ตอนที่ 736: การทำความเข้าใจทักษะ (1)
เส้นใยของความคิดที่มองไม่เห็นได้เข้าไปยังระหว่างคิ้วของเจี้ยนเฉิน มันทำให้เจี้ยนเฉินหยุดนิ่งและประกายตาของเขาก็หายไป มันมัวหมองราวกับว่ามันเป็นเหมือนเปลือกนอกที่ไร้ซึ่งวิญญาณ
ผู้อาวุโสห้าจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉิน หลังจากที่ได้เห็นประกายตาที่มัวหมองและไร้ชีวิตชีวาของเจี้ยนเฉิน เขาก็ผ่อนคลายเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันอย่างเย็นชาในขณะที่เขาพึมพำกับตัวเอง “หยางยู่เทียน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะที่มหัศจรรย์มากแค่ไหน เจ้าก็พ่ายแพ้ต่อหน้าวิชามอมเมาวิญญาณของข้า”
ผู้อาวุโสห้ารู้ดีว่าวิชานี้จะไม่มีผลอยู่นานนักกับเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 6 ดังนั้นเขาจึงมีหน้าตาเคร่งเครียด แค่เขาคิดเท่านั้น พลังเซียนธาตุแสงที่เป็นชั้นหนาก็ได้มารวมตัวตรงหน้าเขาและรวมเป็นตราแปลก ๆ ลอยอยู่กลางอากาศ
ประกายตาของผู้อาวุโสห้าดูเฉียบคมขึ้น ความคิดที่มองไม่เห็นของเขาพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเขาและรวมกับตราแปลก ๆ ที่อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนกับว่าเขากำลังวาดบางอย่างอยู่
ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาซักพัก ก่อนที่ผู้อาวุโสห้าจะถอนพลังออกไป เขามองไปที่เจี้ยนเฉินและพูด “หยางยู่เทียน นี่คือสัญลักษณ์ของสมาชิกหลักของสมาคม ข้าจะหลอมรวมมันเข้ากับจิตใจของเจ้า อย่าต่อต้านมัน” หลังจากที่เขาพูดจบ ผู้อาวุโสห้าก็ยื่นนิ้วของเขาและชี้ไปที่ตราประหลาดที่ลอยอยู่เหนือหน้าเขา มันกลายเป็นเส้นสีขาวทันทีแล้วหายไปตรงกลางคิ้วทั้งสองของเจี้ยนเฉิน หลังจากนั้นมันก็มีแต่ความเงียบ
หลังจากที่ตราได้เข้าไปในหัวของเจี้ยนเฉินแล้ว ผู้อาวุโสห้าก็ดูผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก เขาคิด “หยางยู่เทียน เจ้าไม่มีทางที่จะหนีจากการควบคุมของสมาคมไปได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เว้นเสียแต่ว่าเจ้าได้สำเร็จระดับ 8 แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี” ผู้อาวุโสห้ารู้ผลของตรานั้นดี เมื่อตรานั้นเข้าไปที่จิตใจของเป้าหมายแล้ว มันก็จะฝังตัวลึกอยู่ข้างใน แม้แต่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 ก็ไม่สามารถรู้ถึงการมีอยู่ของตรานั้นได้
แม้ว่าตรานี้จะควบคุมชีวิตของเป้าหมาย แต่ความสามารถที่ยอดเยี่ยมของมันจริง ๆ ก็คือการโน้มน้าวความคิดของเป้าหมายโดยไม่รู้ตัวซึ่งทำให้เกิดความจงรักภักดีต่อสมาคม เมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ ตรานั้นจะรวมเข้ากับจิตวิญญาณของเป้าหมายและคนผู้นั้นจะยอมรับใช้สมาคม คนที่ใส่ตราเข้าไปจะสามารถที่จะควบคุมคนผู้นั้นได้โดยตรง
ผู้อาวุโสห้าค่อย ๆ ใจเย็นลงและส่งความคิดอันใหม่เข้าไปในหัวของเจี้ยนเฉิน หลังจากนั้นไม่นาน ตัวของเจี้ยนเฉินก็กระตุกเล็กน้อยและประกายตาที่หมองหม่นของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวา สายตาของเขานิ่งสงบเหมือนก่อนหน้านี้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“หยางยู่เทียน นี่คือหยกสื่อสารของเจ้า หยกสื่อสารจะสามารถใช้ได้โดยเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงเท่านั้น นี้ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์แสดงว่าเจ้าเป็นสมาชิกหลักของสมาคมอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังใช้เพื่อติดต่อกับสมาชิกหลักคนอื่นในพื้นที่ที่กำหนดผ่านทางหยก” จี้หยกโบราณได้ออกมาปรากฏขึ้นที่มือของท่านผู้อาวุโส เขาส่งมันให้กับเจี้ยนเฉินพร้อมรอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา
เจี้ยนเฉินรับจี้จากผู้อาวุโสห้าอย่างปกติ เขาเห็นว่าจี้หยกนั้นมีขนาดครึ่งหนึ่งของมือเขาและมีรอยที่เกิดขึ้นจากอดีตเหลืออยู่บนจี้ ทั้งสองด้านของจี้นั้นมีรอยแกะสลักอย่างประณีตอยู่
“หยางยู่เทียน เจ้าจะต้องจำไว้ว่าจี้สื่อสารจะต้องใช้เฉพาะเจ้าเท่านั้นและต้องไม่ถูกมอบให้กับใคร มันเป็นของที่มีค่าและตกทอดมาจากอดีตกาล มันมีเหลือไม่มากแล้วตอนนี้ นอกเหนือจากสมาชิกหลักของสมาคม ก็จะมีแค่สมาชิกสำคัญสองสามคนเท่านั้นที่มีมันตอนนี้” ผู้อาวุโสห้ากล่าวด้วยความใจเย็นแต่แฝงไปด้วยความเข้มงวด
“หยางยู่เทียน เข้าใจแล้วขอรับ ! ” หลังจากที่ป้องมือเล็กน้อย เขาก็เก็บหยกสื่อสารเข้าไปที่แหวนมิติของเขา
ผู้อาวุโสห้าพยักหน้ารับอย่างมีความสุข “หยางยู่เทียน ในตอนนี้เจ้าเป็นสมาชิกหลักของสมาคมแล้ว จี้สื่อสารนี้เป็นตัวแสดงฐานะของเจ้า และด้วยสิ่งนี้เจ้าจะสามารถเข้าไปที่หอคอยพลังเซียนธาตุแสงเพื่อฝึกฝนทักษะธาตุแสงได้ ยังไงก็ตาม วิธีที่จะใช้บันทึกลงในจี้ก็แค่ส่งความคิดของเจ้าลงไปในมันแล้วเจ้าก็จะรู้เอง ดีแล้ว ข้าจะไปพักผ่อนซักพักแล้ว เจ้าควรจะไปได้แล้ว หอคอยพลังเซียนธาตุแสงอยู่ที่ยอดของปราสาท เจ้าไม่น่าจะมีปัญหาในการเข้าไปเพราะมีจี้แล้ว”
เจี้ยนเฉินออกไปจากห้องของผู้อาวุโสห้า ทันทีที่เขาออกไป สายตาของเขาก็เย็นชาและคลื่นจิตสังหารที่ทรงพลังของเขาก็ปรากฏขึ้นที่ดวงตาของเขา อย่างไรก็ตาม เขาก็กลับมาเป็นแบบเดิมในทันทีเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อาจารย์หยางยู่เทียนที่เคารพ มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยท่านได้หรือไม่ ? ” เสียงนุ่มนวลดังมากจากข้างหลังของเจี้ยนเฉิน คนนั้นคือหญิงสาวที่พาเจี้ยนเฉินมาที่ห้อง และกำลังมองเขาด้วยสายตาที่เคารพ
“ข้ายังไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานที่นี้ พาข้าไปที่หอคอยพลังเซียนธาตุแสงที” เจี้ยนเฉินพูดอย่างเฉยเมย
“เจ้าค่ะ อาจารย์หยางยู่เทียน อย่างไรก็ตามข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปที่หอคอยพลังเซียนธาตุแสง ข้าพาท่านไปได้แค่ที่หน้าทางเข้าเท่านั้น” หญิงสาวรับใช้กล่าว
“ไม่มีปัญหา นำทางไปเลย”
..
หลังจากที่เจี้ยนเฉินจากไปแล้ว คนผู้หนึ่งก็ได้มาปรากฏตัวที่ห้องของผู้อาวุโสห้า ถ้าเจี้ยนเฉินยังอยู่ที่นั้น เขาคงจะจำได้แน่ว่าคนคนนี้คืออาจารย์ที่เขาตกลงเป็นศิษย์ ประธานของสมาคมเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสง
“ผู้อาวุโสห้า ทุกอย่างสำเร็จด้วยดีหรือไม่ ? ” ประธานของสมาคมจ้องไปที่ผู้อาวุโสห้า สายตาที่หยั่งลึกของเขาเหมือนจะสามารถมองทะลุวิญญาณของผู้อาวุโสห้าได้
ถึงแม้ผู้อาวุโสห้าจะเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 เหมือนกัน แต่ท่าทีของเขาก็แสดงถึงความเคารพ “ท่านประธาน หยางยู่เทียนมีความสามารถบางอย่าง เขาสามารถหลุดจากวิชาสะกดจิตของข้าไปได้ จนทำให้ข้าต้องใช้วิชามอมเมาวิญญาณ ข้าคิดว่านี่สำเร็จไปด้วยดี แค่การใช้วิชามอมเมาวิญญาณทำให้ข้าใช้พลังเยอะไปบ้าง”
เมื่อได้ยินที่ผู้อาวุโสห้ารายงาน ประธานก็พอใจแล้วพูดว่า “พรสวรรค์ของหยางยู่เทียนนั้นยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะในด้านทักษะธาตุแสงนั้น มันได้ไปถึงระดับ 7 แล้ว ถ้าเขาสำเร็จระดับ 7 บางทีระดับของทักษะธาตุแสงของเขาอาจจะถึงระดับของข้าเลย ดังนั้นเราต้องปฏิบัติกับเขาด้วยความระมัดระวัง”
“ที่ท่านประธานกล่าวมาถูกต้องอย่างที่สุด เราจะปล่อยให้ผู้ที่มหัศจรรย์เช่นนี้ไปไหนไม่ได้” ผู้อาวุโสห้ากล่าว
“ข้ายังมีความรู้สึกแปลก ๆ อีกด้วย หยางยู่เทียนนี้อาจจะสำเร็จระดับ 8 ที่มีมาแต่โบราณกาลในอนาคตก็ได้” ประธานบ่นกับตัวเองด้วยท่าทีที่เคร่งเครียด
“อะไรนะ ? ! ” ผู้อาวุโสห้าแสดงความประหลาดใจออกมาอย่างมากและจ้องไปที่ประธานอย่างไม่เชื่อ
ประธานไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสห้าถึงได้ประหลาดใจนัก เขาพูดต่อ “ผู้อาวุโสห้า ข่าวเกี่ยวกับหยางยู่เทียน คงจะต้องแพร่กระจายไปถึงตระกูลใหญ่ทั้งสามของจักรวรรดิแล้ว ตอนนี้จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์กำลังวุ่นวาย ดังนั้นความปลอดภัยของหยางยู่เทียนจึงสำคัญมาก เจ้าต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้”
“ขอรับ ท่านประธาน ! “
หลังจากที่มอบหมายงานแล้ว ภาพของประธานก็หายไปราวกับว่าเขาไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน
เจี้ยนเฉินตามคนรับใช้ไปอย่างไม่แสดงท่าทีใดใดขึ้นไปยังบนปราสาท ประกายตาของเขาสั่นไหว ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หอคอยพลังเซียนธาตุแสงนั้นอยู่ที่บนยอดของปราสาท ที่นั้นเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของสมาคม ยอดของหอคอยนั้นคือที่ซึ่งวัตถุเซียนถูกเก็บอยู่เพื่อใช้สำหรับการสำเร็จเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 ซึ่งมันถูกเก็บอยู่ในพลังเซียนธาตุแสงบริสุทธิ์กว้าง 10 เมตรที่ซึ่งเจี้ยนเฉินเห็นตอนแรกที่มายังสมาคม
คนรับใช้มาถึงที่หน้าทางเข้าหลักของหอคอยพลังเซียนธาตุแสงพร้อมกับเจี้ยนเฉินแล้วหยุด “อาจารย์หยางยู่เทียนที่เคารพ ข้ามาส่งได้ไกลที่สุดเพียงเท่านี้”
เจี้ยนเฉินพยักหน้ารับเบา ๆ เขาสำรวจไปยังประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทที่อยู่ข้างหน้าเขา ก่อนที่จะก้าวเข้าไป
“ท่านเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงที่เคารพ กรุณาแสดงวัตถุในการยืนยันตัวด้วย ! ” ทันทีที่เจี้ยนเฉินเข้าใกล้ประตู เขาก็ถูกบอกให้หยุดจากยามหน้าประตู ยามนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่เป็นเซียนสวรรค์
เจี้ยนเฉินไม่ได้พูดอะไรและดึงจี้สื่อสารที่เขาได้รับมาจากผู้อาวุโสห้าออกมาจากแหวนมิติของเขา
ยามมองไปที่จี้หยกที่ได้รับจากเจี้ยนเฉินแล้วตรวจสอบมัน เขาคืนมันให้กับเจี้ยนเฉินหลังจากยืนยันมันแล้วก่อนที่จะผายมือไปยังที่ประตู “ท่านเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงที่เคารพ เชิญ ! ” หลังจากพูดจบประตูหอคอยก็เริ่มเปิดออก
เจี้ยนเฉินผ่านเข้าไปที่ประตูและเดินตามบันใดที่เป็นขดและแคบเพื่อขึ้นไปที่หอคอย ตอนนี้เขาอยู่ที่ยอดสุดของปราสาท
หลังจากขึ้นมาสูง 20 เมตร เจี้ยนเฉินก็มาถึงที่ประตูเล็ก ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พุ่งความสนใจและไปเจอชายชราที่อยู่ในชุดสีเขียวเก่าเก่าที่กำลังนั่งอยู่บนพื้น เขากำลังเฝ้าประตูนั้นอยู่
“เซียนผู้คุมกฎ ! ” เจี้ยนเฉินรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีเซียนผู้คุมกฎคุ้มกันที่นี่อยู่
“เจ้ามีวัตถุยืนยันตัวตนหรือไม่ ? ” ชายชรายังคงปิดตาอยู่และถามอย่างสงบ
เจี้ยนเฉินดึงจี้สื่อสารออกมาทันที
“เจ้าเข้าไปได้ อย่าลืมว่าห้ามนำอะไรจากข้างในออกมา อย่าตุกติก ม่านพลังนี้ถูกร่ายโดยเซียนราชาและสิ่งของในนั้นจะมีสัญลักษณ์พิเศษอยู่ ถ้ามันถูกนำออกมา เจ้าจะถูกสังหารอย่างไม่ปราณีโดยม่านพลังนั้น” ชายชรายังคงปิดตา แต่น้ำเสียงของเขานั้นเย็นชาและเข้มงวด
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ตักเตือน ! ” เจี้ยนเฉินป้องมือให้กับชายชราก่อนที่จะก้าวเข้าไป เขาเปิดประตูบานเล็กนั้นแล้วเข้าไป
สิ่งที่เขาเห็นด้านในคือห้องโถงกว้าง การตกแต่งของห้องโถงนี้ดูธรรมดามาก นอกจากชั้นหนังสือเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงกลางห้องแล้ว มีโต๊ะและเก้าอี้สองสามชุดที่วางรอบ ๆ ห้องเท่านั้น
เจี้ยนเฉินมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะจ้องไปที่ชั้นหนังสือที่อยู่กลางห้องแล้วเดินเข้าไปหามันช้า ๆ
มันไม่ได้มีหนังสือมากนักที่ชั้น มันดูเหมือนจะไม่เกินร้อยเล่มด้วยซ้ำ แต่ละเล่มมีความหนาแตกต่างกันไป หนังสือแต่ละเล่มทำจากหนังของสัตว์อสูรระดับสูง หนังนั้นมีสีเหลืองและมีร่องรอยความเก่าแก่จากอดีตอยู่ พวกมันถูกทำขึ้นมานานเท่าไรก็ไม่ทราบได้
“บางทีนี้อาจจะเป็นคู่มือลับที่บันทึกทักษะธาตุแสงเอาไว้ก็เป็นได้ ? ” เจี้ยนเฉินมองไปรอบ ๆ หนังสือเหล่านั้นแล้วพึมพำกับตัวเอง หลังจากนั้น เขาก็สุ่มดึงหนังสือออกมา มีคำสามคำตัวใหญ่อยู่ที่ปกที่เขียนด้วยลายมือที่งดงามว่า ‘โล่ธาตุแสง’
เจี้ยนเฉินอ่านอย่างช้า ๆ ด้วยความอยากรู้ เขาก็เข้าใจเกี่ยวกับทักษะธาตุแสงมากขึ้นที่ละน้อย
โล่พลังเซียนธาตุแสงคือรูปแบบหนึ่งในการป้องกันของทักษะธาตุแสง และดูเหมือนจะสร้างมาเพื่อเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสง นอกเหนือจากเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงแล้วไม่มีใครที่จะสามารถที่จะฝึกได้ ไม่ได้แม้แต่นักสู้ ทักษะนี้เป็นการรวมรวมพลังเซียนธาตุแสงให้มาเป็นโล่เพื่อป้องกันการโจมตีของศัตรูและความแข็งแกร่งของโล่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ร่าย
มันดูเหมือนจะง่าย แต่จริง ๆ แล้วการใช้พลังเซียนธาตุแสงเพื่อที่จะสร้างโล่มาเพื่อป้องกันการโจมตีที่แข็งแกร่งนั้นไม่ง่ายเลย ในอีกคำพูดหนึ่งก็คือ ถ้าไม่ได้กล่าวเกินจริงไปล่ะก็ แม้แต่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 ก็คงไม่สามารถที่จะรวบรวมโล่ที่มาจากพลังเซียนธาตุแสงที่มีพลังพอที่จะป้องกันการโจมตีที่ทรงพลังได้ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน
นี่เป็นเพราะพลังเซียนธาตุแสงนั้นแตกต่างจากพลังเซียนในคุณลักษณะต่าง ๆ พลังเซียนธาตุแสงนั้นเต็มไปด้วยคุณลักษณะที่อ่อนโยนโดยกำเนิดซึ่งเป็นความสามารถที่ทรงพลังและมหัศจรรย์ในการฟื้นคืนพลัง ผลลัพธ์ก็คือ มันทำให้เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงนั้นเปราะบาง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในทวีปเทียนหยวนว่าเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงนั้นเป็นกลุ่มที่ไม่มีพิษมีภัยและไม่สามารถจู่โจมได้
อย่างไรก็ตาม ทักษะลับธาตุแสงนี้เป็นวิธีเฉพาะตัวเพียงวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนพลังเซียนธาตุแสงที่อ่อนโยนให้กลายเป็นปราณหยางที่ทรงพลัง และทำให้มันสามารถทำร้ายคนอื่นได้ อย่างไรก็ตามขั้นตอนในการแปลงพลังนั้นซับซ้อนมาก เจี้ยนเฉินเชื่อว่า ถ้าไม่มีแหล่งข้อมูลที่สำคัญอยู่แบบนี้ แม้แต่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 ก็ไม่สามารถที่จะหาวิธีการในการเปลี่ยนพลังนั้นได้