ผ่านไปชั่วขณะ แสงวิญญาณบนผิวของม้วนหนังสือหยกก็วาบเก็บ เปลี่ยนใหม่เป็นไม่มีข้อความอะไร

หานลี่สะบัดข้อมือ โยนม้วนหนังสือหยกกับแผ่นหยกใสชิ้นหนึ่งให้สาวน้อยเสื้อคลุมขนนก

สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกรับของสองชิ้นไว้ในมือเดียว หลังจากใช้พลังจิตอ่านคร่าวๆ ก็แสดงท่าทางดีใจออกมา หันไปขอบคุณหานลี่ไม่หยุด

“นับเวลาดูแล้ว เหมือนท่านเซียนกับข้าจะต้องเจอกันก่อนเวลานัดหมายสองสามวัน เราสองคนมิสู้ฉวยโอกาสนี้ หาสถานที่สักแห่งพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการบำเพ็ญเพียรดีไหม ผู้แซ่หานแม้โชคดีเข้าสู่ขั้นปลายของระดับผสานอินทรีย์ แต่เนื่องจากระยะเวลาที่อยู่ในขั้นกลางสั้นไปหน่อย จึงมีหลายจุดที่อยากขอคำชี้แนะเล็กๆ น้อยๆ จากสหายเยี่ย” หานลี่พูดยิ้มๆ

พอได้ยินคำพูดของหานลี่ สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกก็แสดงความสนใจขึ้นมา จึงว่า

“พี่หานถ่อมตัวเกินไปแล้ว การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับสหายสักตั้ง ก็เป็นเรื่องที่ข้าปรารถนาเช่นกัน รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางไปแดนมาร ข้าก็อยากหารือกับสหายให้ถ้วนถี่อีกสักหน่อย ข้าเบิกถ้ำๆ หนึ่งไว้ที่ปลายหุบเขา เราไปพูดคุยกันที่นั่นเป็นอย่างไร”

หานลี่ไม่มีความคิดเห็นอื่นอีก จึงตอบรับ

และแล้วทั้งสองก็วาบแสงพร้อมกัน กลายเป็นสายรุ้งตื่นตาสองสายพุ่งตรงไปยังหุบเขาอีกลูกทันที

…..

บนท้องฟ้าห่างจากหุบเขาสิบกว่าลี้ เมฆหมอกสีขาวนวลก้อนหนึ่งล่องลอยอยู่ในที่ว่าง

ลึกเข้าไปในเมฆหมอกกลับมีสองเงาร่างซ่อนตัวอยู่ หนึ่งใหญ่ หนึ่งเล็ก เงาร่างเพรียวบางถูกไอหมอกสีชมพูปกคลุมชั้นหนึ่ง แต่ฝ่ามือข้างหนึ่งกำลังยกของขลังซึ่งกะพริบแสงโลหิตชิ้นหนึ่งไว้ ปากพลางท่องคาถา

พื้นผิวของขลังหดขยายไม่หยุด อักขระยันต์ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือลอยออกมาเป็นระยะ พิลึกกึกกือยิ่ง

ทันใด ของขลังพลันสว่างจ้า แสงวิญญาณไหลเวียนอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังหึ่งๆ ก่อนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ผู้ที่ยกของขลังชิ้นนี้มองนิ่ง ก่อนสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งไปข้างหน้า พอชิ้นส่วนของขลังที่แตกออกวาบแสง ก็หายไปในอากาศทั้งหมด

“แปลก การทำนายดวงชะตาของข้าล้มเหลวบนร่างของคนผู้นี้ ทำให้ไม่ได้ข่าวคราวใดๆ เลย” เงาร่างเพรียวบางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนบ่น

“นายท่าน หรือบนร่างของเขามียาวิญญาณที่ท่านต้องการ จึงบดบังพลังจิตในการทำนายของท่าน หรือเป็นเพราะเมื่อครู่ท่านมิได้ใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมด”

เงาร่างสูงใหญ่สวมเกราะรบสีดำอีกเงาหนึ่งถามอย่างตื่นตระหนก

“ยาวิญญาณที่ข้าตามหา แม้เป็นของพลิกฟ้า แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพลังจิตบดบังการดำรงอยู่ของตัวมันเอง

หาไม่แล้วข้าก็ไม่ออกตามหามาไกลถึงที่นี่หรอก ถ้าบนร่างเขามียาวิญญาณจริง ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ต่อให้ไม่ใช้การทำนาย จิตก็น่าจะสัมผัสได้บ้าง ส่วนการร่ายอาคมของข้าเมื่อครู่ ที่ใช้พลังจิตได้เพียงผิวเผิน ก็เป็นผลมาจากการทำนายในครั้งก่อน แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับไม่ได้ข่าวแม้แต่น้อย”

เงาร่างเพรียวบางครุ่นคิดสักพัก ค่อยส่ายศีรษะ

“หมอนี่ทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน จากพลังจิตในการทำนายของนายท่าน ควรมีแต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในระดับมหายานจึงจะตัดขาดได้อย่างสมบูรณ์” ชายร่างใหญ่เกราะดำพูดอย่างตะลึงงัน

“อืม แปลกจริงๆ แต่การที่สามารถบดบังการทำนายของข้าได้ถึงระดับนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีอื่นอีก อย่างถ้ามีความสามารถในการทำนายที่เหมือนกัน หรือมีกายวิญญาณเซียนในตำนานสองสามแบบ ก็สามารถทำได้เช่นกัน” เงาร่างเพรียวบางพูดช้าๆ เหมือนกำลังขบคิดอะไรอยู่

“ความสามารถในการทำนายที่เหมือนกัน นี่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ความเก่งกาจในการทำนายของนายท่าน ทั่วแดนวิญญาณมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะเทียบกันได้ ส่วนกายวิญญาณเซียนในตำนานสองสามแบบ แต่ละแบบแทบจะมีพลังชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน แล้วมนุษย์ตัวเล็กๆ จะมีโอกาสมีได้อย่างไรกัน ถ้าหมอนี่มีสภาพร่างกายเช่นนี้จริงๆ คงถูกมนุษย์เห็นเป็นสมบัติวิเศษล้ำค่าและทำการปกป้องซ่อนไว้เป็นความลับแต่แรกแล้ว ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ออกมาวิ่งเพ่นพ่านเล่า”

พอชายร่างใหญ่ได้ยิน กลับสูดอากาศเย็นเข้าไปหนึ่งเฮือก แต่ก็รีบสั่นศีรษะราวกับป๋องแป๋งก็มิปาน

“อืม ข้าก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ค่อยได้ คล้ายในแดนวิญญาณเช่นนี้ โอกาสที่กายวิญญาณเซียนจะปรากฏเป็นไปได้เพียงหนึ่งในร้อย เช่นนั้น บนร่างของคนผู้นี้ก็น่าจะมีชิ้นส่วนสวรรค์ทมิฬ หรือของเลียนแบบสมบัติวิเศษสวรรค์ทมิฬจำนวนหนึ่ง ขอเพียงสิ่งตกค้างจากสวรรค์ทมิฬเหล่านี้ มีพลังแห่งกฎแฝงอยู่ เป็นพลังแห่งกฎฟ้าดินที่ต้านทานการทำนาย ข้าก็ไม่มีสิทธิ์สัมผัสกับทำการทำนายได้ แต่สิ่งตกค้างจากสวรรค์ทมิฬจำพวกนี้ จัดเป็นของหายาก ข้าก็เพียงแต่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เป็นไปได้กว่าครึ่งที่จะเป็นไปในลักษณะนี้ มิเช่นนั้นก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้ว” เงาร่างเพรียวบางพูดเรียบๆ

แม้นางฉลาดเกินคนและมีพลังจิตที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่มีทางคิดได้ว่า ร่างกายของหานลี่จะผนึกสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬที่สมบูรณ์ชิ้นหนึ่งได้เอง ซึ่งหมายถึง ต่อให้คนที่ทำนายได้เก่งกว่านาง ใช้ผังแปดทิศทำนายดวงชะตาของหานลี่ ก็ไม่เป็นผล นางจึงได้แต่คิดว่าเป็นเพราะชิ้นส่วน หรือของเลียนแบบที่ใช้ชิ้นส่วนปลุกเสก

“ครั้งก่อนนายท่านได้เก็บชิ้นส่วนดาบสมประสงค์ของสวรรค์ทมิฬกลับมาแล้ว แต่ในมือของเขากลับยังมีสิ่งตกค้างจากสวรรค์ทมิฬ เห็นทีหมอนี่คงรวยมาก ชนิดไม่ได้ด้อยไปกว่าการดำรงอยู่ของบรรพชนเผ่าเราเลย”

ชายร่างใหญ่เกราะดำสูดอากาศเย็นเข้าอีกเฮือกหนึ่ง แต่ดวงตาที่มองไปทางหุบเขาซึ่งอยู่ห่างออกไป พลันร้อนสุดจะเปรียบ

“เจ้าต้องไม่ลืมว่า จุดประสงค์ในการเดินทางของข้าคืออะไร อย่าแตะต้องคนผู้นี้ จนกว่าจะระบุตำแหน่งของยาวิญญาณได้ “ เงาร่างเพรียวบางเหลือบมองชายร่างใหญ่เกราะดำ ก่อนพูดเสียงเรียบ

ชายร่างใหญ่ได้ยินก็กลัวจนตัวสั่น รีบก้มศีรษะลงพลางว่า

“นายท่านวางใจ ข้าน้อยไม่กล้าลงมือโดยพลการเป็นอันขาด”

“มนุษย์ผู้นี้ได้เข้าสู่ขั้นปลายระดับผสานอินทรีย์แล้ว ต่อให้เจ้าลงมือ ก็ไม่น่าจะใช่คู่ต่อสู้เขา แต่ครั้งก่อนตอนที่เจอกัน เขายังอยู่แค่ขั้นกลางนี่ ตอนนี้กลับอยู่ขั้นปลายแล้ว เห็นทีเขาไม่น่าจะแค่มีสิ่งตกค้างจากสวรรค์ทมิฬไว้ป้องกันตัวง่ายๆ เช่นนี้แล้ว น่าจะยังมีความลับบางอย่างอยู่ในร่าง”

เงาร่างเพรียวบางก็เหลือบมองไปทางหุบเขาที่อยู่ห่างไกลเช่นกัน ดวงตาฉายแววประหลาดใจขณะพูด

ชายร่างใหญ่เกราะดำย่อมรู้ว่า นายของตนเริ่มสนใจมนุษย์ผู้นี้แล้ว ต่อให้บนร่างเขาไม่มียาวิญญาณ ก็ไม่น่าจะปล่อยไปง่ายๆ จึงลอบยิ้มขมขื่น แต่กลับถามต่ออย่างนอบน้อม

“เช่นนั้นนายท่าน เราจะดำเนินการอย่างไรต่อ จะจับตาดูต่อไปเช่นนี้หรือ”

“คนทั้งสองเป็นผู้ที่มีพลังการต่อสู้สูงสุดในตระกูล กลับไม่อยู่ในฐานที่มั่น แต่มาเจอกันที่นี่ ย่อมมีการวางแผนเรื่องใหญ่อะไรกัน ดูท่าทางยังมีคนอื่นมาอีก เราจะรอต่อไป จนกว่าทุกคนจะมาถึง อย่างไรการทำนายก่อนหน้านี้ ก็ได้ระบุแล้วว่า ยาวิญญาณเกี่ยวข้องกับสตรีเผ่ามนุษย์ที่มีสายเลือดหงส์ฟ้า ทางที่ดีอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”

เงาร่างเพรียวบางพูดอย่างไม่ลังเลใจแต่อย่างใด

“เป็นอย่างที่นายท่านพูด พอคนเหล่านี้มากันครบแล้ว ย่อมมีโอกาสสืบข่าวยาวิญญาณมากขึ้น ถ้าสัมผัสอะไรได้ในร่างของคนอื่นๆ ก็ตัดหมอนั่นทิ้งได้ทันที” ชายร่างใหญ่เกราะดำพยักหน้าหงึกๆ ก่อนขานรับ

“อืม ถ้าราบรื่นเช่นนี้ได้เป็นดีที่สุด แต่ดูท่าทางพวกเขาแล้ว การมาถึงของคนอื่นๆ มิได้เป็นไปในระยะเวลาสั้นๆ เจ้าไปนั่งสมาธิในสมบัติลับของข้าสักพักก่อน”

เงาร่างเพรียวบางพูดอย่างสงบนิ่ง ก่อนยกมือขึ้นจับแล้วปล่อย ไอหมอกสีชมพูกลุ่มหนึ่งพลันคุกรุ่นออกมา ด้านในคล้ายมีต้นไม้ดอกสีชมพูสูงหลายจั้งกะพริบอยู่ต้นหนึ่ง

ชายร่างใหญ่เกราะดำโค้งตัวตอบรับ พอร่างสั่น ก็หายเข้าไปในไม้ดอกอย่างไร้ร่องรอย

ส่วนเงาร่างเพรียวบาง ทะยานขึ้นไปบนไม้ดอกโดยตรง พอแสงวาบผสานกันเป็นหนึ่งเดียว ก็พร่ามัวเล็กน้อย แล้วค่อยๆ หายไปดุจภาพมายา

…..

ห้าวันต่อมา ในที่ที่ห่างจากหุบเขาราวหมื่นลี้ ท้องฟ้าพลันกะพริบแสงโทนร้อนเจ็ดสีไม่หยุด จากนั้นเรือขนาดใหญ่สีเขียวยาวร้อยจั้งก็โผล่ออกมา และพุ่งตรงไปทางหุบเขาทันที

เรือลำนี้สีเขียวมรกตทั้งลำ แบ่งเป็นสามชั้น ตัวเรือแต่ละชั้นสลักค่ายกลหลายรูปแบบกับอักขระยันต์หลากสีไว้อย่างหนาแน่น มองไปก็รู้ว่าเป็นพาหนะวิเศษหายากชิ้นหนึ่ง

และบนดาดฟ้าชั้นสูงสุดของเรือยักษ์ มีคนสี่คนยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน พูดคุยกันเบาๆ ถึงอะไรบางอย่าง

คนหนึ่งเงาร่างพร่ามัว แสงสีขาวตลอดทั้งร่างกะพริบ คนหนึ่งเป็นสตรีหน้าตาดี สวมชุดกระโปรงยาวสีเหลือง คนหนึ่งเป็นชายร่างผอม สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ และอีกคนเป็นปราชญ์เฒ่า ท่าทางอายุราวหกสิบกว่า

“เอาล่ะ ทุกอย่างก็ทำตามที่เราตกลงกันไว้ ขณะที่ยังไม่เห็นวัตถุวิญญาณ ต้องร่วมมือกับผู้บำเพ็ญเพียร

เผ่ามนุษย์อย่างสุดกำลัง การเดินทางไปแดนมารครั้งนี้เสี่ยงอันตรายยิ่ง ลำพังเผ่าวิญญาณเรา ไม่มีทางทำสำเร็จ”

เงาร่างพร่ามัวกะพริบแสงสีขาวขณะพูดอย่างเยือกเย็น

อีกสามคนตอบรับตามๆ กัน โดยสตรีชุดเหลืองตอบรับด้วยการถอนหายใจยาวๆ ออกมา แล้วว่า

“ใช่ การเดินทางในครั้งนี้ ขอเพียงเผ่าวิญญาณเรามีผู้ดำรงอยู่ในระดับมหายานอีกคนปรากฏ ต่อไปก็ไม่ต้องถูกกดขี่ข่มเหงจากเผ่าอื่นอีก”

 “อืม ท่านเซียนเชียนชิวสัมผัสกับชนเผ่ามนุษย์ค่อนข้างมาก เรื่องการติดต่อสื่อสารกับพวกเขา ก็มอบให้ท่านดำเนินการแล้ว ถึงตอนนั้นเราสามคนก็ต้องให้ความร่วมมืออย่างสุดกำลัง” ชายร่างผอมพูดช้าๆ

“งั้นข้าก็ต้องขอบคุณสหายทั้งสามท่านแล้ว คิดว่าก่อนที่พวกเฒ่าประหลาดหล่งจะหาวัตถุวิญญาณสองอย่างนั่นพบ ก็ไม่กล้าคิดอะไรนอกลู่นอกทางเหมือนกัน ช่วงเริ่มต้น เราจึงไม่ต้องกังวลใจมากจนเกินไป” สตรีชุดเหลืองพูดยิ้มๆ

“อืม เช่นนี้ดีที่สุด ต่อให้พวกเขากล้าเล่นลูกไม้อะไรจริง ถึงตอนนั้นก็มีแต่พวกเขาที่เคราะห์ร้าย” คนสุดท้ายที่เป็นปราชญ์เฒ่าพูดเสียงขรึม

“เอ๋ จากพลังแฝงของพวกเราย่อมไม่ต้องกลัวฝ่ายมนุษย์ แต่ก็อย่าสร้างปัญหาอะไร ต้องพุ่งเป้าไปที่เรื่องใหญ่ก่อน ด้านหน้าก็คือสถานที่รวมพล! ท่านเซียนเชียนชิว เสกของชิ้นนั้นออกมาเถิด ต้องควบคุมให้ดี อย่าให้พวกมนุษย์จับผิดได้ล่ะ” เงาร่างในแสงสีขาวกะพริบตาก่อนว่า

“วางใจ ของชิ้นนั้นมีภูมิปัญญาไม่สมบูรณ์อยู่แต่เดิม เมื่อใช้คู่กับสมบัติลับที่ท่านผู้เฒ่าให้มา ก็พอที่จะควบคุมมันได้ เพียงเสียดายที่ของชิ้นนี้เก็บเข้าไปในสร้อยข้อมือไม่ได้ ไม่งั้นก็ไม่ต้องเปลืองที่ของพวกเราอีกหนึ่งที่เพื่อเอาเข้าไปในแดนมารหรอก” สตรีชุดเหลืองตอบรับ แต่ก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อยจึงพูด

“มีของชิ้นนั้นคอยควบคุมอยู่ในมือ ก็เพียงพอที่จะทำให้พลังกว่าครึ่งของเราไปถึงจุดสูงสุดแล้ว เปลืองที่ไปหนึ่งที่จะเป็นไรไป เอาล่ะ พวกเราเตรียมตัวกันหน่อย อีกสักพักก็จะลงไปแล้ว”

เงาร่างในแสงสีขาวกลับพูดอย่างไม่ยี่หระ

เห็นชัดว่าทั้งสามให้เงาร่างในแสงสีขาวเป็นแกนนำ จึงตอบรับทันที แล้วพากันเดินเข้าไปในเรือยักษ์

ขณะเดียวกัน ในที่ที่ห่างจากหุบเขาหลายพันลี้ สายรุ้งตื่นตาสามสายก็ปรากฏวาบ และพุ่งไปยังหุบเขาอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

แสงสีทองที่อยู่บนสุด ด้านในมีชายวัยกลางคนใบหน้าสีทองอ่อนอยู่ กลับเป็นปรมาจารย์สกุลหล่ง

ส่วนสายรุ้งตื่นตาอีกสองสาย เป็นชายชุดดำผู้มีแผลเป็นบนใบหน้าคนหนึ่ง กับชายผมยาวใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกอีกคนหนึ่ง