หวังเป่าเล่อรวดเร็วมากเสียจนตันโจวจื่อไม่มีเวลาได้ทันตั้งตัว ขณะที่สีหน้าของชายวัยกลางคนถอดสี หมอกหวังเป่าเล่อก็ไหลบ่าเข้าไปในกายของเขาอย่างรวดเร็ว
ความเจ็บปวดรวดร้าวรุนแรงทำเอาตันโจวจื่อส่งเสียงหวีดร้องออกมาด้วยความรวดร้าว ร่างกายเขาสั่นสะท้านเพราะสัมผัสได้ถึงอันตรายรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อเขารู้สึกได้ว่าวิญญาณกำลังสั่นไหว ตันโจวจื่อรู้สึกราวกับว่ามีเปลวไฟกำลังแพร่กระจายไปทั่วร่าง ราวกับจะแผดเผาเขาเสียทั้งเป็นก็ไม่ปาน
ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ตันโจวจื่อรู้ดีว่าเขาจะรอช้าไม่ได้ นัยน์ตาของชายวัยกลางคนแดงก่ำขณะส่งเสียงหวีดร้องออกมาดังลั่น ก่อนที่ศีรษะหนึ่งในสามของเขาจะระเบิด ตันโจวจื่อพยายามใช้พลังจากการระเบิดของศีรษะผลักหมอกออกไปจากร่าง ซึ่งถือว่าได้ผลดีทีเดียว เห็นได้ชัดว่าหมอกที่อยู่ในร่างเริ่มถูกผลักออกไป และส่วนที่อยู่ภายนอกก็ไม่อาจเข้ามาได้
แต่เห็นได้ชัดว่าเท่านี้ยังไม่เพียงพอ ตันโจวจื่อคำรามก่อนจะระเบิดแขนสองข้างจากสี่ข้างที่เหลือทิ้งอีก!
ด้วยพลังการระเบิดของศีรษะและแขนซึ่งกลายเป็นแรงผลักดันมหาศาล ในที่สุดเขาก็สามารถผลักหมอกที่เหลือออกไปจากร่างได้จนหมด
เมื่อหมอกจางลง ตันโจวจื่อก็ซวนเซถอยหลังไปไกล ใบหน้าซีดขาว จุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่นั้นมีหมอกมารวมตัวกัน ก่อนจะคืนร่างกลับเป็นหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
“เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่!” เมื่อได้เห็นภาพที่น่าหวาดหวั่น ตันโจวจื่อก็ถึงกับต้องคำรามออกมาด้วยแววตาที่ตื่นกลัว
ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้สึกกลัวไปได้ ตามจริงแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปะทะกับหวังเป่าเล่อนานนัก แต่เขาก็ต้องเสี่ยงชีวิตทุกครั้งที่เข้าปะทะกัน รูปแบบการต่อสู้ชนิดทุ่มสุดตัวของหวังเป่าเล่อทำเอาชายวัยกลางคนมึนงงไปหมด
และสิ่งที่ทำให้ศีรษะของตันโจวจื่อตื้อตึงไปหมดคือพลังเทพอันแปลกประหลาดของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มพลาดท่าถูกเขาทุบไปเมื่อครู่ แต่จู่ๆ ก็แปรสภาพกลายเป็นหมอกและเกือบจะสังหารเขาได้ ทักษะอันพิสดารทำเอาตันโจวจื่อต้องจริงจังกับการต่อสู้มากขึ้นกว่าเก่า
แต่ตันโจวจื่อก็รู้ดีว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและเต็มไปด้วยสรรพชีวิตนานาชนิด ต่อให้เขาเองเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้น ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตและสายพันธุ์จำนวนมากที่เขาไม่เคยพบมาก่อน ดังนั้นความเข้าใจแรกของตันโจวจื่อในตอนนี้คือ…ศัตรูตรงหน้าเป็นผู้ฝึกตนที่มาจากสิ่งมีชีวิตพิเศษสายพันธุ์หนึ่ง
เป็นเหตุให้ตันโจวจื่อต้องส่งเสียงคำรามออกมาอย่างไม่แน่ใจ ในความเป็นจริงแล้ว การถามคำถามเช่นนั้นออกไปแสดงให้เห็นเจตจำนงของเขาที่ต้องการจะถอย เห็นได้ชัดว่าตันโจวจื่อไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตเพื่อคว้าเอาโอกาสที่ชานหลิงจื่อพูดกรอกหูเอาไว้ก่อนหน้านี้
อันที่จริงเขายังสงสัยอยู่ว่าโอกาสที่ชานหลิงจื่อพูดถึงอาจไม่ได้ดีจริงตามที่กล่าวอ้าง มิเช่นนั้น…ด้วยระดับปราณของศัตรูตรงหน้า หากเจ้านี่ครอบครองคันธนูจักรพิภพจำลองจริง สิ่งที่ต้องทำก็เพียงรั้งสายธนูเต็มแรง และตันโจวจื่อก็คงไม่อาจหลบหนี มีแต่ต้องตายเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าตันโจวจื่อติดกับดักเสียแล้วในคราวนี้ ด้วยเหตุนี้ความต้องการจะหนีในใจเขาจึงเพิ่มมากขึ้นทุกทีๆ แต่เขาก็ยังเจ็บใจอยู่ไม่น้อย เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เสียเวลาไล่ล่าหวังเป่าเล่ออยู่เป็นนาน จึงไม่ต้องการจะกลับไปมือเปล่า ดังนั้นตันโจวจื่อจึงตัดสินใจถามเอาข้อมูลมาบ้างเพื่อตระเตรียมการมาล้างแค้นในอนาคต
ส่วนหวังเป่าเล่อนั้น หลังจากที่ได้ยินคำพูดของตันโจวจื่อก็ฉีกยิ้มออกมา ชายหนุ่มชอบเป็นที่สุดเวลาที่มีใครถามเขาเช่นนั้น ดังนั้นหลังจากที่ร่างของเขาปรากฏชัดขึ้น หวังเป่าเล่อก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะหัวเราะพลางจ้องมองไปยังตันโจวจื่อแล้วกล่าวว่า
“ข้าคือบิดาของเจ้าอย่างไรเล่า!”
ชายหนุ่มพูดด้วยภาษาของสำนักแห่งความมืด ซึ่งเป็นภาษาของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยเช่นกัน ตันโจวจื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจน จึงมีสีหน้าบูดเบี้ยวยิ่งกว่าเก่า หลังจากที่จ้องมองหวังเป่าเล่ออยู่เนิ่นนาน เขาก็พ่นลมหายใจออกมา และเพราะไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ประกายเย็นเยียบจึงแผ่ออกมาจากนัยน์ตา
ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องพยายามอีกครั้ง ข้าจะหนีไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ตันโจวจื่อก็พลิกกายก่อนพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง
หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะพุ่งออกไปเช่นกัน ในพริบตาทั้งคู่ก็เข้าปะทะกันอยู่กลางจักรวาล พลังเทพแปรสภาพส่งเสียงดังสนั่นไปทั่ว ภายในเวลาไม่นาน พวกเขาก็โจมตีใส่กันไปแล้วร่วมร้อยครั้ง
แม้ว่าตันโจวจื่อจะแข็งแกร่งและปล่อยพลังระดับดาวเคราะห์ออกมาแล้วก็ตาม หวังเป่าเล่อก็ยังแปลกประหลาดกว่ามากนัก ร่างกายของชายหนุ่มสลายกลายเป็นหมอกอยู่เป็นระยะ เขาหลบท่าไม้ตายของตันโจวจื่อได้ทั้งหมดแถมยังโจมตีสวนกลับได้ด้วยวิธีนี้ ทำให้ตันโจวจื่อไม่อาจทำอะไรได้นอกจากหลบหลีกอยู่ไปมา
คลื่นพลังที่กระจายออกไปในจักรวาลโดยรอบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เกิดเป็นพายุจักรวาลที่พัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ร่างกายของตันโจวจื่อกระเด็นถอยหลังเพราะระเบิดกำเนิดดวงดาราของหวังเป่าเล่อ แต่ในขณะที่ล่าถอยไปนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นแล้วคำรามออกมา
“ผนึกด้วงทองคำ!” เมื่อตันโจวจื่อคำรามออกมา ด้วงสีทองที่ลอยอยู่ห่างออกไปก็สยายปีกและส่งเสียงร้องแหลมสูง ร่างกายของมันพร่ามัวก่อนพุ่งตรงเข้ามาหาตันโจวจื่อ ขณะที่มันพุ่งเข้ามานั้น รูปลักษณ์ของมันก็เปลี่ยนไป ภายในพริบตาเดียวด้วงก็กลายเป็นผนึกสีทอง ตันโจวจื่อปล่อยพลังปราณออกมาจนกระทั่งเส้นเลือดบนหน้าผากเขียวปูด ขณะที่มีเงาของดาวเคราะห์ปรากฏขึ้นด้านหลัง แสงจากผนึกส่องสว่างเจิดจ้าขณะที่มันปล่อยพลังออกมากดดันหวังเป่าเล่อเอาไว้
เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เบิกตาโพลงก่อนจะพยายามหลบหลีก ทว่าชายหนุ่มก็สัมผัสกับความยอดเยี่ยมของผนึกด้วงทองคำเข้าจนได้ มันส่งแรงกดดันออกไปยังจักรวาลที่ล้อมรอบอยู่ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาไม่มีที่ให้หลบซ่อน และนั่นเป็นเพียงหนึ่งในพลังหลายอย่างของมันเท่านั้น…
ในวินาทีเดียวกันนั้น ตัวอักขระบนด้วงสีทองก็ส่องแสงสว่างขึ้นมา แรงกดดันดังกล่าวกระทบทั้งพลังปราณและวิญญาณของหวังเป่าเล่อพร้อมๆ กัน ทำเอาหัวใจของชายหนุ่มเต้นโครมๆ อยู่ในอก แม้ว่าเขาจะพอมีวิธีรับมือได้ แต่วิธีทั้งหมดก็ต้องใช้พลังปราณมหาศาลด้วยกันทั้งสิ้น
และหากว่าพลังปราณของหวังเป่าเล่อหมดสิ้นไปขณะกำลังเดินทางกลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มันย่อมส่งผลต่อชายหนุ่มเมื่อเขากลับไปถึง ขณะเดียวกัน การจะใช้พลังปราณทั้งหมดเพื่อสังหารหรือทำให้ศัตรูเจ็บหนักย่อมเป็นเรื่องยอมรับได้ แต่ภายใต้อำนาจของผนึกด้วงทองคำ การใช้พลังปราณจนหมดอาจทำได้แค่ต้านทานผนึกไว้ได้เท่านั้น หากหวังเป่าเล่อต้องสู้กับตันโจวจื่อต่อ เขาจะยิ่งเหนื่อยหนักกว่าเก่า…แต่หากเขารอเพื่อจะลดปริมาณปราณที่ต้องใช้ มันก็คงยากที่จะดิ้นหลุดจากผนึกไปได้ เมื่อชายหนุ่มถูกควบคุมได้ เขาย่อมเสียความได้เปรียบทั้งหมดและตกอยู่ในสภาพที่ป้องกันตัวไม่ได้
ปัญหานี้ทำให้หวังเป่าเล่อปวดศีรษะ ในความเป็นจริง แม้ว่าชายหนุ่มจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์และยังมีรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปอยู่หลายเท่า ซึ่งทำให้เขายืนหยัดต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าความแข็งแกร่งระหว่างเขากับตันโจวจื่อยังห่างกันอยู่ระดับหนึ่ง
ความแตกต่างของพลังนั้นเห็นได้ชัดในแง่ของกระบวนท่าและความสามารถในการยืนหยัดบนสนามรบ ตัวอย่างเช่น แม้ว่าทั้งคู่จะดูสูสีกันเมื่อเข้าปะทะ หรือดูคล้ายว่าหวังเป่าเล่อจะได้เปรียบ แต่เขาก็ต้องใช้พลังมากมายกว่าตันโจวจื่อมากนัก อย่างไรเสีย ระดับพลังวิญญาณของเขาก็ยังห่างชั้นกับตันโจวจื่ออยู่
*เมื่อข้าบรรลุระดับดาวพระเคราะห์เมื่อใด…ด้วยพลังปราณที่ข้ามีอยู่ การจะสังหารชายคนนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก อันที่จริงแล้วข้าคงจะสามารถสังหารเขาได้ในพริบตาเสียด้วยซ้ำ!*หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่ความเสียใจของเขาก็เป็นสิ่งล้ำค่านัก หากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสอง พวกเขาคงจะตื่นตะลึงจนไม่อยากเชื่อสายตาเป็นแน่
หากว่ากันตามตรง…การที่พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์จะได้เปรียบในการประมือกับพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้น แม้ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อนในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่ก็มีเพียงผู้ถูกเลือกจากตระกูลหรือฝ่ายการเมืองชั้นนำเท่านั้นที่สามารถทำได้
ดังนั้นในขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังเต็มล้นไปด้วยอารมณ์ ตันโจวจื่อผู้ที่ใช้ผนึกด้วงทองคำ ก็ยังคงคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของศัตรูตรงหน้าอยู่ในใจ ถึงตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แต่เป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่เพราะเหตุนี้ ตันโจวจื่อก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีก เขาไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าหวังเป่าเล่อมีพื้นเพธรรมดา สำหรับตันโจวจื่อแล้ว ปูมหลังของหวังเป่าเล่อจะต้องยิ่งใหญ่แน่นอน
หวังเป่าเล่อเองก็ไม่อาจเก็บความหงุดหงิดเอาไว้ได้ สีหน้าที่ชายหนุ่มแสดงออกมาและคิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นทำให้อารมณ์นั้นเห็นได้อย่างชัดแจ้ง เขากำลังวิเคราะห์ว่าจะออกไปอย่างไรโดยไม่ต้องใช้พลังปราณทั้งหมด จากนั้นต่อให้หวังเป่าเล่อต้องเหนื่อยล้าเพียงใด ชายหนุ่มก็ได้ชื่อว่าใช้พลังไปอย่างคุ้มค่าแล้ว…ดังนั้นเมื่อแรงกดดันของผนึกด้วงทองคำมาถึงตัว หวังเป่าเล่อจึงทอดถอนใจใหญ่
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าก็ได้ ข้าเป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกรุ่นปัจจุบันของตระกูล ข้าไม่อยากจะเล่นกับเจ้าอีกแล้ว ข้าจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงแล้ว เจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใครใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าก็ได้” ขณะพูด หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ เหรียญตราหยกเหรียญหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ!
สิ่งนั้นก็คือ…เหรียญตราสันติที่เซี่ยไห่หยางมอบให้เขานั่นเอง
แต่เหรียญนี้ไม่ใช่ของจริง ของจริงนั้นสลายไปนานแล้วและกลายเป็นเพียงแผ่นหยกสื่อสารธรรมดาๆ ทว่าเหรียญตราเหรียญนี้นั้น…หวังเป่าเล่อหลอมขึ้นมาขณะที่อยู่บนสะเก็ดดาว เขาตั้งใจจะใช้มันขู่ให้ศัตรูหวาดกลัว
หลังจากหยิบเหรียญออกมาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ชูมันขึ้นสูง ความหยิ่งยโสปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะที่ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างใจเย็น
“ข้าคือเซี่ยต้าลู่จากตระกูลเซี่ย!”