บทที่ 448.5 บังเอิญยิ่งนัก ข้าก็เป็นมือกระบี่เหมือนกัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

มุมปากของสวี่เม่ากระดกขึ้น

คล้ายเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้

แต่นี่ไม่ถ่วงรั้งให้เขาถือหอกยาวในมือเดินก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

หูหานทำท่าครุ่นคิด

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะหันหน้ากลับมากล่าวอีกว่า “คิดได้แล้วหรือ? น่าเสียดายที่เจ้าทำไม่ได้”

หูหานยืดคอยาว “อ้อ? นี่ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก”

พลังอำนาจทั่วร่างของหูหานพลันแปรเปลี่ยน ราวกับว่านี่ต่างหากจึงจะเป็นหูหานตัวจริง คือบุคคลอันดับหนึ่งที่เป็นผู้นำเหล่าผู้กล้าในยุทธภพของแคว้นสือหาว

หูหานเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังกังวาน “ท่านเจิง แม่ทัพสวี่ อีกเดี๋ยวรอให้ข้าลงมือก่อนก็แล้วกัน พวกเจ้าแค่คอยช่วยเสริมก็พอ!”

สำหรับคำพูดของหูหาน เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสวี่เม่าที่ถือหอกพร้อมออกรบ

ลมพัดพาหิมะกว้างไกลไปสุดลูกหูลูกตา ในสายตาของเฉินผิงอันกลับมีเพียงมือกระบี่วัยกลางคนที่สะพายกระบี่คนนั้น

ไม่เห็นว่าบุรุษลงมืออย่างไร ทว่ากระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังเขากลับพุ่งออกจากฝักทะยานขึ้นฟ้าด้วยตัวเอง พริบตาเดียวก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

นี่ก็คือความสามารถของอาจารย์กระบี่ท่านหนึ่ง เวทควบคุมกระบี่

อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาดูแคลนอาจารย์กระบี่ล่างภูเขา

มือซ้ายของเฉินผิงอันกดอยู่บนด้ามกระบี่โบราณเลียนแบบฉวีหวงเล่มนั้น “บังเอิญนัก ข้าเองก็เป็นมือกระบี่คนหนึ่งเหมือนกัน”

ใช้นิ้วโป้งค่อยๆ ผลักกระบี่ออกจากฝักมาชุ่นกว่า

พลังอำนาจดุจขุนเขา

แยกไม่ออกแล้วว่าเป็นปณิธานหมัดหรือปณิธานกระบี่กันแน่

สวี่เม่าต้องหรี่ตาลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะรู้สึกแสบจ้าบาดตาเกินไป

แต่สวี่เม่ากลับเป็นคนแรกที่ลงมือ

ม้าศึกควบตะบึง ถือหอกพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า

หูหานเองก็ไม่รีรอ พุ่งร่างวูบเข้าหาเฉินผิงอัน

มือกระบี่วัยกลางคนยิ้มอย่างสง่างาม

กระบี่โบราณที่ด้ามจับเป็นหลิงจือหยกขาวเล่มนั้นยังคงหายไปไม่รู้ร่องรอย

เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนหลังม้าก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หลังจากก้าวนั้นเหยียบลงบนความว่างเปล่าแล้ว ร่างของเขาก็หายไป

หูหานเพิ่งจะกระโจนข้ามหลังม้ามาพลิ้วกายลงบนถนนฝั่งตรงข้ามพอดี

นาทีถัดมาเงาร่างสีเขียวก็มาปรากฏอยู่ข้างกายสวี่เม่า กระแทกไหล่ชนให้ทั้งสวี่เม่าและม้าลอยคว้างออกไป

สวี่เม่าทะยานตัวออกจากหลังม้าศึกกลางอากาศ พลิ้วกายลงบนพื้นอย่างมั่นคง น่าสงสารก็แต่ม้าตัวนั้นที่หล่นกระแทกอย่างหนักลงกลางกองหิมะห่างไปสิบกว่าจั้งแล้วตายคาที่ทันที

ทว่าเรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่ากลับเกิดขึ้น เพราะเงาร่างของมือกระบี่วัยกลางคนผู้นั้นก็หายไปจากจุดเดิมอย่างเงียบเชียบไม่ต่างจากเฉินผิงอัน

ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ฝักกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลัง เขาก็ยังตัดใจทิ้งได้ลง มันจึงหล่นลงจากหลังม้า ปักเอียงอยู่บนพื้นหิมะพอดี

เฉินผิงอันยืนอยู่บนหลังม้า ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา

ผลักเลียนแบบชวีหวงกลับเข้าฝักกระบี่เบาๆ

ก้มหน้าลงมองฝักกระบี่ที่ด้านในว่างเปล่าฝักนั้นนิ่ง

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาทีก่อนหน้านี้ หูหานและสวี่เม่าที่ความสนใจทั้งหมดอยู่บนร่างของตนอาจไม่ทันสังเกตเห็นว่าฝักกระบี่นั้นเป็นของจริง แต่สิ่งที่อยู่ด้านในของฝักกลับไม่ใช่กระบี่ยาว แต่เหมือนกับดาบทรงตรงเล่มหนึ่งมากกว่า

เฉินผิงอันพึมพำอย่างระอาใจ “ข้าคงไม่ได้ปากอีกาจนมาเจอเข้ากับคนเชื่อดาบจริงๆ หรอกกระมัง?”

ทิ้งฝักกระบี่เอาไว้

ตัวคนหนีหายไปแล้ว ดาบตรงเล่มนั้นก็น่าจะถูกเอาไปด้วย

มีแต่เรื่องประหลาดทั้งนั้น

ก่อนหน้านี้ ‘ท่านเจิง’ ผู้นั้นบอกว่าเฉินผิงอันประหลาด ตอนนี้ถือว่าต่างสนองคืนกันและกันแล้ว

เรื่องที่คิดแล้วไม่เข้าใจก็วางลงไว้ก่อน ทำเรื่องที่ตัวเองเข้าใจให้เสร็จเสียก่อน

ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันใช้วิชาบังคับกระบี่ดึงฝักกระบี่นั้นออกมาจากกองหิมะแล้วโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง

ฝักกระบี่ก็เหมือนกระบี่บินที่พุ่งฉิวออกไป

แทงทะลุลำคอขององค์ชายแคว้นสือหาวผู้นั้น

หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเวทตระกูลเซียนประเภทยันต์ตัวตายตัวแทนอะไร เฉินผิงอันก็ไม่สนใจศพที่หล่นจากหลังม้าอย่างไร้พลังชีวิตนั่นอีก

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ เส้นสายตามองเคลื่อนไประหว่างสวี่เม่ากับหูหาน

สวี่เม่ายืนนิ่งไม่ขยับ มือกำหอกยาวแน่น

หูหานกลับชักเท้าเผ่นหนีไปแล้ว

เฉินผิงอันจึงไล่ตามไป

เงาร่างของคนทั้งสองทยอยกันหายไปจากสายตาของทุกคน

ทหารม้าฝีมือแกร่งกล้าทุกคนหันมามองหน้ากันเอง

รอฟังคำสั่งจากสวี่เม่า

ในเมื่อฟ้าถล่มลงมาแล้ว คนที่มีหมวกสูงก็ควรต้องค้ำยันเอาไว้

ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา

ก็พอจะมองเห็นได้เลือนๆ ว่าเงาร่างสีเขียวกลับมาแล้ว ในมือหิ้วของชิ้นหนึ่งมาด้วย

หม่าตู่อี๋และเจิงเย่ใกล้บ้าเต็มทีแล้ว

ที่แท้หลังจากเฉินผิงอันจากไปได้ไม่นาน สวี่เม่าก็เหมือนกับมารบ้าคลั่งที่รวบรวมผู้ติดตามซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มของทหารกล้าจวนอ๋องมาก่อน จากนั้นก็เริ่มกระทำการโหดร้ายเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ ฆ่าทหารม้าอีกสี่สิบกว่านายที่เหลือจนสิ้น สุดท้ายก็ทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้มีดรบบั่นหัวขององค์ชายหันจิ้งซิ่นมาแขวนไว้ตรงเอว เลือกม้าศึกมาสามสี่ตัว แล้วพลิกกายขึ้นขี่ม้าตัวหนึ่งในนั้น ส่วนม้าตัวที่เหลือก็เอาไว้ผลัดเปลี่ยนในการห้อตะบึงระยะทางไกล หลีกเลี่ยงไม่ให้ฝีเท้าของม้าศึกบาดเจ็บ

สวี่เม่ายังไม่ได้จากไป

แต่นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสงบนิ่ง รอการกลับมาของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเดินมาใกล้สวี่เม่า โยนศีรษะของหูหานที่อยู่ในมือไปให้แม่ทัพบู๊ที่นั่งอยู่บนหลังม้า ถามว่า “จะเอาอย่างไร?”

สวี่เม่ารับศีรษะมาแขวนไว้ด้านข้างอานม้า ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคงเดาได้แล้วกระมัง? ว่าที่ฮ่องเต้แคว้นสือหาวตายไปคนหนึ่ง ข้าที่ปกป้องเจ้านายไม่ได้ย่อมต้องเจอโทษประหาร ยังจะทำอะไรได้อีก ก็ได้แต่หันไปสวามิภักดิ์ซูเกาซานแห่งต้าหลีน่ะสิ”

เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ

สวี่เม่าถาม “ไม่ฆ่าข้ารึ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าช่วยข้าเก็บกวาดเรื่องเละเทะ แล้วข้าจะฆ่าเจ้าไปทำไม หาเรื่องใส่ตัวหรืออย่างไร”

สวี่เม่ามองคนหนุ่มที่ใบหน้ายังคงซีดขาวแล้วยิ้มเอ่ยว่า “หวังว่าวันหน้าพวกเราจะไม่ต้องเจอกันอีก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ทางที่ดีที่สุดก็ขอให้เป็นเช่นนี้”

สวี่เม่าดึงเชือกบังคับบังเหียนม้าควบทะยานจากไปท่ามกลางลมหิมะ

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้สองมือกอบหิมะกำหนึ่งขึ้นมาล้างข้างแก้ม

รอบด้านนอกจากศพที่กลาดเกลื่อนแล้วยังมีม้าศึกบางส่วนที่ย่ำเท้าเดินวนอยู่กับที่ ก้มหัวลงดุนดันร่างของเจ้านายเบาๆ

หลังจากปล่อยมือ หิมะที่อาบย้อมไปด้วยเลือดสดก็หล่นร่วงลงสู่พื้น

หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ที่ควบม้าเร็วมาหากำลังจะอ้าปากพูด แต่เฉินผิงอันกลับโบกมือบอกเป็นนัยแก่พวกเขาว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร

จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปยืนบนหลังม้าศึกตัวหนึ่ง มองไปยังทิศทางหนึ่งที่เบี่ยงห่างจากทิศทางที่สวี่เม่าจากไปเล็กน้อย

ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันถึงได้นั่งลงบนหลังม้า ยื่นมือไปเช็ดเลือดสดที่พากันไหลพรูออกมาจากทั้งรูจมูกและใบหู

หลังจากสังหารหูหานแล้วก็ทายาลับจากร้านยาตระกูลหยาง ทั่วร่างจึงไม่มีความเจ็บปวด ทว่ายากที่จะปกปิดสภาพอันน่าอนาถได้ นี่จึงค่อนข้างจะเป็นปัญหา

ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่าคนแกร่งกล้าอย่างสวี่เม่าอาจจะแว้งกลับมาโจมตีเขาก็เป็นได้

และในความเป็นจริงแล้วสวี่เม่าก็คิดเช่นนี้จริง

เพียงแต่เมื่อสัมผัสได้ว่าเฉินผิงอันจับความคิดเขาได้แล้วก็ล้มเลิกความคิดอย่างเด็ดขาด แล้วจากไปไกลอย่างแท้จริง

สังหารสวี่เม่าคนหนึ่งนั้นไม่ยาก แต่เมื่อฆ่าสวี่เม่าแล้ว เรื่องเละเทะครั้งนี้เขาเฉินผิงอันก็ได้แต่แบกรับผลที่ตามมาไว้คนเดียว การเดินทางขึ้นเหนือต่อจากนี้มีแต่จะเจอมรสุมอย่างต่อเนื่อง

การที่เฉินผิงอันไม่ได้ใช้กระบี่บินทั้งสองเล่มมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ยิ่งไม่ได้เอาอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นออกมา ก็เพราะมีเพียงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเท่านั้นที่สังหารเชื้อพระวงศ์ หรือต่อให้สังหารฮ่องเต้ก็ไม่ถือว่าทำลายกฎบนภูเขา เพราะผู้ฝึกยุทธไม่เคยถือว่าเป็นคนบนภูเขาอะไร ผู้ฝึกลมปราณใช่ ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณก็ยิ่งใช่ และยังมีอีกอย่างคือเฉินผิงอันเองก็อยากจะต่อสู้ต่อยตีกับคนอื่นอย่างเต็มคราบดูสักครั้ง นี่เป็นแรงบันดาลใจที่แม่ทัพเว่ยวัตถุหยินตนนั้นมอบให้เขาตอนอยู่ในอารามหลิงกวานคืนนั้น

แต่รู้สึกว่า…ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่

หม่าตู่อี๋เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในการกระทำนี้ของเฉินผิงอันได้ดีกว่าเจิงเย่

นางไม่เคยรู้สึกขนพองสยองเกล้าขนาดนี้มาก่อน

อยู่ในอาณาบริเวณแคว้นสือหาว ต้องใช้กลอุบายและสติปัญญาน้อยกว่าทะเลสาบซูเจี่ยนเสียเมื่อไหร่?

เฉินผิงอันพูดเสียงแหบพร่า “สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้อยู่นาน อย่างน้อยที่สุดพวกเราต้องไปให้ไกลจากที่นี่ร้อยกว่าลี้แล้วค่อยหาสถานที่พักพิงที่ค่อนข้างอำพรางตาได้ดี เอาแค่หลบลมหิมะได้ก็พอแล้ว”

คนทั้งสามออกเดินทางกันต่อ

เฉินผิงอันจำต้องเอาชุดคลุมอาคมจินหลี่ออกมาสวมทับชุดผ้าฝ้ายที่อยู่ด้านนอกเพื่อปิดบังสภาพอันน่าสังเวชของตน

สวี่เม่าจากไปไกลมากแล้ว ทว่าอยู่ดีๆ แม่ทัพบู๊แคว้นสือหาวที่เตรียมจะไปสวามิภักดิ์ต่อกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็พลันหยุดม้า เอ่ยเสียงหนัก “ท่านเจิง?”

‘มือกระบี่’ วัยกลางคนผู้นั้นเดินออกมาจากมุมหนึ่งท่ามกลางลมหิมะที่ห่างไปไกลดังคาด เขามาหยุดอยู่ข้างกายสวี่เม่าแล้วยิ้มเอ่ยว่า “แม่ทัพสวี่ เจ้าสามารถคืนหอกยาวที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเล่มนั้นให้ข้าได้แล้ว เชื่อว่าในบรรดาคำสั่งสอนที่บรรพบุรุษของเจ้าสืบทอดกันมาปากต่อปาก คงต้องมีอยู่สักประโยคหนึ่งที่เจ้าคิดเป็นร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ แต่หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะขอยืมม้าเจ้าสักตัว แล้วเจ้าก็สามารถเก็บหอกยาวที่สลักสองคำว่า ‘ลมหิมะ’ นี้เอาไว้ต่อไปได้ ในอนาคตวันใดวันหนึ่ง ต่อให้ไม่ใช่ข้าที่มาเอาคืนด้วยตัวเอง ก็จะต้องมีคนไปตามหาสวี่เม่าทูตผู้ตรวจการต้าหลีอยู่ดี ตกลงไหม?”

สวี่เม่าพยักหน้ารับ สายตาฉายประกายเร่าร้อน “ตกลง!”

บุรุษผู้นั้นจึงจูงม้าไปตัวหนึ่ง ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล

บุรุษที่ไม่ว่าจะเป็นสถานะ กระบี่ยาว ชื่อหรือภูมิหลังก็คล้ายจะเป็นของปลอมทั้งหมดผู้นั้นจูงม้าเดินจากไป แล้วจู่ๆ ก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จิตใจไม่ถูกบังคับ เรือนกายไม่ถูกผูกมัด เหตุใดในท้องถึงอัดแน่นไปด้วยความอัดอั้นไม่สบายตัวเล่า?”

เขาหันหน้าไปมองยังทิศทางที่เฉินผิงอันอยู่ กล่าวอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่จำนวนรายชื่อมีจำกัด ไม่อาจทำการค้ากับเจ้าได้ น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ ไม่อย่างนั้นนี่ก็น่าจะถือเป็นการค้าที่ดีครั้งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าช่วงชิงตำแหน่งทูตผู้ตรวจการของต้าหลีมาล่ะนะ”

ความเร็วของม้าทั้งสามตัว เดี๋ยวก็เร็วเดี๋ยวก็ช้า

ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับอาการบาดเจ็บของเฉินผิงอัน

ทว่าในสายตาของหม่าตู่อี๋แล้ว แม้ท่านเฉินผู้นี้จะบาดเจ็บไม่เบา แต่ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจของเขาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

เฉินผิงอันพลันถามว่า “ฤดูหนาวเหมาะกับหิมะตก ประหนึ่งเสียงตีหยกแก้วใส ประโยคนี้ เคยได้ยินไหม?”

หม่าตู่อี๋พยักหน้ารับ “เคยได้ยิน”

เฉินผิงอันอืมหนึ่งที “มีความรู้ลึกซึ้งจริงๆ ไม่เสียแรงเปล่าที่ได้ชื่อนี้มา”

หม่าตู่อี๋กลั้นยิ้ม “เพิ่งจะเคยได้ยิน”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะหัวเราะ “มุกตลกนี้เหมือนลมหิมะนี่เลย”

หม่าตู่อี๋รู้สึกสงสัยเล็กน้อย

นางเริ่มใคร่ครวญคำพูดประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง

เจิงเย่จึงเอ่ยขึ้นอย่างอัดอั้นว่า “ท่านเฉินน่าจะกำลังบอกว่า มุกตลกของแม่นางหม่าเย็นเหมือนลมที่บาดผิวนี่เลย” (มุกแป้กในภาษาจีนจะใช้กับคำว่าเย็น หนาว เช่นมุกนี้หนาวมาก ซึ่งแปลเป็นไทยจะได้ว่ามุกนี้แป้กมาก)

หม่าตู่อี๋หันหน้ามามองเฉินผิงอันอย่างกังขา

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “คำพูดของเจิงเย่ เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ?”

หม่าตู่อี๋คิดแล้วก็รู้สึกว่าถูก จึงหันไปถลึงตาดุดันใส่เจิงเย่

เจิงเย่โอดครวญเล็กน้อย

หม่าตู่อี๋ลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ยังไม่กล้าเปิดปากถาม

เฉินผิงอันจึงเอ่ยขึ้นเองว่า “อยากถามว่าข้าจะเก็บวิญญาณของทหารม้าพวกนั้นมาหรือไม่?”

หม่าตู่อี๋ร้อนตัวเล็กน้อย “ข้าคิดว่าไม่มีความจำเป็นเลย แต่ว่า…”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แต่รู้สึกว่าสมองของข้าไม่ปกติ มักจะชอบทำเรื่องประหลาดวกวนไปมาอยู่เสมอ ใช่ไหม?”

คำพูดบางอย่างเมื่อพูดออกมาแล้วก็หมายความว่าไม่ได้เก็บกลั้นไว้ในใจ

นี่เป็นเรื่องดี

หม่าตู่อี๋อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน จึงคลี่ยิ้มกว้าง

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “อันที่จริงขอแค่จับต้นและปลายเอาไว้ได้ ต่อให้ยังอยู่ในสภาพการณ์ที่พัวพันกันยุ่งเหยิงก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แค่ค่อยเป็นค่อยไปก็พอ”

นิสัยชอบเอาชนะของหม่าตู่อี๋กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นท่านเฉินจะบอกให้พวกเรารีบควบม้าเร็วไปอีกร้อยกว่าลี้ทำไม? ทำไมไม่ค่อยเป็นค่อยไปเล่า?”

เฉินผิงอันเทยาลับเม็ดหนึ่งของตำหนักวารีออกมา ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วกลืนลงไปพร้อมกัน เขารู้สึกเอือมระอาเล็กน้อยจึงไม่ตอบโต้อะไรไป

หม่าตู่อี๋จึงหัวเราะคิกคักอยู่กับตัวเอง

เจิงเย่ส่ายหน้า ผู้หญิงนี่นะ

ม้าทั้งสามตัวควบตะบึงไปท่ามกลางลมหิมะ

—–