ตอนที่ 2855 โลกที่เปลี่ยนไป

เมื่ออักษรรูนศักสิทธิ์ที่อยู่รอบตัวของซือเฟิงหายไป ออร์เบ็ค มังกรเงินศักสิทธิ์ก็สัมผัสได้ถึงการมาถึงของซือเฟิงแล้ว โดยมันก็ได้ลืมตาตื่นขึ้น และมองไปยังซือเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหน้ามันด้วยความประหลาดใจ

“คุณประสบความสำเร็จงั้นหรอ ?”

มังกรเงินศักสิทธิ์ออร์เบ็คนั้นสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของซือเฟิงได้อย่างรวดเร็ว และมันก็สามารถจะตัดสินได้เลยว่าซือเฟิงนั้นทำการทดสอบได้สำเร็จแล้ว

เพราะซือเฟิงในเวลานี้นั้นดูแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงสำหรับมัน ….

แม้ว่าเลเวลของซือเฟิงจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่มานาที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเขานั้นได้เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยนอกจากมานานี้จะผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดีแล้ว ความแข็งแกร่งของมานายังได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพด้วย สิ่งเหล่านี้นั้นจัดเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าซือเฟิงทำการทดสอบสำเร็จแล้ว

แต่ถึงกระนั้นนี่มันก็ยังทำให้ออร์เบ็ครู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่เล็กน้อย

เนื่องจากเท่าที่ออร์เบ็คประเมินนั้น ซือเฟิงน่าจะสามารถผ่านการทดสอบของมันได้อยู่แล้วแน่นอนภายในสามครั้ง เพราะซือเฟิงนั้นทรงพลังมากๆ ….

แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่นึกเลยจริงๆว่าซือเฟิงนั้นจะประสบความสำเร็จและผ่านการทดสอบได้ตั้งแต่ครั้งแรกแบบนี้

“ฉันก็แค่โชคดีที่ประสบความสำเร็จน่ะ ….” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาโชคดีที่สามารถทะลวงค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจขึ้นไปถึงที่ขั้นห้าได้สำเร็จ และโชคดีที่ได้รับพรจากโลกจนทำให้มีสิทได้สร้างทะเลจิตวิญญาณขึ้นมาใหม่ เขาก็คงจะไม่สามารถผ่านการทดสอบได้แน่นอน ….

“ไม่หรอก มันไม่มีทางที่จะใช้โชคในการผ่านการทดสอบนี้ได้ …. ที่คุณประสบความสำเร็จและผ่านมันมาได้นั้น มันล้วนเกิดจากพลังของคุณทั้งหมด ….” ออร์เบ็คกล่าวพลางส่ายหัว ก่อนที่มันจะกล่าวต่อว่า “และเมื่อคุณทำได้สำเร็จแบบนี้ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามสัญญา นับจากนี้คุณคือสหายที่แท้จริงของฉัน ฉันจะยืนอยู่เคียงข้างคุณและคอยช่วยเหลือคุณไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม !!!”

เมื่อออร์เบ็คกล่าวจบนั้น ซือเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผดเผาที่แขนของเขา

หลังจากนั้นอักษรรูนมังกรสีเงินขาวก็ถูกสลักลงบนแขนซ้ายของซือเฟิง ก่อนที่เสียงแจ้งเตือนของระบบจะดังขึ้นมาที่หูของเขา

ระบบ : ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นที่สามารถทำเควส “กรงวอย” ในระยะที่สองได้เสร็จสิ้น และได้รับการยอมรับให้เป็นสหายที่แท้จริงของมังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็ค โดยตัวผู้ทำเควสได้สำเร็จนั้นจะมีสิทอัญเชิญมังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็คออกมาช่วยต่อสู้เพื่อตัวเองได้ทุกเวลา รางวัล : คะแนนสกิลมรดกสามสิบแต้ม และเลเวลหนึ่งเลเวล

เมื่อเสียงแจ้งเตือนของระบบจบลง เลเวลของซือเฟิงก็เพิ่มขึ้นจากหนึ่งร้อยห้าสิบไปเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดทันที อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ซือเฟิงรู้สึกพึงพอใจมากจริงๆคือคะแนนสกิลมรดกสามสิบแต้มที่เขาได้รับมาพร้อมกับเลเวลหนึ่งเลเวล ….

“หากคุณประสบปัญหาในอนาคต คุณสามารถจะอัญเชิญฉันไปได้ตลอดเวลา” ออร์เบ็คกล่าวอย่างช้าๆ “ฉันสามารถจะถูกคุณอัญเชิญไปผ่านรูนสัญญาได้ตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตาม คุณก็ต้องระวังหน่อยล่ะ …. พลังของรูนสัญญานี้มันมีจำกัด ซึ่งทำให้ในบางพื้นที่ที่พิเศษจริงๆ คุณก็จะไม่สามารถอัญเชิญฉันไปได้ แล้วก็ God domain ในปัจจุบันนั้นแตกต่างจากตอนก่อนที่คุณจะเข้าไปการทดสอบอยู่ประมาณหนึ่ง แม้ว่าคุณจะเติบโตขึ้นมาก แต่คุณก็ต้องระวังหน่อย เพราะหากคุณทำตัวก้าวร้าวเกินไป มันก็มีสิทที่คุณจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงได้เหมือนกัน”

“แตกต่างอยู่ประมาณหนึ่ง ? ผนึกของโลกอื่นบางแห่งพังทลายลง และช่องทางเข้าถูกเปิดแล้วงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ ….

ออร์เบ็คในตอนนี้นั้นมีพลังมากพอที่จะสามารถจัดการกับสิ่งมีชีวิตขั้นห้าทั่วไปได้สบายๆ และพลังนี้มันก็น่าจะเพียงพอที่จะใช้ปราบปรามแทบทั่วทั้ง God domain ในตอนนี้ได้ ดังนั้นนี่มันจึงเป็นเรื่องแปลกมากจริงๆที่ออร์เบ็คได้มากล่าวเตือนเขาแบบนี้

“ใช่แล้ว และตอนนี้การรุกรานมันก็เริ่มขึ้นแล้วด้วย รวมทั้งกฎบางอย่างใน God domain ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว คุณสามารถออกไปตรวจเช็คที่ด้านนอกนั่นได้เลย ….” ออร์เบ็คกล่าวพลางชี้ไปยังประตูที่ถูกวงเวทย์ปิดผนึกไว้ “และถ้าคุณต้องเจอเข้ากับปัญหาใหญ่ๆ มันก็จะเป็นการดีที่สุดที่จะอัญเชิญฉันไปในทันที”

“ขอบคุณสำหรับคำเตือนออร์เบ็ค ฉันจะระวังตัวให้มาก …” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องโถงอัญเชิญไป และปล่อยให้มังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็ค ได้หลับพักผ่อนต่อ

เมื่อซือเฟิงออกมาจากห้องโถงอัญเชิญแล้ว เขาก็ต้องรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้เห็นและสัมผัสมากๆ

“ช่างเป็นมานาที่หนาแน่น และแข็งแกร่งมากจริงๆ !!!”

ในเวลานี้ความหนาแน่นและความแข็งแกร่งของมานาภายในป้อมปราการแสงดาวนั้นมันมีมากกว่าเดิมราวสองเท่าเลยทีเดียว โดยตอนนี้มานาภายในป้อมนั้นมันใกล้เคียงกับการที่จะกลายเป็นหมอกแล้ว

ด้วยความหนาแน่นและความแข็งแกร่งของมานาที่มีมากขนาดนี้นั้น มันจะไม่มีเมืองกิลใดที่จะสามารถเทียบกับป้อมปราการแสงดาวได้แน่นอน ยกเว้นเมืองสภาสิบแปดปีก และแม้แต่เมืองป่าหินก็จะไม่สามารถเทียบกับป้อมปราการแสงดาวได้เช่นกัน เว้นแต่ว่าจะไปพูดกันถึงสภาพแวดล้อมของโรงแรมอิสระในเมืองป่าหิน ….

นอกจากเรื่องนี้แล้วซือเฟิงยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของเขากับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และกฎการใช้งานองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์นั้นมันดีขึ้นมากๆภายในสภาพแวดล้อมนี้ ซึ่งตอนนี้ต้องบอกเลยว่าป้อมปราการแสงดาวนั้นมันเหมือนกับโลก God domain ยุคโบราณในเวอชั่นที่อ่อนแอลงมา ….

อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดเหนือกว่าเรื่องพวกนี้คือการเปลี่ยนแปลงเรื่องของจำนวนประชากรภายในป้อมปราการแสงดาว ….

ในตอนนี้ประชากรของป้อมปราการนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนก่อนที่ซือเฟิงจะทำการทดสอบถึงสามเท่า และภายในป้อมปราการนั้นยังสามารถพบผู้เล่นขั้นสามเดินไปตามท้องถนนได้ทั่วไป ขณะที่ก็สามารถจะพบกับผู้เล่นสี่ได้ประปรายด้วยเช่นกัน

และพูดกันตามตรงนั้นเท่าที่ซือเฟิงสังเกตเห็น มันมีผู้เล่นขั้นสี่ เดินไปมาภายในป้อมปราการแสงดาวอยู่มากกว่าเจ็ดสิบคนเลย ซึ่งนี่มันนับเป็นจำนวนที่น่ากลัวมากๆ !!!

แถมนอกเหนือจากนี้นั้นมันยังมีทะเลฝูงชนที่สุดลูกหูลูกตาต่อแถวรอเข้าสู่ป้อมปราการอีก โดยเท่าที่ซือเฟิงประมาณนั้นมันน่าจะมีถึงหลักล้านเลยทีเดียว ….

โดยในหมู่ฝูงชนนี้นั้นแม้แต่ผู้เล่นที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญทั่วไปขั้นสาม ซึ่งทั้งหมดนี้นั้นล้วนมีเลเวลหนึ่งร้อยสามสิบห้าหรือสูงกว่าทั้งหมด และในหมู่ผู้เล่นที่เข้าแถวรอนั้นมันก็ยังมีผู้เล่นขั้นสี่อยู่ด้วยซ้ำ

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผู้เล่นเหล่านี้นั้นเข้าแถวรอกันอยู่อย่างเงียบๆ ซือเฟิงก็คงจะได้สงสัยว่าพวกเขามากันเพื่อโจมตีป้อมปราการแสงดาวแน่นอน

อย่างไรก็ตามก่อนที่ซือเฟิงจะทันได้หายตกตะลึงจากฉากตรงหน้าทั้งหมดนี้ เขาก็สังเกตเห็นวา่มันมีทีมผู้เล่นจำนวนมากได้วิ่งไปยังประตูป้อมปราการ ซึ่งผู้ที่นำทีมผู้เล่นทีมนี้วิ่งไปนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้บัญชาการกองกำลังดีไวน์ไฮม์ของเผ่าศักสิทธิ์ ฟิธาเลีย ….

ในตอนนี้ฟิธาเลียนั้นไม่เพียงแต่จะอยู่ในขั้นสี่เท่านั้น แต่เธอยังมาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบห้าแล้วด้วย และเมื่อมองไปที่ร่างของเธอดีๆนั้น มันก็จะพบได้อย่างชัดเจนเลยว่าร่างมานาของเธอนั้นได้ทลายขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ไปแล้ว และตอนนี้เท่าที่ซือเฟิงสังเกตเห็นนั้นมันก็ดูเหมือนว่าฟิธาเลียจะสวมใส่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานอยู่อย่างน้อยสองชิ้นแล้ว ซึ่งพลังองเธอในตอนนี้นั้นน่าจะสามารถต่อกรกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกันได้อย่างไม่มีปัญหาเลย

นอกจากฟิธาเลียแล้ว มันก็ยังมีผู้เล่นขั้นสี่อยู่อีกสามคนภายในทีมของเธอ ซึ่งพวกเขานั้นได้สวมใส่ไอเทมระดับอีปิคกันอยู่ราวคนละหกถึงแปดชิ้น และก็ไม่ต้องพูดถึงมาตราฐานการต่อสู้ของพวกเขาเลย แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถทลายขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ของร่างมานาของตัวเองได้ก็ตาม

ทีมที่แข็งแกร่งแบบนี้นั้นสามารถจะจัดการกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดในเลเวลเดียวกันได้เลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามตอนนี้การแสดงออกของฟิธาเลีย และคนอื่นๆในทีมนั้นมันเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความกังวลเล็กน้อย ในขณะที่พวกเขารีบวิ่งไปยังประตูป้อมปราการ ….
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?”

ซือเฟิงนั้นอยากรู้อยากเห็นมากๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ และนี่มันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะบินติดตามไปอย่างเงียบๆ

แม้ว่าฟิธาเลียและคนอื่นๆจะไม่ใช่สมาชิกของสภาสิบแปดปีก แต่กิลที่พวกเขาสังกัดอย่างเผ่าศักสิทธิ์นั้นก็เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของสภาสิบแปดปีกในทวีปด้านตะวันตก แถมพวกเขายังช่วยรักษาความปลอดภัยของป้อมปราการแสงดาวในนามของสภาสิบแปดปีกด้วย ซึ่งหากไม่มีอะไรที่มันสำคัญจริงๆแล้วคนระดับฟิธาเลียก็ไม่น่าจะต้องออกมาเองแบบนี้

หลังจากนั้นไม่นานฟิธาเลียและคนอื่นๆก็ได้มาถึงที่บริเวณประตูป้อมปราการแสงดาว

ในเวลานี้มันมีผู้คนนับหมื่นมารวมตัวกันที่หน้าประตู โดยพวกเขาทั้งหมดนั้นก็ยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูมากนัก และในตอนนี้ทุกคนก็มองไปยังทีมๆหนึ่งที่ยืนอยู่นอกประตูป้อมปราการแสงดาวอย่างสงสัย

จะพูดให้แม่นยำก็คือ พวกเขานั้นมองไปยังทีมของ NPC ที่ประกอบไปด้วยผู้เล่นอยู่ในทีมจำนวนหนึ่งด้วย ….

อย่างไรก็ตามในบรรดาผู้เล่นไม่กี่คนที่อยู่ในทีมของ NPC นี้ มันก็มีผู้เล่นขั้นสี่อยู่ถึงห้าคน พร้อมกันนั้นในทีมๆนี้มันก็มี NPC ขั้นสี่ที่ทรงพลังอยู่มากกว่าสิบคนด้วย

“ทำไมจู่ๆคนของพันธมิตรเลือดถึงมาที่นี่ ? ไม่ใช่ว่าพวกเขาง่วนอยู่กับเรื่องพันธมิตรมหาอำนาจในทะเลเปิดงั้นหรอ ?”

“นี่มันแปลกจริงๆ ฉันไม่เคยได้ยินว่าพวกเขาจะขึ้นมาปฎิบัติการบนบกเลยนะ ขณะเดียวกันสำหรับในพื้นที่ทะเลนั้น แม้แต่ห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่ต้องการที่จะยั่วยุพวกเขาเลย”

“ฉันได้ยินมาว่ามันเกิดสงครามขนาดใหญ่กับโลกอื่นขึ้นในบริเวณทะเลที่พวกเขาครอบครอง ซึ่งหลังจากการต่อสู้จบลงนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้อ้างถึงชัยชนะของตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามสงครามครั้งนี้นั้นได้สร้างความสูญเสียให้กับพันธมิตรเลือดอย่างหนัก โดยผู้เล่นมากกว่าห้าล้านคนของพวกเขาถูกฆ่าไปโดยผู้เชี่ยวชาญจากโลกอื่น ขณะที่เมืองสามเมืองบนเกาะภายใต้การครอบครองของพวกเขาก็ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ ….”

ในตอนนี้ทุกคนล้วนพูดกันอย่างงงงวยมากๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเห็นได้ชัดว่าพันธมิตรเลือดนั้นเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ และมีบทบาทสำคัญมากๆในท้องทะเล แต่ตอนนี้พันธมิตรเลือดกับเดินทางมาที่ป้อมปราการแสงดาวที่อยู่ห่างจากทะเลอย่างมาก ซึ่งเท่าที่หลายคนคำณวนนั้นค่าใช้จ่ายในการจะเดินทางมาที่นี่มันก็ไม่ถูกเลย ซึ่งมันก็จะตกอยู่ที่หกเหรียญทองต่อคน

“พวกเขามาที่นี่เพื่อหาเรื่องขอส่วนแบ่งของป้อมปราการแสงดาวรึปล่าว ?”

“มีความเป็นไปได้มากนะ เพราะท้ายที่สุดป้อมปราการแสงดาวในปัจจุบันนั้นมันทรงพลังมากเกินไป ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งและความหนาแน่นของมานาที่นี่จะสูงมาก แต่ที่นี่ผู้เล่นยังจะสามารถสัมผัสได้ถึงกฎและความสัมพันธ์กับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ได้ชัดเจนกว่าโลกภายนอกมาก แถมระยะทางจากที่นี่ไปยังดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้ามันก็ยังจัดว่าใกล้มาก ซึ่งนี่มันจัดว่าดีในทุกๆด้านสำหรับผู้เล่นเลย”

“นี่พวกเขาไม่รู้รึไงว่ามันมีมังกรเงินศักสิทธิ์ขั้นสี่คอยคุ้มกันป้อมปราการอยู่ ซึ่งนี่มันไม่ใช่ตัวตนที่ผู้เล่นขั้นสี่จะสามารถต่อต้านได้เลย”

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังสงสัยถึงเจตนา และเหตุผลในการมาของพันธมิตรเลือด ฟิธาเลียและทีมของเธอที่พึ่งมาถึงก็เดินเข้าไปหาคนของพันธมิตรเลือดในทันที

“หัวหน้าบรุท อะไรหอบคุณมาที่นี่กัน ?”

ฟิธาเลียกล่าวถามชายร่างผอมในชุดคลุมสีเทาที่ถือไม้เทาไม้สีเข้มที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำทีมๆนี้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา

การที่คนผู้นี้นำ NPC ขั้นสี่ที่ทรงพลังมากกว่าสิบคน และผู้เล่นขั้นสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรกของพันธมิตรเลือดมากับเขาในครั้งนี้ด้วยนั้น มันแทบจะสามารถบอกได้เลยว่าพวกเขาไม่ได้มาดีแน่นอน

“ผู้บัญชาการฟิธาเลีย คุณไม่จำเป็นจะต้องกังวลใจไป …. เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อก่อปัญหา และก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบกับคุณ” บรุท ชายร่างผอมในชุดคลุมสีเทากล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับเผ่าศักสิทธิ์เลย โดยเรามาที่นี่เพื่อมาพบกับสภาสิบแปดปีก และต้องการจะหารือความร่วมมือระหว่างกัน”

“หื้ม ?” ฟิธาเลียอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา เมื่อได้ยินคำพูดของบรุท “นี่คนที่เขามาหารือความร่วมมือระหว่างกัน เขาจำเป็นจะต้องนำ NPC ขั้นสี่มากกว่าสิบคนมาด้วยงั้นหรอ ?”

“ฉันไม่ได้นำพวกเขามา …” บรุทยิ้มพลางส่ายหัว “พวกเขามาในนามของกองกำลัง NPC ต่างๆในทะเล”

“มาในนามของกองกำลัง NPC ต่างๆในทะเลงั้นหรอ ?” เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฟิธาเลียนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ….

หากทุกอย่างเป็นไปตามที่บรุทว่า และ NPC พวกนี้เป็นตัวแทนของกอกำลัง NPC ต่างๆในทะเลจริงๆ พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องปฎิบัติกับเรื่องนี้อย่างจริงจังมากๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วในระยะนี้ของเกมนั้น ในบรรดากองกำลัง NPC พวกนี้ มันจะต้องมีบางกองกำลังที่มี NPC ขั้นห้าอยู่อย่างแน่นอน

บรุทได้พยักหน้า ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อว่า “ใช่แล้ว แต่ถ้าผู้บัญชาการฟิธาเลียไม่ให้เราเข้าไปก็ไม่เป็นไร แต่อย่างไรก็ตามฉันขอฝากเรื่องนี้ไปบอกสภาสิบแปดปีกด้วยแล้วกัน และหากพวกเขาไม่ยอมรับข้อเสนอในการร่วมมือกับพันธมิตรเลือด พันธมิตรเลือดของเราก็จะจัดการปิดล้อมแผนที่แห่งนี้ และป้องกันไม่ให้ทุกคนสามารถเข้าสู่ป้อมปราการแสงดาวได้ !!!”