อฟืนความสัมพันธ์กับนางอีก แต่เขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้แล้ว ถ้าไม่ระวังก็อาจจะตกสู่เหวลึกได้ง่ายๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนมากมายเท่าไร เขาไม่อาจมองดูศีลแปดเป็นอะไรไปโดยไม่สนใจได้ สุดท้ายก็ยังต้องเผชิญหน้ากับคำว่า ‘ควบคุมตัวเองไม่ได้’  จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบของหวงฝู่จวินโหรวเพื่อสืบข่าวให้ตัวเอง

วันต่อมาก็แยกจากกัน พอกลับถึงธงพยัคฆ์ดำที่ดาวหกนิ้ว เหมียวอี้ก็เริ่มจัดการเรื่องส่งต่องาน

ท่วาผ่านไปไม่กี่วัน จู่ๆ ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน แขกที่มาสวมหมวกทรงสูงสีดำและผ้าคลุมบ่าสีดำ เกาก้วนทูตขวาตรวจการตำหนักสวรรค์นำลูกน้องสองคนมาปรากฏตัวอยู่นอกค่ายกลป้องกันของสำนักหกนิ้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย

คนส่วนใหญ่ของธงพยัคฆ์ดำไม่รู้จักว่าผู้ที่มาเป็นใคร เหมียวอี้ที่ได้ยินข่าวแล้วออกมาต้อนรับก็ตกใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านี้จึงมาได้ ก่อนจะมาก็ไม่ได้บอกล่วงหน้าเลย เขานำคนไปต้อนรับเข้ามาอย่างหวาดระแวงและเคารพนอบน้อม

พอมาถึงยอดเขา เกาก้วนก็ยืนรับลม กวาดสายตามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วก็เงยหน้ามองธงพยัคฆ์ดำที่ปลิวสะบัดอยู่บนยอดสูง ก่อนจะตามหลังเหมียวอี้เข้าไปในจวนที่พักชั่วคราวของผู้บัญชาการใหญ่

เหยียนซิว หยางชิ่ง และพวกหยางเจาชิงไม่เคยเห็นเกาก้วนมาก่อน แต่พอเห็นเหมียวอี้มีท่าทางระมัดระวังตัว แล้วเห็นสวีถังหรานทำสีหน้าอกสั่นขวัญผวาอีก ก็รู้แล้วว่าผู้ที่มาไม่ใช่คนธรรมดา ส่วนเฟยหงที่เดินออกจากลานบ้านด้านข้างมาดูความเคลื่อนไหว พอเห็นเกาก้วนก็หยุดฝีเท้าทันที แววตาเบิกกว้างใบหน้าซีดเผือด ในดวงตาฉายแววหวาดกลัวราวกับเห็นผี ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย

เกาก้วนที่เดินก้าวยาวเข้ามาเหมือนจะสังเกตเห็น จู่ๆ ก็เอียงหน้ามองไป ใบหน้าเย็นชาสายตาเย็นเยียบ กวาดมองเฟยหงแวบหนึ่ง ทำให้เฟยหงก้มหน้าและถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณ

เกาก้วนเพียงเหลือบมองแวบหเดียว จากนั้นยกมือ ให้ผู้ติดตามทั้งสองหยุดอยู่กับที่

พอเข้ามาถึงหน้าโถงหลัง เหมียวอี้ก็บอกว่า “น้ำชา!”

จากนั้นเกาก้วนก็บอกอีกว่า “ไม่ต้องแล้ว!”

เหมียวอี้ทำได้เพียงโบกมือห้าม แล้วนำเขาเข้าไปในโถงหลัก

พอเงาร่างทั้งสองคนหายเข้าไปในโถงหลัก พวกหยางชิ่งก็เข้ามาใกล้สวีถังหรานที่ทำสีหน้าไม่ปกติทันที แล้วถามเบาๆ ว่า “คนนี้คือใคร?”

สวีถังหรานบอกด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ก็ผู้พิพากษาหน้านิ่งที่ทั้งผีทั้งเทพล้วนรังเกียจนั่นไง เกาก้วนทูตขวาตรวจการตำหนักสวรรค์ที่มีอำนาจในการประหารก่อนแล้วค่อยรายงานความผิดได้ ผู้มีอำนาจที่ตายด้วยน้ำมือเขามีมากมายตั้งเท่าไรก็ไม่รู้”

พวกหยางชิ่งอกสั่นขวัญผวา ย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนี้มานานแล้ว จึงถามว่า “จู่ๆ เขามาทำอะไรที่นี่?”

สวีถังหรานตอบว่า “ไม่รู้สิ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้เพิ่งเจอเขาเป็นครั้งแรก หวังว่าครั้งนี้จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ ไม่อย่างนั้นคนที่โดนเขาเพ่งเล็งก็ไม่มีสักกี่คนหรอกที่มีจุดจบที่ดี”

ยังคงเคยชินกับะรรมเนียมเก่า เกาก้วนที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา พอก้าวเข้ามาในโถงก็สะบัดผ้าคลุมนั่งลงบนตำแหน่งหลักเลย จากนั้นก็จ้องเหมียวอี้ที่ยืนอยู่เบื้องล่าง

เหมียวอี้ถูกเขาจ้องจนรู้สึกอึดอัด กุมหมัดคารวะถามว่า “ไม่ทราบว่าทูตขวาเกาให้เกียรติมาเยือนด้วยตัวเองเพราะมีเรื่องอะไรจะชี้แยะขอรับ?”

“เจ้ารู้จักปีศาจโลหิตใช่มั้ย?” เกาก้วนถาม

เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ ตอบกลับว่า “รู้จักขอรับ ข้าน้อยมีเรื่องขัดแย้งกับนางนิดหน่อย”

“เล่าเรื่องที่มาของความแค้นระหว่างพวกเจ้าสักหน่อยซิ” เกาก้วนกล่าว

พวกเจ้ารู้ผ่านสมาคมวีรชนแล้วไม่ใช่หรอกเหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่เขาจะไม่ตอบก็ไม่ได้ จึงเล่าเรื่องราวความแค้นระหว่างทั้งสองให้ฟังคร่าวๆ

เกาก้วนได้ฟังแล้วถามอีกว่า “ข้างกายปีศาจโลหิตมีพระคนหนึ่ง เป็นพระที่หน้าตาหล่อมาก เจ้ารู้จักมั้ย?”

เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้างุนงงว่า “ตอนที่ปีศาจโลหิตยังติดต่อกับข้าน้อยอยู่ ก็ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด ไม่เคยเห็นว่าข้างกายนางมีพระอะไรนะขอรับ แต่ปีศาจโลหิตคงจะเป็นคนของสมาคมวีรชน ทูตขวาเกาไปถามสมาคมวีรชนน่าจะได้คำตอบชัดเจนกว่า”

“เจ้าต้องรับผิดชอบสิงที่เจ้าพูดวันนี้ เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าข้างกายปีศาจโลหิตมีพระอยู่คนหนึ่ง?” เกาก้วนถาม

“ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ขอรับ” หลังจากเหมียวอี้รับประกันซ้ำๆ ก็กุมหมัดคารวะถามว่า “ไม่ทราบว่าปีศาจโลหิตทำอะไรผิดหรือ ถึงมีค่าพอให้ทูตขวาเกามาถามด้วยตัวเอง”

เกาก้วนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่นานก่อนหน้านี้มีผู้หญิงบ้าคนหนึ่งปรากฏตัวที่น่านฟ้าเถาะติง เป็นปีศาจจิ้งจอกสามหาง นางเอาแต่ตะโกนว่า ‘พระปีศาจหนานโป’ ตอนหลังทำให้ตำหนักสวรรค์แตกตื่นจนต้องพาตัวไป หลังจากรักษานางหายแล้วสอบถาม ถึงได้รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกหนีมาจากดาวเคราะห์ที่ยังไม่รู้จักดวงหนึ่ง…”

ไม่น่าเชื่อว่าเกาก้วนจะเล่าสิ่งที่หูลี่ลี่พูดที่ตำหนักสวรรค์ออกมา เล่าเรื่องสถานที่ผนึก เรื่องที่ศีลแปดกับปีศาจโลหิตบุกเข้าไป รวมทั้งเรื่องที่ปีศาจโลหิตสารภาพกับพระปีศาจหนานโปว่าตัวเองโดนเหมียวอี้โจมตีสาหัส จากนั้นไปพบศีลแปดที่วัดสงบจิต จนกระทั่งพวกหูลี่ลี่หลุดพ้นออกมาได้เพราะได้รับการช่วยเหลือจากศีลแปด เกาก้วนเล่าออกมาหมด

พอได้ยินสิ่งเหลานี้ เหมียวอี้ก็ตะลึงค้าง สงสัยจินม่านจะวินิจฉัยไม่ผิด พระปีศาจนั่นอยากจะได้กายหยาบจริงๆ ด้วย และสุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้รับข้อความนั้นจากไต้ซือศีลเจ็ด คาดว่าไต้ซือศีลเจ็ดคงจะฉวยโอกาสครั้งละหนึ่งพันปีเพื่อส่งข่าวมาให้เขา เพราะไต้ซือศีลเจ็ดรับปากแล้วว่าถ้าเจอศีลแปดแล้วจะบอกเขา สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่นิสัยไม่น่าไว้ใจอย่างศีลแปดจะช่วยชีวิตอาจารย์ตัวเองแล้ว

เกาก้วนจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “บอกเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว เจ้าอาจจะไม่รู้จักพระปีศาจนั่น ถ้าเขาหลุดออกมาได้ ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงจนไม่อยากจะนึกถึง ถ้าเจ้ารู้ที่มาที่ไปของพระนั่นก็พูดออกมา ตำหนักสวรรค์จะตบรางวัลอย่างงาม และไม่แน่ว่าจะเลื่อนขั้นให้เจ้าเป็นแม่ทัพภาคด้วย”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ขอรับ ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับปีศาจโลหิตนั่นเท่าไร ไม่รู้จริงๆ ว่าข้างกายนางมีพระอยู่ด้วยตั้งแต่ตอนไหน”

“ในเมื่อไม่รู้ ก็เก็บเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้ไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องนี้มีข่าวเล็ดรอดออกไปเมื่อไร ตำหนักสวรรค์ก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้!” เกาก้วนลุกขึ้นยืน หลังจากเตือนเสร็จแล้วก็เดินก้าวยาวออกไป เรียกได้ว่ามาแบบปุบปับ เวลาไปก็ไปแบบปุบปับเช่นกัน

เหมียวอี้รีบตามหลังไปส่ง ส่งจนกระทั่งออกนอกค่ายกลป้องกันนอกประตูไป

ขณะมองคล้อยหลังพวกเขาจากไป เหมียวอี้ก็เอามือลูบคางครุ่นคิด ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย รู้สึกว่าวันนี้ทูตขวาเกาค่อนข้างพูดมาก หลังจากพูดเรื่องสถานที่ผนึกจบก็สิ้นเปลืองคำพูดอีกมากมาย ไม่รู้ว่าทำไมเกาก้วนถึงเล่าเรื่องนี้ให้ตนฟังอย่างละเอียดขนาดนี้

แต่เมื่อมองจากบางมุม ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าสิ่งที่เกาก้วนพูดเป็นความจริง เขารู้จักนิสัยของศีลแปดดีเกินไป นั่นเป็นลักษณะการกระทำของศีลแปดจริงๆ และเช่นเดียวกัน การเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนก็เป็นเรื่องที่ไต้ซือศีลเจ็ดสามารถทำได้จริงๆ

เหมียวอี้สงสัยว่าเกาก้วนรู้อะไรบางอย่างแล้วหรือเปล่า แต่กำลังจงใจใช้คำพูดวางกับดัก แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้ารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับศีลแปดจริงๆ เกาก้วนก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้เลย จับไปสอบสวนโดยตรงเลยก็ลดความยุ่งยากไปได้เยอะ

พอเป็นแบบนี้ ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เป็นประโยชน์กับเขา เขากำลังตามหาปีศาจโลหิตเพราอยากรู้สถานการณ์ของศีลแปดอยู่พอดี ผลก็คือพบว่าตำหนักสวรรค์ก็กำลังตามหาปีศาจโลหิตเพื่อจะทำความเข้าใจสถานการณ์ของศีลแปดเช่นกัน ทำให้ช่วงเวลานี้เขากระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข กังวลว่าตำหนักสวรรค์จะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือเปล่า เขาเตรียมตัวที่จะถอยเข้าไปหลบในแดนอเวจีแล้ว ตอนนี้พอเกาก้วนเปิดเผยเรื่องนี้ เขาก็คิดว่าสงสัยจะไม่เป็นอย่างที่ตัวเองกังวล ไม่จำเป็นต้องหนีแล้วเช่นกัน โล่งใจขึ้นบ้างแล้วนิดหน่อย

…………………………