ตอนที่ 1,937 : เจ้าสำเร็จโทษตัวเองเสีย!
“สหาย…เรื่องเสียวหวู่ ข้าต้องขอขมาต่อเจ้าแล้ว…”
เผชิญหน้ากับลมฝุ่นที่บังเกิดจากร่างหนึ่งวูบมาถึง หลี่อันไม่รอให้หยางชงกล่าวคำใดๆ ก็เร่งขอขมาลาโทษออกมาแทนการทักทาย
หยางชง เป็นชายชรามาในชุดธรรมดา เส้นผมขนคิ้วขาวโพลน ร่างสูงยามยืนตระหง่านหลังตรงให้สภาวะปานหอคอยหนึ่ง
เผชิญหน้ากับคำขอโทษจากสหายหลี่อัน หยางชงส่ายหัวไปมาเบาๆ “ข้าเองก็เข้าใจความลำบากใจของเจ้า หากเป็นข้าก็คงต้องเลือกเหมือนเจ้า…เช่นนั้นการตายของเสียวหวู่ข้ามิโทษเจ้า”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันได้รับทราบจากชายชราผู้ดูแลที่คอยติดตามอยู่ข้างกายบุตรชายคนรองของตัวเองมาหมดแล้ว มันจึงเข้าใจการกระทำของหลี่อันได้เป็นอย่างดี วันนั้นไม่อาจช่วยหยางหวู่ได้จริงๆ
หากหลี่อันเกิดแทรกแซงเรื่องราวตอนนั้นขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าผลกระทบที่ตามมาคงใหญ่หลวงนัก
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงและหน้าตาของลัทธิบูชาไฟ มิแคล้วลัทธิบูชาไฟจะต้องลงดาบหลี่อัน!
ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่จะถูกลงโทษสถานหนัก แต่ 8 ใน 10 ส่วนหลี่อันยังคงถูกขับไล่ออกจากลัทธิบูชาไฟ!
เช่นนั้นตัวมันก็รู้ดีว่าตอนนั้นหลี่อันก็จนปัญญาขนาดไหน
“แต่สหายเจ้ามิต้องห่วงไป แค้นของเสียวหวู่ข้าคนนี้จะชำระให้แน่นอน!”
เผชิญหน้ากับวาจาเข้าใจจากสหาย ความรู้สึกผิดในใจของหลี่อันก็ยิ่งมีมากขึ้น ประกายตาเยียบเย็นลงกล่าวคำมั่นออกมาจากใจ
“เจ้าพาข้าไปดูคนที่มันกล้าฆ่าลูกข้าเถอะ”
อย่างไรก็ตาม คล้ายหยางชงจะไม่ได้ยึดถือคำมั่นอะไรของหลี่อันเป็นจริงจังเพียงกล่าวออกมาเสียงเรียบ
“อืม”
หยางชงขอให้พาไปหาต้วนหลิงเทียนแบบนี้ หลี่อันย่อมไม่แปลกใจอะไร มันพาอีกฝ่ายไปทันที
ระหว่างทางหลี่อันพบว่าหยางชงกลายเป็นเงียบขรึมกว่ากาลก่อน ทำให้ใจมันรู้ดี แม้ปากหยางชงจะบอกว่าไม่ถือโทษโกรธมัน แต่ลึกๆลงไปในใจอีกฝ่าย 9 ใน 10 ส่วนเรื่องนี้ก็คงไม่พ้นโทษมันอยู่ดี
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มันเป็นธรรมดาของคนเป็นพ่อ หลี่อันก็เข้าใจและรู้ดีว่าต้องใช้เวลา
“ต้วนหลิงเทียนนั่นมันพึ่งฆ่าว่าที่ศิษย์คนใหม่ที่จะมากราบข้าเป็นอาจารย์ไปเมื่อ 10 วันก่อน…หากมันไม่ตายชาตินี้ข้าคงนอนไม่หลับ!”
ทันใดนั้นหลี่อันพลันกล่าววาจาน้ำเสียงอำมหิต ลูกตายังมองไปเบื้องหน้าอย่างอาฆาต
เหตุผลที่หลี่อันเลือกจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมานอกจากความแค้นที่มีต่อต้วนหลิงเทียนเป็นทุนแล้ว จริงๆมันก็คิดใช้วาจาดังกล่าวทำลายบรรยากาศเงียบๆอันน่าอึดอัดนี้ระหว่างมันกับหยางชง
“หือ เจ้านั่น…มันฆ่าว่าที่ศิษย์ที่จะมากราบเจ้าเป็นอาจารย์ด้วยงั้นหรือ?”
และเป็นที่แน่นอนว่าหลังได้ยินคำนี้ของหลี่อัน หยางชงก็ได้บังเกิดความสนใจขึ้นมาทันที มองถามหลี่อันพร้อมๆกัน
เท่าที่มันรู้มาสายตาของหลี่อันนั้นสูงมาก
ศิษย์ทั้ง 3 ที่กราบอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินทั้งสิ้น
“ใช่!”
หลี่อันพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดถึงเรื่อง ‘กู่ชุน’ ทั้งลูกพี่ลูกน้องอย่าง ‘กู่หลง’ กระทั่งจวบจนถึงเรื่องที่กู่หลงตกตายด้วยน้ำมือของต้วนหลิงเทียน
หลังจากกล่าวจบลูกตาของหลี่อันก็เผยประกายเยียบเย็นเต็มแน่นไปด้วยจิตสังหาร กระทั่งรังสีฆ่าฟันอำมหิตที่แผ่ออกยังพาลให้บรรยากาศโดยรอบเย็นลงทันตา
“ตอนนี้ข้าชักอยากเห็นมันมากขึ้นเสียแล้ว…ว่าเจ้านั่นที่แท้เป็นคนเช่นไรกันแน่ ถึงได้กล้าบาดหมางกับเจ้าที่เป็นถึงอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ถึงขั้นนี้!”
ต้องบอกเลยว่าวาจาเล่าความของหลี่อันนั้น ทำให้สภาพจิตใจของหยางชงหวนกลับมาเป็นปกติไม่น้อย
ปรากฏว่าผู้ที่ตกตายไม่เพียงแต่จะมีลูกชายคนรองของมันเท่านั้น กระทั่งยังมีอัจฉริยะพรสวรรค์รากสีน้ำเงินที่กำลังจะกราบหลี่อันเป็นอาจารย์!
ยามนี้พอมองหน้าหลี่อันอีกครั้ง หยางชงคล้ายมีความ ‘เห็นใจ’ ต่อสหายที่ร่วมชะตากรรมคล้ายคลึงกัน ความไม่พอใจเล็กๆในใจของมันพลันสลายหายไปทันที
“นี่ๆ เจ้าพึ่งออกจากการปิดด่านใช่ได้ยินแล้วหรือยัง ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งฆ่ากู่หลงไปเมื่อ 10 วันก่อน เช้าวันนี้ได้ก่อวีรกรรมครั้งใหม่อีกแล้ว!”
หลี่อันกับหยางชงพึ่งเดินทางมาถึงเขตที่พักเหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬด้วยกันไม่ทันไร พวกมันก็ได้ยินเสียงสนทนาหนึ่งของศิษย์ที่พึ่งรุดมาหาสหายเสียก่อน
ด้วยความที่หลี่อันกับหยางชงนั้นเหินร่างมาบนฟ้าสูง ศิษย์เบื้องล่างจึงไม่ทันพบเห็นการมาของพวกมันทั้งคู่…หาไม่แล้วศิษย์พวกนั้นคงต้องทักทายคารวะพวกมันแล้วแน่
“ต้วนหลิงเทียน?”
ได้ยินชื่อ ‘ต้วนหลิงเทียน’ ในบทสนทนา หลี่อันกับหยางชงพลันหยุดร่างลงทั้งหันมามองสบตากันทันที ก่อนที่ทั้งคู่จะพยักหน้าลงพร้อมกัน เห็นชัดว่าให้รอฟังบทสนทาของศิษย์ด้านล่างก่อน
“เจ้าใช่คิดจะพูดถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนท้าประลองชิงเรือนชั้นรองวันนี้ และเอาชนะศิษย์พี่จางจี้ไปใช่หรือไม่?”
“ใช่เลย! ที่แท้เจ้าก็ได้ยินมาแล้วนี่เอง”
“ยังจะไม่ได้ยินได้อย่างไรเล่า? ตอนนี้ตราบใดที่ยังไม่ตายหรือปิดด่านฝึกตนทั้งออกไปทำภารกิจด้านนอก ยังจะมีผู้ใดไม่ได้ยินเรื่องนี้อีก?”
“จะว่าไปแล้วศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนช่างร้ายกาจชะมัด! กระทั่งจางจี้ก็แพ้พ่าย!”
…
บทสนทนาของศิษย์ทั้งคู่ย่อมดังเข้าหูหลี่อันและหยางชงครบไม่ตกหล่น
เรือนชั้นรอง?
ลูกตาของหยางชงหดหยีลงทันใด!
ถึงแม้มันจะไม่ใช่คนของลัทธิบูชาไฟ แต่เพราะมันเป็นสหายสนิทของหลี่อัน แต่ก่อนจึงเคยได้ยินหลี่อันเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับที่พักของศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬให้ฟังอยู่บ้าง
และเท่าที่มันทราบ เหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่สามารถครองที่พักอย่างเรือนชั้นรองได้ ล้วนแล้วแต่ต้องเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาขั้นต้นขึ้นไปทั้งสิ้น!
“หลี่อันมิใช่เจ้าพูดว่าต้วนหลิงเทียนนั้น เมื่อ 10 วันก่อนยามลงมือ พลังฝีมือของมันอย่างดีก็เทียบได้กับเซียนปฐพีขั้นสูงสุดหรือไร…ไฉนหลังผ่านมาเพียง 10 วัน มันถึงได้มีพลังฝีมือช่วงชิงเรือนชั้นรองของแท่นบูชาเจ้าได้?”
หยางชงขมวดคิ้วมองถามหลี่อันออกมาทันที
และก่อนที่หลี่อันจะทันได้ตอบอะไร หยางชงพลันกล่าวต่อออกมาว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกข้าไว้…เรือนชั้นรองของเหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬของเจ้าเป็นเสมือนสถานที่อันสงวนไว้ให้แต่ศิษย์ที่มีพลังฝีมือขอบเขตเซียนนภาเท่านั้น! เช่นนั้นศิษย์ที่อยู่ในเรือนชั้นรองก็สมควรเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภามิใช่หรือ?”
เสียงหยางชงดังจบคำไปพักหนึ่ง หลี่อันก็ยังไม่ตอบอะไร
ทว่าทันใดนั้นเองหยางชงพลันสังเกตเห็นว่า สีหน้าของสหายพลันเปลี่ยนไปเป็นอึมครึม ลูกตายังหดหยีเผยประกายวูบวาบอันฉายชัดถึงความเหลือเชื่อออกมา
“มีปัญหารึ?”
หยางชงไหนเลยจะไม่พบว่าเรื่องราวมีใดผิดปกติ
“จางจี้ที่พวกมันพูดถึงเป็นศิษย์ส่วนตัวของหนึ่งในอาวุโสเพลิงเงินของแท่นบูชาเต่าทมิฬของพวกเรา มันยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาขั้นต้น ขาดเพียงมิกี่ก้าวก็บรรลุถึงเซียนนภาขั้นกลางแล้ว!”
หลี่อันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เป็นศิษย์ยอดฝีมือขอบเขตเซียนนภาขั้นต้นในแท่นบูชาเต่าทมิฬ? คนเช่นนี้กลับพ่ายแพ้ต้วนหลิงเทียน?”
หยางชงก็เผยความประหวั่นออกมาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามที่น่ากลัวที่สุดยังไม่เกิดขึ้น
“ข้าได้ยินมาว่าในระหว่างการประมือ ศิษย์พี่จางจี้แม้จะใช้ออกด้วยเวทย์พลังจู่โจมขั้นสูงอย่าง ‘หมัดทลายขุนเขาลำน้ำ’ แล้วแท้ๆแต่กระนั้นก็ยังคงพ่ายแพ้!”
พอได้ยินศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬเบื้องล่างกล่าวถึงเรื่องนี้ ลูกตาหลี่อันพลันหดหยีเล็กลงอีกครั้ง ใบหน้าฉายชัดถึงความเหลือเชื่อไม่เข้าใจ
“เป็นไปได้อย่างไร…”
หลี่อันอดไม่ได้ถึงกับต้องพึมพำออกมา
“ศิษย์คนนั้นกระทั่งเชี่ยวชาญเวทย์พลังสายจู่โจมขั้นสูงแล้วแต่ยังพ่ายต้วนหลิงเทียน?”
สีหน้าหยางชงก็เคร่งขรึมลง ปากกล่าวพึมพำว่า “ดูเหมือนว่าการต่อสู้กับกู่หลงเมื่อ 10 วันก่อน ที่แท้ต้วนหลิงเทียนนั่นจักมิได้ลงมือเต็มกำลัง!”
หลังจากนั้นทั้งหลี่อันและหยางชงก็ได้รับทราบเรื่องราวเพิ่มเติมของการต่อสู้ระหว่างจางจี้และต้วนหลิงเทียนเมื่อเช้าวันนี้ทันทีจากปากศิษย์ด้านล่าง ไม่พลาดรายละเอียดใดๆ…
หลังจากนั้นพวกมันทั้งคู่ก็หันมองสบตากัน และได้เห็นถึงแววตาหวั่นกลัวในสายตาของอีกฝ่าย
ต้วนหลิงเทียนคนนั้น ที่จริงแล้วกลับเชี่ยวชาญเวทย์พลังขั้นสูงถึง 3 สายเลยหรือ!?
นอกจากนั้น เวทย์พลังสายสนับสนุนขั้นสูงที่ต้วนหลิงเทียนชำนาญ ในห้วงเวลาคับขันกลับเผยอานุภาพอันน่ากลัว สามารถดูดกลืนพลังโจมตีของจางจี้ทั้งปลดปล่อยออกไปโดยผสานพลังของตัวเอง! สยบจางจี้ได้ในท่าเดียว!!
“เวทย์พลังนั่น…มันเวทย์พลังอันใดกันแน่?”
หลี่อันกับหยางชงหันมองหน้ากันอีกครั้ง ในแววตาทั้งคู่ยามนี้เผยความหวั่นกลัวชัดเจน
ไม่นานพวกมันก็ได้รับทราบจากอีกฝ่ายว่าไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินเวทย์พลังเช่นนี้มาก่อนเลย
“ช่างเป็นเวทย์สนับสนุนที่ยอดเยี่ยมนัก!”
หยางชงกล่าวออกด้วยเสียงเคร่งขรึม
“ช่างครอบงำอะไรเช่นนี้! ต้วนหลิงเทียนคนนี้นับว่าเป็นผู้ที่สวรรค์โปรดปรานยิ่งนัก ไม่เพียงแต่มีโอกาสได้เรียนรู้เวทย์พลังขั้นสูงถึง 3 ชนิดต่างสาย ยังเห็นได้ชัดว่าเวทย์พลังสายสนุนของมันไม่ธรรมดา…มันอาจจะเป็นเวทย์พลังสายสนับสนุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาเวทย์พลังสายสนับสนุนด้วยกัน!”
วาจาท้ายประโยคของหลี่อันยามกล่าวลูกตาของมันยังแดงฉานขึ้นมาด้วยความอิจฉาริษยาเจียนคลั่ง!
…
ณ เขตที่พักของเหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬ
ต้วนหลิงเทียนที่โคจรฟื้นพลังอยู่ใน ‘เรือนชั้นรอง’ ในที่สุดก็ฟื้นฟูพลังได้บางส่วนจนสามารถลุกยืนได้
หลังจากที่ลุกขึ้นยืนได้ เขาก็รีบเข้าไปในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติโดยเร็วที่สุด โดยตั้งใจจะฟื้นฟูพลังเซียนสุริยันให้ได้โดยเร็ว หวังอาศัยห้วงเวลาที่ไหลช้าในเจดีย์กันเหตุเปลี่ยนแปลงด้านนอก
ความรู้สึกร่างกายว่างเปล่าสิ้นไร้พลังทำให้เขารู้สึกไม่มั่นคง และไม่ปลอดภัย
“หลังฟื้นฟูพลังสมบูรณ์แล้ว ปิดด่านบ่มเพาะอีกครั้งเพื่อทะลวงไปยังเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุดก่อนดีกว่า ค่อยคิดว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อ…”
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้ในใจ
สำหรับขอบเขตเซียนปฐพี ต้วนหลิงเทียนยังไม่คิดไกลขนาดนั้น
ตอนนี้เขาหวังเพียงเร่งทะลวงถึงเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญให้ได้โดยเร็วที่สุดก็พอ
“ต้วนหลิงเทียน!”
ต้วนหลิงเทียนที่เข้าไปนั่งฟื้นฟูพลัง แม้ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเท่าใด หากแต่ตอนนี้พลังเซียนสุริยันพึ่งจะฟื้นคืนมาได้ 1 ใน 10 ส่วน ทว่ากลับมีเสียงไม่แยแสดังขึ้นจากฟากฟ้า พาลให้เขาตื่นจากภวังค์ทันที
“หลี่อัน?”
สำหรับเสียงนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ไม่คุ้นเคยแต่อย่างไร เพราะมันเป็นเสียงของ หลี่อัน อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 แห่งแท่นบูชาเต่าทมิฬ
“มันมาทำอะไรที่นี่อีก? อย่าบอกนะว่าจางจี้อะไรนั่นก็มีสัมพันธ์กับมันด้วยอีกคน?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ก่อนที่จะวูบร่างออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
หลังออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว เขาก็เก็บเจดีย์เอาไว้เรียบร้อย ค่อยเปิดประตูก้าวออกจากที่พัก
ทันทีที่ก้าวออกมาจากเรือนชั้นรอง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตามากมายจ้องมองมาที่เขา…ในบรรดาสายตาเหล่านี้มี 2 คนที่มีไอพลังกล้าแข็งกว่าใคร
อีกทั้งสายตาทั้ง 2 คู่ดังกล่าวยังเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่คิดระงับ
“เจ้าเฒ่านั่นใครอีก?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนกวาดมองไปก็พบหลี่อันอย่างที่คิด ส่วนอีกคนที่ยืนข้างๆหลี่อันนั้นเขาจำไม่ได้ว่ามันเป็นใคร…
ไม่แปลกอะไรที่หลี่อันคิดฆ่าเขา
แต่ชายชราคนนี้เขามั่นใจว่าพึ่งเคยเห็นอีกฝ่ายครั้งแรก
ยิ่งไปกว่านั้นชายชราคนดังกล่าวก็ไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบของลัทธิบูชาไฟเช่นกัน เช่นนั้น 9 ใน 10 ส่วนย่อมไม่ใช่คนของลัทธิบูชาไฟ…
ต้วนหลิงเทียนไม่อาจนึกออกได้จริงๆว่าเขาไปมีเรื่องราวกับชายชราคนนี้กันแน่ อีกทั้งยังสมควรร้ายแรงถึงขั้นที่อีกฝ่ายตั้งใจจะฆ่าเขาให้ตายราวกับทนรอไม่ไหวแบบนี้ได้!
“เจ้าน่ะหรือ ต้วนหลิงเทียน?”
ทันใดนั้นชายชราที่ลอยร่างตระหง่านอย่างน่าเกรงขามพลันเปิดปากกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงตั้งคำถาม
“แล้วเจ้าเป็นใคร?”
ต้วนหลิงเทียนไม่ตอบ แต่ย้อนถามชายชรากลับ
“เจ้า…สำเร็จโทษตัวเองเสีย!”
(สำเร็จโทษตัวเองในที่นี้ = ฆ่าตัวตาย)
ภายใต้ทุกสายตาอยากรู้ของผู้คน ชายชราร่างสูงมองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง ค่อยปริปากกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงกล่าวสั่งอย่างเผด็จการ!