ตอนที่ 430 แมลงกินวิญญาณ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เพียงครู่เดียวกลิ่นเหม็นเน่าในบึงโคลนก็ยิ่งคละคลุ้งขึ้นมา

 

 

กลิ่นเหม็นเหล่านี้เกิดจากซากศพของร่างที่แหลกเละ เป็นแก๊สพิษ ที่ฟุ้งกระจายขึ้นมา พบได้ทั่วไปตามหุบเหวและสุสาน

 

 

กลิ่นเหม็นเน่าเหล่านี้เสียดแทงเข้าไปในจมูก ทั้งยังปวดร้าวภายในปอด

 

 

ทันใดนั้นเองก็เห็นว่ากลางแอ่งโคลนมีบางสิ่งบางอย่างกำลังผุดขึ้นมา

 

 

พวกมันซุ่มซ่อนอยู่ในแอ่งโคลน ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ๆนางเรื่อยๆ พอเข้ามาจนได้ระยะห่างจากนางอยู่ช่วงหนึ่ง ก็เห็นพวกมันผุดขึ้นมาจากโคลนแต่ละตัวมีหัวขนาดใหญ่พอๆกับหัวจระเข้ตัวโต

 

 

ตัวที่ใหญ่ที่สุดนั้น ยาวกว่าเจ็ดหรือแปดเมตร!

 

 

ตัวที่ใหญ่ทีสุดย่อมเข้ามาใกล้ที่สุด ภายใต้การนำของมัน จระเข้ตัวอื่นได้แต่จ้องมองเขม็งด้วยสองตา พวกมันจับจ้องมาที่ตู๋กูซิงหลันอย่างกระเ**้ยนกระหือรือ

 

 

ตลอดสามวันมานี้ พวกมันโจมตีมาสามรอบแล้ว ทุกครั้งล้วนถูกสัตว์อสูรของนางขับไล่ออกไป

 

 

ตลอดสามวัน สาวน้อยที่ผ่ายผอมผู้นั้นเอาแต่สลบไสล วันนี้นางตื่นขึ้นมาแล้ว แค่เห็นแววตาก็รู้แล้วว่ามิใช่เจ้านายที่จะตอแยได้ง่ายๆ

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้ตื่นเต้นตกใจ นางขับพลังวิญญาณภายในร่างให้หมุนวน ลำแขนข้างหนึ่งค่อยหลุนพ้นจากโคลนตมขึ้นมา

 

 

พอพึ่งขยับตัวก็เห็นจระเข้ผีดิบเหล่านั้นพากันบุกเข้ามา

 

 

พวกมันส่ายหาง เรือนร่างที่ใหญ่โตกลับสามารถเคลื่อนไหวในโคลนตมได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ละตัวล้วนอ้าปากกว้างชุ่มเลือด ยามที่บุกเข้ามาทุกตัวล้วนก็เล็งไปที่ศีรษะของนาง!

 

 

หุบเหวไร้ก้นไม่อาจมีคนมีชีวิต!

 

 

พอจระเข้ผีดิบเหล่านั้นเข้ามาใกล้ ตู๋กูซิงหลันก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าปะทะเข้ามาในจมูก

 

 

กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนที่เข้มข้นรุนแรงนั้น ทำให้คนจะอาเจียน

 

 

ในมือของนางหยิบยันต์ที่เปรอะเปื้อนโคลนไปหมดแล้วได้ใบหนึ่ง

 

 

เห็นแต่มุมที่มีจุดสีแดงเหลืออยู่จุดหนึ่ง โผล่ออกมาจากโคลน

 

 

ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองไปแวบเดียว ริมฝีปากก็ร่ายคาถา ขณะที่จระเข้ผีดิบตัวใหญ่ที่สุดตัวนั้นพุ่งเข้ามา ก็เห็นนางส่งยันต์แผ่นนั้นเข้าไปในปากของมันอย่างรวดเร็ว

 

 

“ยันต์หุ่นเชิด?” วิญญาณทมิฬตื่นตะลึงไป มันนึกไม่ถึงเลยว่าในสถานการณ์แบบนี้ตู๋กูซิงหลันยังจะสามารถเสกยันต์คำสาปเช่นนี้ขึ้นมาได้

 

 

ชื่อของยันต์บ่งบอกความหมาย ผู้ที่ถูกยันต์สาปนี้จะเป็นดั่งสัตว์เลี้ยง กลายเป็นหุ่นเชิดให้กับผู้บงการอย่างไร้ข้อแม้

 

 

จะสร้างยันต์นี้ได้จะต้องใช้พลังจำนวนมาก ทั้งยังอาจทำไม่สำเร็จ

 

 

ตู๋กูซิงหลันช่างเป็นตัวประหลาดจริงๆ ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก นางก็ยิ่งเปล่งประกายสุขุม รู้ตัวดีว่าตนเองต้องการอะไร

 

 

เพียงแวบเดียวก็เห็นยันต์ของนางเปล่งประกายสีเหลืองที่งดงามออกมา จากนั้นแสงสว่างก็ซึมซาบเข้าไปภายในร่างของจระเข้ผีดิบ

 

 

จระเข้ตัวนั้นนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เหล่าจระเข้ที่อยู่ด้านหลังของมันก็พากันขยับเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง

 

 

ในชั่วขณะนั้นเอง ตู๋กูซิงหลันก็คว้ากรามล่างของจระเข้ที่ถูกผนึกยันต์เอาไว้ จระเข้ตัวนั้นก็ใช้กำลังฉุดนางขึ้นมาจากโคลนตม แล้วก็สะบัดนางขึ้นไปไว้บนหลังของมัน

 

 

ทั่วทั้งร่างของตู๋กูซิงหลันมีแต่โคลนดำที่เหม็นเน่า พอนางถูกสะบัดลงมาก็กึ่งนั่งกึ่งคุกเข่าอยู่บนหลังของเจ้าจระเข้ยักษ์

 

 

หลังจากนั้นก็เห็นนางถอดเสื้อคลุมบนร่างลงมาอย่างรวดเร็ว นั้นเป็นเสื้อคลุมที่จีเฉวียนใส่ให้กับนาง

 

 

เสื้อคลุมตัวนั้นถูกนางฟั่นจนกลายเป็นเชือก แล้วคล้องลงไปบนลำคอของจระเข้อย่างรวดเร็วใช้เป็นบังเ**ยน

 

 

นางกวาดตามองไปรอบด้าน ทุกที่ล้วนมีแต่กลิ่นเน่าเหม็นแต่เมื่อตั้งใจฟังก็ยังได้ยินเสียงสายลมที่พัดผ่านความเงียบงัน

 

 

ตู๋กูซิงหลันใช้บังเหยียนบังคับเจ้าจระเข้ยักษ์ตัวนั้นได้เคลื่อนที่ไปทางที่มีสายลม

 

 

เมื่อมีลมแปลว่ามีทางออก นางขยับข้อมือ ก็รู้สึกได้ว่าด้ายผูกชะตายังอยู่

 

 

จีเฉวียนยังมีชีวิตอยู่ …..เพียงแต่ว่าเส้นด้ายยิ่งทียิ่งเปราะบาง สถานการณ์ของเขาจะต้องย่ำแย่อย่างแน่นอน

 

 

พอคิดถึงตราประทับบงกชบนบั้นเอวของเขา สายตาของตู๋กูซิงหลันก็ยิ่งเคร่งขรึมกว่าเดิม

 

 

พอจระเข้ยักษ์ว่ายไปตามแอ่งโคลน เหล่าจระเข้ผีดิบตัวอื่นก็ก็พากันว่ายตามมาอย่างแน่นขนัด ไล่ตามมาตลอดทาง

 

 

ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันไม่มีกำลังเหลือเฟือจะไปรับมือกับพวกมัน เป้าหมายแรกของนางก็คือไปให้ไกลจากบึงโคลนนี้ สำรวจสภาพโดยรอบให้ชัดเจน ตามหาจีเฉวียน จากนั้นก็พาเขาไปจากที่นี่

 

 

หุบเหวไร้ก้นบึ้ง……..

 

 

จระเข้ยักษ์เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ลมเหม็นเน่าพัดผ่านใบหน้าติดบนผิวจนเหนอะหนะ

 

 

ตู๋กูซิงหลันใช้มือปาดไปปาดมาอยู่สองครั้ง ขณะเดียวกันพยายามรักษาด้ายผูกชะตาไม่ให้จางหายไป

 

 

พอเงยหน้าขึ้นมาดู ก็เห็นรอบด้านมีแต่หุบเหวที่มืดมิดไปหมด มองอย่างไรก็มองไม่เห็นด้านบน

 

 

ท่ามกลางกลิ่นเหม็นเน่า คล้ายกับว่ามีบางสิ่งกำลังลอยละล่องมาอย่างช้าๆ

 

 

เห็นแต่เพียงเงาเลือนลางที่ดูแปลกประหลาดลึกลับ

 

 

พวกมันมีไอหยินหนาแน่น….คล้ายจะเป็นวิญญาณคนตายที่ไม่อาจหลุดพ้น

 

 

นางทอดถอนใจ ปรับลมหายใจของตนเอง ไม่ไปสนใจสิ่งที่กำลังล่องลอยไปมาเหล่านั้น

 

 

หลังจากที่จระเข้ยักษ์เคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ เบื้องหน้าคล้ายจะมีแสงสว่างจางๆ

 

 

พอขยับเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆถึงได้เห็นว่าแสงสว่างเล็กๆที่ล่องลอยไปมานั้น คือบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับหิงห้อย

 

 

พอตู๋กูซิงหลันพึ่งไปถึง เหล่า ‘หิ่งห้อย’ ก็กรูกันเข้ามาราวกับฝูงผึ้ง หิ่งห้อยเหล่านั้นพากันโบกปีก พุ่งเข้ามายังร่างของนาง

 

 

“แมลงกินวิญญาณ!” วิญญาณทมิฬเกาะอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน ร่างที่หดเล็กอยู่เมื่อครู่กลายเป็นสุนัขป่าตัวใหญ่อีกครั้ง

 

 

มันสะบัดหางส่ายไปมา ช่วยตู๋กูซิงหลันขับไล่แมลงเหล่านั้น

 

 

แมลงกินวิญญาณดูดกินพลังวิญญาณเป็นอาหารหลัก ต่อให้เป็นผู้ที่ฝึกฝนจนมีร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าก็ยังสามารถดูดกลืนจนกระดูกกรอบได้เช่นกัน!

 

 

ตอนนี้พวกมันแต่ละตัวล้วนอ้วนท้วนราวกับแม่พันธุ์ ไม่รู้ว่าดูดกลืนพลังวิญญาณของผู้ฝึกฝนไปมากมายเพียงใด

 

 

เหล่าคนที่ตกลงมาต่อให้ไม่ถึงหมื่นแต่ก็คงมีอยู่นับพัน

 

 

ตู๋กูซิงหลันฟุบร่างลงไป หยิบยันต์ขึ้นมาในมืออีกหลายใบ

 

 

ครั้งนี้ ยันต์เหล่านั้นถูกเขวี้ยงไปทางเหล่าจระเข้ที่ยังคงไล่ตามมาอย่างบ้าคลั่งเหล่านั้น

 

 

พอยันต์มากมายถูกผนึกลงไป ก็เห็นบนร่างของพวกมันเปล่งแสงสีเงินออกมา

 

 

แสงสีเงินบนร่างร่างของพวกมันเกิดจากยันต์คำสาปของตู๋กูซิงหลัน ที่คล้ายจะเป็นพลังวิญญาณ

 

 

เหล่าแมลงวิญญาณพอเห็นเข้า ก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา ละทิ้งตู๋กูซิงหลันแล้วพากันไปกลุ้มรุมอยู่บนตัวของจระเขีผีดิบเหล่านั้น

 

 

วิญญาณทิมฬหันกลับไปมองดูก็เห็นศีรษะที่ใหญ่โตของจระเข้เหล่านั้นเพียงแค่ชั่วขณะเดียวก็ถูกแทะกัดกินจนสามารถมองเห็นกระดูกได้เลย!

 

 

สวรรค์!

 

 

เจ้าพวกนั้นไม่เพียงแต่ดูดกินพลังวิญญาณ แม้แต่เนื้อและกระดูกก็ยังไม่เว้น!

 

 

มิน่าเล่าหุบเหวไร้ก้นบึ้งนี่จึงเป็นสุสานของสิ่งมีชีวิต เพียงแค่เจอเจ้าพวกนี้ ต่อให้ไม่ตายก็ต้องถูกลอกหนังออกมาชั้นหนึ่งแล้ว!

 

 

 

 

 

 

………………………………

 

 

ตอนต่อไป “จระเข้น้อยที่น่ารัก”

 

 

ไรท์ : หืม มันใช่หรือ?