ภาคที่ 5 บทที่ 30 เหยื่อล่อ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 30 เหยื่อล่อ

ทั้งการตัดคนออกจากผู้ต้องสงสัยและเลือกตัวบุคคลที่น่าสงสัยเป็นพิเศษนั้นช่วยลดความแปรปรวนได้ แต่วิธีการที่แตกต่างกันก็จะนำไปสู่ผลที่แตกต่างกันด้วย

วิธีการหลังนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ซูเฉินจึงตั้งใจที่จะตามหาเป้าหมายที่ดูมีพิรุธก่อนและใช้พวกเขาเป็นฐานในการทำนายให้แม่นยำมากขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการใช้งานไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด

เขาไม่สามารถตามหาตัวอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้แต่จะต้องมีรากฐานที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับเขาความพยายามที่จะชนะลอตเตอรี่

สิ่งนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ต้องนึกถึงวิธีการที่เป็นไปได้

จูเซียนเหยาคิดพิเคราะห์อยู่พักหนึ่งแต่ก็คิดอะไรไม่ออก ท้ายที่สุดนางก็เบะริมฝีปากและจับแขนของซูเฉินพร้อมพูดขึ้น “เจ้ามีความคิดเจ้าเล่ห์ตลอดไม่ใช่หรือ บอกทีสิว่าพวกเราควรทำอย่างไร”

ซูเฉินหัวเราะ “ข้าพึ่งจะมาถึงเอง ยังไม่คุ้นชินกับผู้คนที่นี่หรอก”

“ข้าไม่สน ยังไงเจ้าก็ต้องช่วยข้าคิดหาหนทาง”

ไม่มีอะไรสามารถหยุดผู้หญิงได้เมื่อพวกนางอาละวาด

ซูเฉินหมดสิ้นหนทางและทำได้เพียงพยักหน้า “ข้าก็พอจะนึกออกอยู่ มันอาจดูไร้สาระไปบ้างแต่ก็ควรจะใช้ได้ดีทีเดียว……”

ภายในตระกูลหรง

หรงเซียงเสิ่งนั่งอยู่บนที่ยกระดับ ท่าทีของเขานั้นนิ่งงันไร้ชีวิตชีวา “พวกเจ้าไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนแอบเข้ามาในที่ทำการบัญชีเลยหรือ ?”

คนคนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเบื้องล่างเอ่ยขึ้นพร้อมสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว “คนคนนั้นแอบเข้ามาด้วยตัวตนชื่อสจ๊วตหลิว ถ้าหากสจ๊วตหลิวไม่ได้ปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าเขาไม่ได้เข้าไปเมื่อเช้าตรู่ พวกเราก็คงไม่พบเรื่องนี้เลย บุคคลนี้จะต้องมีวิชาพรางตัวบางอย่างเป็นแน่”

“มันคือซูเฉิน !” ใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “พวกเราได้รับข้อความจากหอสันติภาพว่าซูเฉินสามารถออกมาจากอาณาเขตของเผ่าคนเถื่อนอย่างไร้รอยขีดข่วนได้เพราะวิชาพรางตัวของเขา”

ชื่อของคนคนนี้คือหรงจูป่าย หนึ่งในผู้อาวุโสระดับกลางของตระกูลหรง

หรงเซียงเสิ่งกระแอม “คนเถื่อนเหล่านั้นต่างก็ตาบอดไปครึ่งหนึ่งแล้ว เจ้าจะบอกว่าตระกูลหรงก็เป็นเช่นนั้นหรือ ?”

หรงจูป่ายรู้สึกอับอายขายหน้า “ตอนที่ซูเฉินมาเป็นเวลาก่อนย่ำรุ่ง เป็นช่วงเปลี่ยนแปลงระหว่างหยินไปสู่หยาง ส่วนคนอื่น ๆ ก็มีระดับพลังที่ไม่สูงพอ จึงเป็นไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมองการปลอมกายของเขาออก”

“แม้แต่คนด่านสู่พิสดารก็มองไม่ออกหรือ ?” เสียงหนึ่งลอยมาจากทางด้านหลังของพวกเขา น่าประหลาดใจที่เสียงนั้นหวานใสเป็นอย่างมาก

เมื่อได้ยินเสียงนั้นหรงจือซิ่งก็รีบร้อนพูดขึ้นทันที “มีคนด่านสู่พิสดารจำนวนหนึ่งอยู่ที่นั่นตอนที่ซูเฉินมา แต่ไม่มีใครตรวจสอบพบเลยว่าเขาเป็นตัวปลอม หรืออาจมีใครบางคนที่อยู่ในด่านสูงกว่านั้นก็ควรจะมองการปลอมตัวของเขาออก”

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง “หากไม่ใช่เพราะวิชาสร้างภาพลวงตาของคนผู้นี้นั้นทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ ก็คงเป็นเพราะพลังจิตของเขานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร คนคนนี้ก็ครอบครองความสามารถที่จะกลายเป็นขวากหนามของเราได้ ถ้าหากว่าคนคนนี้ฉลาดหลักแหลมด้วย…..”

เสียงนั้นไม่ได้พูดต่อ แต่ทีท่าหรงเซียงเสิ่งกลับซีดเผือดลง

เรื่องตัวตนของซูเฉินเริ่มแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างและสถานะของเขาที่เป็นปราชญ์ชาญโลกก็เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น

ความแข็งแกร่งและมันสมองของคนคนนี้นั้นยิ่งกว่าเพียงพอเสียอีก

ส่วนสำหรับความใจกล้าและเด็ดเดี่ยวของเขานั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลยด้วยซ้ำ

กระทั่งหรงเซียงเสิ่งยังไม่สามารถทนความกระอักกระอ่วนได้เมื่อคิดว่าซูเฉินได้แฝงตัวเข้ามาในตระกูลหรงโดยไม่มีใครจับได้และเข้าถึงบันทึกการบัญชีของพวกเขา

เขาตอบกลับไปยังเสียงนั้น “ซูเฉินคนนี้จะไม่ได้ทำตามใจชอบอีกต่อไป เมื่อกำลังเสริมจากตระกูลเฉียนมาถึง พวกเราจะกำจัดเขา”

“ข้าเกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่ให้เวลาเรามากขนาดนั้น” เสียงนั้นถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

ในตอนนั้นเอง ศิษย์ตระกูลหรงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาและคุกเข่าลงเบื้องหน้าหรงเซียงเสิ่งพร้อมพูดขึ้น “พวกเราพึ่งได้รับสาส์นมาว่าซูเฉินไปจากตระกูลจูแล้ว”

“ว่าไงนะ” หรงเซียงเสิ่งลุกยืนขึ้นทันที “เขากำลังจะไปไหน ?”

“เขาออกไปทางประตูตะวันออกและมุ่งหน้าไปยังเขาซ่อนสวรรค์”

“ใครแจ้งเรามา”

“มีคนหนึ่งอยู่ที่ที่พักของพวกเขา ซูเฉินแปลงกายแล้วแต่ก็ถูกพวกเขาเห็นเข้าและพวกเขาก็ได้ติดธูปไว้ที่ตัวเขาเพื่อแกะรอยตาม ตราบใดที่พวกเราใช้ธูปสืบอสูร เราก็จะหาเขาเจอ”

“มีแค่คนเดียวที่พบงั้นหรือ”

“ไม่ พวกเขาอยู่กับเหล่านายน้อยของตระกูลจูในตอนนั้นพอดี”

หรงเซียงเสิ่งถอนใจด้วยความโล่งอก “งั้นก็ดีแล้ว”

หรงจูป่ายพูด “ท่านหัวหน้า ข้าจะพาคนไปเดี๋ยวนี้เพื่อจัดการเขาเสีย”

“อย่ารีบร้อนนักเลย” หรงเซียงเสิ่งถอยหลังไปเล็กน้อยและตกลงสู่ห้วงความคิด

เสียงจากข้างหลังพูด “ท่านกังวลอะไรอยู่หรือเปล่า”

หรงเซียงเสิ่งถอนหายใจ “ใช่ ข้ากังวลว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกล่อพวกเราอยู่”

เสียงนั้นพูดต่อ “ท่านสามารถยืนยันได้ไหมล่ะ”

หรงเซียงเสิ่งส่ายหัว “ไม่ได้หรอก นี่อาจเป็นโอกาสหรืออาจเป็นกับดัก แต่ก่อนที่ที่ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยเราก็ไม่มีทางรู้ได้หรอก นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องถามความคิดเห็นของพวกเจ้า”

เสียงนั้นตอบ “ในเมื่อท่านไม่สามารถสรุปอะไรได้ งั้นท่านก็คงทำได้เพียงตัดสินใจโดยชั่งน้ำหนักข้อได้เสีย ซูเฉินเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงอย่างแน่นอน และเมื่อตระกูลเฉียนมาถึงแล้วท่านก็จะสามารถใช้กำลังในการแก้ปีญหาที่จะตามมาได้ ดังนั้นแล้วการมีอยู่ของซูเฉินก็จะไม่มีความหมายอีกต่อไป”

หรงเซียงเฉิงเข้าใจสิ่งที่คนคนนั้นพูดและพยักหน้า “มีเหตุผล ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะส่งข้ารับใช้เงาข้ารับใช้เงาสองเฟิงไปจัดการเขา”

ข้ารับใช้เงาสองเฟิงของตระกูลหรงมีนามว่าหรงเซียงจ้าน ผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณระดับสูง

หรงเซียงจ้านไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากที่ถูกส่งตัวไปฆ่าเด็กน้อยในด่านสู่พิสดาร

ในสายตาของเขา การฆ่าไก่อ่อนอย่างซูเฉินนั้นไม่ต่างไปจากการใช้ช้างเพื่อฆ่ามดตัวเล็ก ๆ

แต่เพราะท่านหัวหน้าได้สั่งการมา เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาจึงได้แต่บ่นพึมพำและฝืนใจออกมา

ด้วยการนำทางของธูปสืบอสูร หรงเซียงจ้านไปถึงเขาซ่อนสวรรค์และพบกับร่างหนึ่งยืนอยู่ลำพัง

ร่างนั้นยืนอยู่โดยมีเสื้อคลุมบังไว้โดยไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

ราวกับว่าร่างนั้นสามารถสัมผัสการเคลื่อนไหวในอากาศได้ มันเงยหน้ามองมายังหรงเซียงจ้านพลางเปิดเผยใบหน้าอ่อนเยาว์และละเมียดละไม

หรงเซียงจ้านแผดเสียงดังลั่น “ซูเฉิน ! ข้ามาที่นี่ช่วงชิงชีวิตของเจ้า !”

เขาปล่อยกำปั้นมุ่งไปยังร่างนั้น

หมัดนั้นพุ่งลงใส่คนผู้นั้นราวกับภูเขาทั้งลูก สาดแสงสว่างไสวไปยังทุกทิศทาง พลังงานไร้ขีดจำกัดจากกำปั้นนั้นยังคงพุ่งผ่านร่างนั้นและเฉือนลึกลงบนพื้นดินยาวหลายสิบจั้ง

แต่เมื่อพลังที่หลงเหลือจากหมัดนั้นจางหายไป กลับไม่มีก้อนอวัยวะหรือเลือดให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

หรงเซียงจ้านรู้สึกได้ว่าไม่มีแรงต่อต้านการโจมตีของเขาและคนคนนั้นที่พึ่งจะยืนอยู่ต่อหน้าเขาได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เกิดอะไรขึ้น ?!

ซูเฉินหายตัวไปงั้นเหรอ ?

หรงเซียงจ้านตกตะลึง เขาหมุนตัวเพื่อตรวจสอบดูรอบตัวแต่เขาก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติเลย

ทันใดนั้นเอง เขาได้ยินเสียงผู้คนเข้าใกล้มาจากทางด้านหลัง นั่นคือหรงเซียงเสิ่งและคนอื่น ๆ ในตระกูล

“ท่านหัวหน้าหรือ ทำไมท่านถึงมาที่นี่กัน ?” หรงเซียงจ้านตกใจ

หรงเซียงเสิ่งจ้องมองสิ่งต่าง ๆ รอบกายด้วยท่าทีแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า

จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อจะป้องกันไม่ให้ตระกูลจูจับพวกเขาด้วยกับดักได้ เขาใช้หรงเซียงจ้านเป็นเหยื่อล่อ และหากตระกูลจูเตรียมการซุ่มโจมตีไว้ที่นี่ เขาก็จะใช้โอกาสนี้ในการฆ่าพวกเขาเสีย

แต่สถานการณ์กลับยิ่งไปกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้

ซูเฉินคนนั้นไม่ใช่ซูเฉินอย่างแน่นอน แต่การลอบโจมตีที่เขาคาดเดาไว้ก็ไม่มีเช่นกัน

ทุกอย่างได้อันตรธานหายไปและกลับสู่สภาวะปกติ ราวกับว่ามันเป็นเพียงการแกล้งกันเล็กน้อยเท่านั้น

ขณะที่หรงเซียงเสิ่งมองไปยังความอ้างว้างโดยรอบ เขาบ่นอุบอิบ “ซูเฉิน เจ้าต้องการอะไรกันแน่ !”

ภายในเรือนพักตระกูลจู

ซูเฉินกล่าวอย่างสงบเย็น “ร่างแยกของข้าที่เขาซ่อนสวรรค์ตายแล้ว หรงเซียงเสิ่งเป็นคนฆ่าเขา”

“เขาซ่อนสวรรค์หรือ” จูเซียนเหยาตัวสั่นเทา “เจ้าหมายความว่า…… น้องสาวของข้าเป็นคนทำงั้นหรือ !”

ซูเฉินได้ใช้วิธีการที่เรียบง่ายในการหากลุ่มผู้ต้องสงสัย เขาตั้งใจทิ้งร่างแยกให้ปรากฏขึ้นตรงหน้ากลุ่มคนที่ต้องการแล้วจึงส่งร่างแยกนั้นไปยังอีกที่หนึ่ง

ตราบใดที่หนึ่งในร่างแยกเลียนแบบเหล่านั้นอย่างน้อยสักตัวถูกเจอ ซูเฉินก็จะสามารถคาดเดาได้ง่ายยิ่งขึ้นว่าใครเป็นผู้ที่เปิดเผยการเคลื่อนไหวของเขา

ซูเฉินไม่สามารถสร้างร่างเลียนแบบให้กับสมาชิกทุกคนในตระกูลจูได้เพราะจำนวนคนที่มากเกินไป วิธีการนี้จึงใช้ได้เฉพาะกับกลุ่มคน แม้ว่ามันจะไม่สามารถทำให้เขาชี้ตัวได้ว่าใครกันที่เป็นคนทรยศ แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถรู้ถึงลักษณะทั่วไปของคนนั้นได้

ร่างปลอมที่ไปยังเขาซ่อนสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าจูเซียนหลิง จูส่าวเจี๋ย และศิษย์จากตระกูลจูคนอื่น ๆ

“ข้ายังยืนยันไม่ได้หรอก แล้วเจ้าก็บอกว่าจูเซียนหลิวไม่รู้เรื่องที่สายเลือดตระกูลจูกำลังแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่หรือ” ซูเฉินตอบกลับไป

จูเซียนเหยาตอบอย่างมีน้ำโห “แล้วจะเป็นใครได้อีกล่ะ นางจะต้องรู้เรื่องจากใครบางคนที่หุบปากไว้ไม่อยู่และใช้มันทรยศพวกเราแน่ ๆ ”

“เราจะรู้ว่าใช่นางหรือไม่เมื่อเราลองดู” ซูเฉินกล่าวขณะที่ดึงเอาไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดและแท่นสังเวยออกมาโดยและทำการสังเวย

นี่เป็นครั้งแรกที่จูเซียนเหยาได้เฝ้าดูซูเฉินควบคุมพลังของกาลเวลาอย่างใกล้ชิด เมื่อนางสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่แพร่กระจายออกมาจากไม้เท้า นางก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองนั้นอ่อนแอลง “นี่หรือคือพลังของเทพอสูรบรรพกาล แม้ว่ามันจะสิ้นชีพไปหลายหมื่นปีแล้ว กระดูกของมันก็ยังมีพลังที่น่าเหลือเชื่อ”

“แต่ก็ไม่ใช่ว่ากระดูกของมันจะเป็นแบบนี้ทุกชิ้น กระดูกนี้น่ะเป็นกระดูกแก่นพลัง” ซูเฉินแก้คำผิดให้ เขายังคงไม่เต็มใจที่จะรับรู้ว่าการมีอยู่ที่ทรงพลังยิ่งนั้นจะยังคงทิ้งร่องรอยไว้บนโลกแม้ว่าจะผ่านไปเป็นเวลานานหลังจากที่พวกเขาตายแล้ว ดังนั้นแล้วถึงแม้เรื่องราวเช่นนั้นจะดูน่าหวาดกลัว แต่มันก็ไร้ประโยชน์สำหรับซูเฉิน อย่างไรแล้วเป้าหมายของเขาก็คือการเพิ่มความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์และนำหน้าเผ่าสัตว์อสูรไปสักวันหนึ่ง หากเพียงกระดูกแค่ชิ้นเดียวจากเทพอสูรบรรพกาลยังแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ แปลว่าเผ่ามนุษย์นั้นช่างโชคร้ายเสียจริง

แม้ว่าไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดนั้นจะทรงพลังเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเพราะมันเป็นกระดูกของเทพอสูรบรรพกาล แต่ยังเพราะมันเปี่ยมไปด้วยทรัพยากรและการบำรุงรักษาที่ได้รับจากการสังเวยในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เช่นนั้นแล้วทำไมผู้คนจากตระกูลกู่ที่ได้ปลุกสายเลือดต้นกำเนิดของพวกเขาถึงสำเร็จได้ไม่ถึงไหนเลย

แต่กระทั่งพลังที่ร้ายกาจนี้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ในสายตาของซูเฉินและจะต้องเลิกใช้ในสักวันหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเขาก็จะสูญเป้าหมายของการใช้ชีวิตไป

ซูเฉินนั้นมีแนวคิดอย่างนักทดลองและต้องการที่จะเห็นว่าเขาสามารถลดค่าเสียหายได้โดยตัดคสามแปรปรวนบางส่วนออกไป เขาจึงเริ่มจากการสังเวยเพียงเล็กน้อยและเตรียมการสังเวยอีกหลายครั้ง

ภาพลวงตาหนึ่งก็ปรากฏขึ้นทันทีที่เขาได้วางของสังเวยลงบนแท่นบูชาอย่างคาดไม่ถึง

เขาทำสำเร็จในครั้งเดียวเลยหรือ ?

ทั้งสองมองดูเหตุการณ์ในภาพสลัวนั้น จูเซียงหลิงกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นและถูกสอบปากคำโดยตระกูลจู

ไม่มีเสียงใดและภาพนั้นดูจะจางไปเล็กน้อย จูเซียนเหยาไม่มีทางยืนยันได้ว่าพวกกำลังพูดอะไรกันแต่นางก็ยังเริ่มตะโกนออกมาด้วยความตื่นอกตื่นใจ “งั้นก็คือนาง ! นางผู้หญิงเหลือขอคนนี้ทรยศตระกูลของเรา ! ข้าจะไปบอกท่านแม่เดี๋ยวนี้”

ขณะที่พูด จูเซียนเหยาก็รีบร้อนไปยังหอหลักของตระกูล

ซูเฉินต้องการจะเรียกนางกลับมา แต่ขณะที่เขามองดูฉากนั้นต่อไป หัวใจของเขาก็พลันสั่นไหว ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เก็บความในใจไว้และมองจูเซียนเหยาเดินจากไป

หลังจากผ่านไปสักพัก ของสังเวยบนแท่นก็ได้หายไปแล้ว และภาพลวงตานั้นก็จางหายไปเช่นกัน

ซูเฉินก้มหัวลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหอหลักของตระกูลจู

ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ โถงหลักของตระกูลจูก็ขนัดแน่นไปด้วยความโกลาหล